Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 634 ดูดซับกลิ่น
Super God Gene – ตอนที่ 634 ดูดซับกลิ่น

  “คุณเฉิน ผมประหลาดใจจริงๆที่คุณมาหาผมถึงที่นี่” หานเซิ่นเปิดประตูออกมาและเห็นเฉินรันยืนอยู่   “จูถิงบอกว่านายเป็นเพื่อนที่ดีของเขา ส่วนเรื่องที่นายอยู่ที่เมืองนี้ ฉันก็ได้ยินมาจากเขาอีกที วันนี้ฉันเลยมาเยี่ยมนายหน่อย ทำไมฉันไม่เคยได้ยินนายพูดถึงเรื่องนี้เลย? ถ้าฉันรู้ก่อนว่านายเป็นเพื่อนของจูถิง พวกเราคงจะตอบรับดีกว่านี้” เฉินรันยิ้ม   หานเซิ่นคิดในใจ ‘การได้เป็นมิตรกับตระกูลของนายถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตฉันเลย’   จริงๆความสัมพันธ์ระหว่างหานเซิ่นกับตระกูลเฉินถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ พวกเขาไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน และในตอนนี้เฉินรันก็รู้ว่้าเขาสนิทกับจูถิงด้วย แต่ถึงเขาจะสนิทกับจูถิง หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากถึงขนาดทิ้งพวกพ้องได้   “โปรดเข้ามาข้างในก่อน” หานเซิ่นเชิญเฉินรันเข้ามาข้างใน เขาพอจะรู้ว่าเฉินรันมาที่เพื่ออะไร เขาจึงไม่อยากจะหักหน้าเฉินรัน เฉินรันคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจูถิงที่เป็นทาญาติไม่เอาไหนของตระกูลแน่นอน   เฉินรันเดินเข้ามาในห้อง เขามองไปรอบๆและยิ้ม “น้องหาน ดูเหมือนที่นี่ไม่เหมาะสมกับนายเลยนะ ย้ายไปอยู่เมืองของฉันดีไหม? ฉันจะเตรียมห้องที่ดีที่สุดไว้ต้อนรับเลย”   “ขอบคุณ แต่ผมว่าไม่ต้องดีกว่า ผมจะกลับทุ่งน้ำแข็งในอีก 2 วัน ถ้าคุณมีอะไรที่อยากจะพูดกับผม คุณควรจะรีบพูดตอนนี้เลย” หานเซิ่นพูด   “งั้นก็ได้ นายเป็นเพื่อนของจูถิงก็ถือว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล งั้นฉันขอพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เฉินรันมองหานเซิ่น จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “เนื่องจากนายจะกลับไปที่ทุ่งน้ำแข็ง นายจะช่วยส่งวิญญาณอสูรของฉันไปให้จูถิงได้ไหม?”   “จะให้ส่งวิญญาณอสูรจำนวนเท่าไหร่?” หานเซิ่นถาม   “สัก 3-4 พันดวง” ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูด เฉินรันชิงพูดต่อก่อน “แน่นอนว่าฉันไม่ให้นายเหนื่อยฟรีๆ ฉันจะให้ค่าเหนื่อยนาย 50 ล้านสำหรับการส่งวิญญาณอสูร”   หานเซิ่นพอรู้ว่าเฉินรันจะมาไม้นี้ เขาแอบหัวเราะอยู่ในใจ ‘ไอ้แก่นี่มันฉลาดไม่เบา ที่ทุ่งน้ำแข็งเป็นที่ที่ขาดแคลนวิญญาณอสูร ทั้งๆที่เราให้ส่งส่งวิญญาณอสูรจำนวนมากมายขนาดนั้น แต่กลับให้ค่าส่งแค่ 50 ล้าน ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะได้กำไรจากการขายเป็นพันล้าน’   “คุณเฉิน คุณคงจะรู้สถานการณ์ในทุ่งน้ำแข็งดี ถึงผมจะเป็นผู้นำของที่นั่น แต่อำนาจของผมก็มีจำกัดมาก ผู้มีอำนาจจริงๆคือหลี่ซิงหลุนและชีซิวเหวิน ถึงผมจะส่งพวกมันไปให้จูถิง แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะอนุญาตให้จูถิงขายมันได้” หานเซิ่นยิ้ม   จริงๆแล้วทุ่งน้ำแข็งก็เหมือนกับเป็นของหานเซิ่น ซึ่งตลาดการซื้อขายก็เป็นของเขาด้วย แต่เขาแค่ไม่อยากช่วยเฉินรันด้วยจำนวนเงินแค่นั้น   “พวกเราก็เหมือนเป็นครอบครัว นายเป็นราชาของทุ่งน้ำแข็ง! ฉันหวังว่านายจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ” เฉินรันเอาบัตรเครดิตออกมา จากนั้นเขาก็ยื่นมันให้หานเซิ่น “นี่คือ 500 ล้าน ฉันหวังว่านายจะเอาเงินนี้ไปให้จูถิง เด็กคนนั้นต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่ทุ่งน้ำแข็ง เขาช่างน่าสงสาร”   หานเซิ่นไม่เชื่อเฉินรัน งูพิษอย่างเขามีหรอที่อยากจะช่วยทาญาติที่ถูกตระกูลทอดทิ้งอย่างจูถิง เขาคงอยากจะพูดอ้อมๆว่าถ้านายยอมทำงานนี้ เงิน 500 ล้านนี้นายจะเอาไปเองเลยก็ได้ หานเซิ่นมองเฉินรันตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นเขายิ้ม   “คุณเฉิน ผมรับเงินนี้ไม่ได้ ทุ่งน้ำแข็งไม่ใช่ของผมคนเดียว ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจ ผมต้องขอ 20% จากรายได้การขายทั้งหมด” หานเซิ่นพูดออกไปตรงๆ   ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากหานเซิ่นพูดไปแบบนี้ สีหน้าของเฉินรันดูจะมีความสุขขึ้นมาทันที เขารีบพูด “แน่นอน ไม่มีปัญหาถ้านายพูดแบบนั้น!”   หานเซิ่นพูดต่อ “ผมเพิ่งจะพูดไปว่าทุ่งน้ำแข็งไม่ใช่ของผมคนเดียว นอกจากกองกำลังเทพธิดาแล้ว ยังมีกองกำลังสตาร์วีล กองกำลังแบล็คก็อตและกองกำลังฟิลิป การทำธุรกิจที่นั่นต้องได้รับอนุญาตจากพวกเขาด้วย ถ้าจะให้ผมช่วยจริงๆ คุณก็ต้องให้พวกเขาคนละ 20% ด้วย ไม่งั้นผมคงช่วยไม่ได้”   สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไปทันที “น้องหานจะโหดร้ายเกินไปรึป่าว? ฉันก็คิดว่านายเป็นเพื่อนกับจูถิง ไม่ละอายใจบ้างหรอที่ยื่นข้อเสนอแบบนี้มา?”   หานเซิ่นยิ้ม “คุณเฉิน ผมก็อยากจะช่วยคุณ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้ระบบตลาดของทุ่งน้ำแข็งผิดเพี้ยนไป การที่คุณได้ส่วนแบ่ง 20% ก็ถือว่าเยอะแล้ว! ที่สำคัญผมเห็นแก่ที่คุณบอกว่าเราคือครอบครัว ผมเลยยอมให้ 20% ไม่งั้นแค่ได้ 10% ก็ถือว่าคุณโชคดีแล้ว”   “พ่อหนุ่ม นายไม่สามารถทำธุรกิจแบบนี้ได้ ถ้านายจะขอสัก 50% ฉันก็ยังพอให้ได้ และบางทีฉันอาจจะทำธุรกิจกับนายต่อในอนาคต”   “งั้นผมก็ต้องขอโทษด้วย ผมเสียใจที่ต้องบอกว่าทุ่งน้ำแข็งไม่ใช่ของผมคนเดียว ถ้าคุณให้ผมแค่ 50% เห็นทีผมจะช่วยคุณทำธุรกิจนี้ไม่ได้” หานเซิ่นพูด   หานเซิ่นคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าไม่ทำประโยชน์อะไรให้ชายคนนี้ คนที่ยอมเสียสละเพื่อนตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด คนประเภทนี้จะไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับเรา   “ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ขอโทษด้วยที่มารบกวนวันนี้” เฉินรันพูดด้วยความไม่พอใจ ขณะเดินออกจากห้อง   หลังจากที่เฉินรันออกไปแล้ว ก็มีลูกน้องของเขาเข้ามาหา “จับตาดูคนคนนี้เอาไว้ และก็รีบไปสืบประวัติของเขามาให้ฉันด่วนเลย”   หลังจากที่ได้รับมอบหมายแล้ว ลูกน้องของเฉินรันก็สืบข้อมูลของหานเซิ่นมา ….   “หะ อะไรนะ หนุ่มนั่นเป็นทาญาติของหานจิงจือ? ไม่มีทางที่ชายคนนั้นจะมีลูกได้” สายตาของเฉินรันเต็มไปด้วยความสับสน   หานเซิ่นกำลังนั่งเล่นกับจิ้งจอกอยู่ ช่วง 1-2 วันมานี้ด้วยประสาทสัมผัสของเขา เขารู้โดยไม่ต้องออกไปดูว่ามีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่   ‘ดูเหมือนคนพวกนี้จะไม่ยอมเลิกรานะ’ หานเซิ่นคิด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ถ้าเฉินรันไม่คิดจะมาเล่นงานหรือทำร้ายเขา ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาถูกลอบกัดละก็ อย่างน้อยเขาก็มีหน้าไม้นกยูงและลูกธนูขนอีกาอยู่   หานเซิ่นหยิบยาเสริมสร้างยีนออกมาจากกระเป๋า ซึ่งมันถูกชีตงลี่ส่งมาให้เขาตั้งแต่ 2 วันก่อน เนื่องจากจิ้งจอกชอบมันมาก ดังนั้นเขาเลยให้มันกินทุกวัน   แต่จิ้งจอกจะไม่กินเกิน 1 เม็ดต่อวัน บางทีอาจจะเป็นเพราะผลของยา ขนของจิ้งจอกดูนุ่มและเป็นประกายมากขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่แตกต่างจนเห็นได้ชัดเท่าไหร่   “คนของชีตงลี่บอกว่าถ้าให้คนธรรมดากินเข้าไปแค่เม็ดเดียวก็ทำให้ยีนกลายพันธ์ได้แล้ว แต่จิ้งจอกก็กินไป 2 เม็ดแล้ว แต่ดูไม่เห็นจะเปลี่ยนแปลง?” หานเซิ่นมองดูจิ้งจอกด้วยความสงสัย   หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะยีนของจิ้งจอกแข็งแกร่งเกินไปจนยากที่จะกลายพันธ์ หรือมันใช้กับมอนสเตอร์ไม่ได้ผลกันแน่   เขาวางจิ้งจอกและผลน้ำเต้าลง จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกศาสตร์ตงเสวียน   ช่วงที่ผ่านมาร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บ เขาเลยต้องใช้กายหยกฟื้นร่างกายทุกๆวัน แต่ตอนนี้เขาหายดีแล้ว เขาจึงเริ่มกลับมาฝึกศาสตร์ตงเสวียนอีกครั้ง   หลังจากที่หานเซิ่นเริ่มฝึก ตัวของเขาก็เริ่มมีกลิ่นหอมๆอีกครั้ง กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง   จิ้งจอกสีเงินที่นอนอยู่ข้างๆพยายามสูดดมกลิ่นของเจ้านายเข้าไป ไม่เพียงแค่มันเท่านั้น แม้แต่ผลน้ำเต้าเองก็เริ่มสั่น ราวกับว่ามันเองก็ดูดกลิ่นหอมเข้าไปเช่นกัน  

Super God Gene – ตอนที่ 633 ลูกธนูขนอีกา
Super God Gene – ตอนที่ 633 ลูกธนูขนอีกา

  “ถ้าดูจากปฏิกิริยาของจิ้งจอก ผลน้ำเต้าก็ไม่น่าจะเป็นของที่มีอันตรายอะไร แต่ถ้ามันดีจริงๆ ทำไมจิ้งจอกถึงได้เดินไปนอนแบบนั้น?” หานเซิ่นยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าผลน้ำเต้ามันเป็นของดีจริงรึเปล่า แต่เขาก็จะไม่ยอมเสี่ยง เมื่อหายดีแล้วเขาจะเอามันไปสถานที่ไกลๆและทิ้งมัน   มันจะดีกว่าถ้าเอามันขว้างมันไปทิ้งเข้าในป่าลึก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นถึงมันจะมีอันตรายคนบริสุทธิ์ก็จะได้ไม่ต้องรับผลกระทบไปด้วย   ไม่ใช่ว่าหานเซิ่นไม่ต้องการผ่าดูข้างในผลน้ำเต้า แต่มันแข็งเกินไป เขาไม่สามารถผ่ามันได้ เขาเคยลองใช้ดาบเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กฟันมันแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล   หานเซิ่นได้รับบาดเจ็บหนักมา ถึงจิ้งจอกจะเลียจนแผลหายแล้ว แต่ความแข็งแรงของเขาก็ยังไม่กลับมา 100% อย่างน้อยๆคงต้องใช้เวลาประมานครึ่งเดือนกว่าที่เขาจะหายสนิทดี   หานเซิ่นยังมีขนอีกา 36 เส้นอยู่ในครอบครอง ถ้าเขาเปลี่ยนมันเป็นลูกธนู และใช้มันกับหน้าไม้นกยูงเนตรมรณะ บางทีเขาอาจจะสามารถเจาะผลน้ำเต้าได้   หานเซิ่นสังเกตดูขนอีกาอย่างละเอียด แต่ละอันมีความยาว 1 ฟุต พวกมันมีสีดำสนิท บริเวณด้ามของมันแหลมคมมาก ส่วนบริเวณขนนั้นแน่นสนิทไม่มีจุดที่ไม่มีขนเลย   ถ้าเอามือลูบเบาๆไปตามขน มันจะอ่อนตามนิ้วมือไป พวกมันดูนุ่มและเรียบเนียนมาก   แต่ถ้าไปโดนมันด้วยแรงระดับหนึ่งจะรู้สึกว่ามันคมจนน่ากลัว มันเหมือนกับหนามนับไม่ทั่วที่รวมตัวกันเป็นขนนก มันพร้อมที่จะฉีกกระชากทุกอย่างที่เข้ามาชนกับมัน   “อยากรู้ว่าถ้าใส่ขนนกเข้าไปในหน้าไม้นกยูงโดยตรงเลยมันจะเป็นยังไง?” หานเซิ่นเรียกวิญญาณอสูรนกยูงเนตรมรณะออกมา และลองพยายามบรรจุขนอีกาเข้าไป 1 เส้น   ดูมันจะดีกว่าที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ เขานกมันใส่เข้าไปข้างในได้พอดิบพอดี ขนาดของมันพอเหมาะมาก ดังนั้นมันน่าจะยิงออกไปได้อย่างราบลื่นไม่ติดขัด แต่ข้อเสียของมันคือการเอาขนอีกาออกมา ถ้าดึงมันออกมาตรงๆก็ต้องจับบริเวณด้ามที่มีความแหลมคม ซึ่งมันเสี่ยงที่จะถูกบาดนิ้วมือ   หานเซิ่นลองทดสอบยิงขนอีกาดู แสงสีดำพุ่งตรงไปเป็นระยะทางกว่า 3 ไมล์ แม้มันจะพุ่งชนกับต้นไม้ขนาดใหญ่ ความเร็วของมันก็ไม่ได้ลดลงเลย มันพุ่งทะลุต้นไม้ขนาดใหญ่ทั้งหมด 4 ต้นกว่าที่มันจะหยุดอยู่ที่ต้นที่ 5   “ทรงพลังจริงๆ!” หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขมาก เขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และรีบวิ่งไปเก็บขนอีกาทันที   หานเซิ่นสามารถบรรจุขนอีกาลงไปในหน้าไม้ได้ 16 เส้น ขนของอีกาเล็กกว่าลูกธนูทั่วๆไป ซึ่งปรกติจะบรรจุได้แค่ 9 ดอก   หลังจากบรรจุขนอีกาพร้อมแล้ว หานเซิ่นก็ไปตรงไปที่หน้าผาแห่งหนึ่ง เขาวางผลน้ำเต้าไว้บนพื้น จากนั้นเขาก็ใช้หน้าไม้นกยูงเนตรมรณะยิงมันทันที   ตูม! ขนอีกาพุ่งเข้าปะทะกับผลน้ำเต้าเต็มๆ ซึ่งทำให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรง เกิดหลุมขนาดใหญ่บนหน้าผา แต่กระนั้นผลน้ำเต้าก็ยังอยู่ดี มันไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย   หานเซิ่นไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ เขาลองยิงมันต่อไป หลังจากยิงไปนับครั้งไม่ถ้วน หลุมบริเวณหน้าผาก็ลึกจนเป็นถ้ำ แต่ทว่าผลน้ำเต้าก็ยังไม่เป็นอะไรเลย   “บ้าไปแล้ว!” หานเซิ่นไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น   ตอนนี้หานเซิ่นกำลังคิดถึงเรื่องที่ผ่านๆมา อีกาเองก็ไม่สามารถทำอะไรเถาวัลย์ที่พันตัวมันได้เช่นกัน มันยอมสละขนบางส่วนเพื่อหลบหนีออกไป แสดงว่าขนของมันคงไม่สามารถทำอะไรผลน้ำเต้านี้ได้จริงๆ   หานเซิ่นเก็บผลน้ำเต้าขึ้นมาด้วยความมึนงงและสับสน หลังจากคิดอยู่สักพัก เขากัดฟันและตัดสินใจบินขึ้นไปให้สูงที่สุดแล้วก็ปล่อยผลน้ำเต้าลงมา   เขาติดสินใจทิ้งมัน หานเซิ่นไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ เขาเองก็เคยได้ยินนิทานเรื่องชาวนากับงูเห่ามา การเก็บสิ่งที่น่าจะมีอันตรายไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะเล่นงานตอนเขากำลังหลับ สักวันเขาอาจจะกลายเป็นเหยื่อของมัน   เมื่อหานเซิ่นทิ้งมันจากความสูง ผลน้ำเต้าเพิ่งหลุดจากมือของหานเซิ่นได้แค่เสี้ยววินาที จิ้งจอกสีเงินก็ใช้ปากงับมา จากนั้นมันก็ส่งคืนไว้ในมือของหานเซิ่น   “หมายความว่ายังไงเนี่ย?” หานเซิ่นถามจิ้งจอกสีเงิน ขณะถือผลน้ำเต้าที่เปื้อนน้ำลายอยู่ในมือ   แต่จิ้งจอกสีเงินมันพูดไม่ได้ ดังนั้นมันจึงอยู่บนไหล่ของหานเซิ่น และกระดิกหางอันสง่างามของมัน   หานเซิ่นไม่ได้รับคำตอบจากจิ้งจอก เขาเลยต้องทิ้งผลน้ำเต้าไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ก็ผลเหมือนเดิม จิ้งจอกสีเงินรีบคว้ามันไว้แล้วส่งคืนให้หานเซิ่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าจิ้งจอกต้องการให้เขาเก็บมันไว้   หานเซิ่นสังเกตดูปฏิกิริยาของจิ้งจอกอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจออกจากบริเวณนี้   ถ้านี่เป็นสิ่งที่จิ้งจอกยืนกรานให้เขาเก็บมันไว้ เขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่อันตราย บางทีสักวันมันอาจจะกลายเป็นสมบัติจริงๆก็ได้   อย่างน้อยๆด้วยสัมผัสของเขา เขาก็สัมผัสถึงอันตรายจากมันไม่ได้เลย มันก็แค่อาการวิตกกังวลเท่านั้นที่ทำให้เขาอยากทิ้งมันไป   จังหวะการเต้นที่เหมือนกับจังหวะของหัวใจ มันรบกวนจิตใจของหานเซิ่นเป็นอย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถือมันไว้ในมือ เขาก็จะรู้สึกว่ามันเต้นอยู่ หลังจากที่เขาลงจากภูเขาเวหามา มันก็ไม่เคยหยุดเต้นเลย แม้มันจะเต้นแบบอ่อนๆก็ตาม   หานเซิ่นยังคงถือผลน้ำเต้าเล่นต่อไปอีกหลายวัน เขาไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเพราะเขาเล่นกับมันรึเปล่า แต่ผลน้ำเต้าที่ดูเหมือนไร้ชีวิตเริ่มดูสว่างสดใสขึ้น ตอนนี้มันดูเหมือนกับหยกสีเหลือง มีเส้นคล้ายๆกับเส้นเลือดสีทองพันรอบๆมันอย่างสลับซับซ้อน ดูงดงามจริงๆ   หานเซิ่นพักรักษาตัวเป็นเวลาครึ่งเดือน ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาฟื้นสภาพกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว   ตอนนี้หน้าไม้นกยูงและลูกธนูขนอีกาก็พร้อมแล้วด้วย ถ้าเขาเจอกับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับอีกา เขาก็อาจจะล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้จริงๆ   ‘อืมม แต่เราจะไปหาเป้าหมายได้ที่ไหน? ถ้าเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่เหมือนกับลาตัวนั้นก็ดี เราจะได้ยิงมันได้ง่ายๆ ถึงมันจะไม่ตาย อย่างน้อยเราก็หนีมันได้’ หานเซิ่นครุ่นคิด   แต่ภูเขาเวหาก็เป็นที่อยู่อาศัยของอีกาด้วย เขาไม่กล้าพอที่จะโผล่ไปที่นั่นอีก   ส่วนมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่อยู่ในทะเลก็ตัดไปได้เลย เพราะหน้าไม้ของเขาจะอ่อนพลังลงถ้าต้องไปใช้ยิงในน้ำ   ในขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดว่าจะกลับไปที่ทุ่งน้ำแข็ง อยู่ๆก็มีใครบางคนมาเคาะประตูห้องของเขา   “ใครอยู่ข้างนอก?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว   “น้องหาน ฉันเอง!” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากอีกฝากของประตู เขาก็คือเฉินรัน   หานเซิ่นแปลกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายแก่คนนี้จะเอาชีวิตรอดมาได้และยังมีหน้ามาหาเขาอีก ชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่?    

Super God Gene – ตอนที่ 632 ขนอีกา
Super God Gene – ตอนที่ 632 ขนอีกา

  “นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ควีนมองดูบาดแผลบนหลังของหานเซิ่น ซึ่งดูค่อนข้างน่ากลัว มันเป็นแผลที่ยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงเอว มันลึกจนถึงกระดูกสันหลังเลยทีเดียว   ที่คอของเขาก็มีแผลที่มีเลือดซึมออกมาเช่นกัน ถึงมันจะไม่ลึกมากก็ตาม แต่มันก็ดูน่ากลัว ถ้าอีกาฟันคอของเขาได้ลึกอีกสักนิด เขาก็น่าจะตายไปแล้ว   แม้บาดแผลจะดูน่ากลัว แต่ปริมาณเลือดที่ไหลออกมาก็เริ่มลดลงแล้ว กายหยกของเขาช่วยฟื้นฟูร่างกาย ขณะที่มนตรานอกรีตช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะเขามี 2 วิชานี้ล่ะก็เขาน่าจะไม่รอด   “ไม่เป็นไร ผมยังไหวอยู่” หานเซิ่นกัดฟัน ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานบริเวณหลังมาก เขารู้ว่ากระดูกสันหลังคงจะได้รับความเสียหาย โชคดีที่มันไม่ได้ร้ายแรงมาก ถ้าเขากระโดดไปข้างหน้าช้ากว่านั้นอีกนิด กระดูกสันหลังของเขาน่าจะขาดไปแล้ว   ควีนหยิบยาออกมาจากกระเป๋าเป้ของเธอ และใช้มันทำแผลให้หานเซิ่น ซึ่งมันทำให้หานเซิ่นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด   ระหว่างที่กำลังทำแผลอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของอีกาที่ถูกเถาวัลย์พันอยู่ ตอนนี้อีกาไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว ที่ส่วนปลายของเถาวัลย์จะมีหนามแหลมๆอยู่ และพวกมันก็แทงทะลุเข้าไปในตัวของอีกา เถาวัลย์ราวกับมีชีวิต เหมือนมันจะกระหายเลือดของอีกามาก ขณะที่มันดูดเลือดของอีกาเข้าไป เถาวัลย์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เถาวัลย์แห้งๆเริ่มกลับมามีชีวิตเหมือนกับเกิดใหม่   กา!กา! อีกาส่งเสียงร้องออกมา 2 ครั้ง ตอนนี้มันพยายามดิ้นร่นและบิดตัวไปมา จนขนของมันหลุดล่วงลงมาเหมือนกับหิมะตก ด้วยแรงอันมหาศาล ทำให้อีกาสามารถดิ้นหลุดจากเถาวัลย์ได้ จากนั้นมันก็รีบบินหนีขึ้นฟ้าไปด้วยความกลัว   หานเซิ่นช็อคเมื่อเห็นแบบนั้น เขาไม่คิดว่าอีกาจะแข็งแกร่งถึงขนาดดิ้นหลุดจากเถาวัลย์ได้   หลังจากที่อีกาหนีไปได้ เถาวัลย์ก็กลับมาพันรอบๆกระดูกเหมือนกับก่อนหน้านี้ เถาวัลย์ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงกลับมาเป็นสีเหลืองอีกครั้ง แต่ทว่า เถาวัลย์ก็มีใบสีเงินๆงอกออกมา   ผลน้ำเต้าในมือของหานเซิ่นยังคงเต้นอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้มันไม่ได้หยุดเต้นไปเหมือนกับที่ผ่านๆมา หานเซิ่นกำลังถือมันอยู่ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่   ถ้ามันเป็นสิ่งที่คล้ายๆกับดอกบัวที่มีพวกแมลงออกมา หานเซิ่นก็อยากจะโยนมันทิ้งไปซะตอนนี้เลย แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจ เขาไม่อยากจะทิ้งสิ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า   นอกจากที่มันกำลังเต้นเหมือนกับชีพจรแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรที่ผิดปรกติ ขณะที่เขาใช้นิ้วลูบคลำมัน ตาของเขาก็มองไปที่ขนของอีกาที่ล่วงอยู่เต็มพื้นไปหมด   ขนก็เหมือนกับเป็นเกราะส่วนนอกสุดที่คอยป้องกันตัวมัน ถึงจำนวนที่ล่วงมาจะมีไม่มากเท่าไหร่ แต่ทว่าแต่ละเส้นมีความยาว 1 ฟุต หานเซิ่นหยิบมันขึ้นมา 1 เส้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย   ขนสีดำนี้เป็นของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มันก็เป็นเหมือนกับอาวุธของอีกาที่ใช้ต่อสู้   ขนแต่ละเส้นเหมือนกับแผ่นเหล็ก แค่ถือมันก็ดูน่ากลัวแล้ว “นี่เป็นของล้ำค่ามาก” หานเซิ่นบอกให้ควีนรวบรวมขนของอีกามา   หลังจากที่นับดูแล้วมีทั้งหมด 36 เส้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากอยู่ แต่ละเส้นมีขนาดเท่าๆกัน หานเซิ่นคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเอามันไปทำเป็นพัด   หลังของหานเซิ่นยังคงเจ็บอยู่ เขามองควีนและพูด “คุณช่วยทดสอบความแข็งของมันหน่อยได้ไหม?”   ควีนพยักหน้า เธอเรียกดาบวิญญาณอสูรออกมาและฟันไปที่ขนนกอย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน   “นี่เป็นของดีจริงๆด้วย!” หานเซิ่นมีความสุขมาก ถ้าเขาเอามันไปดัดแปลงได้ละก็ เขาอาจจะได้หัวลูกธนูดีๆมาใช้ก็ได้ และถ้าใช้มันกับหน้าไม้นกยูงเนตรมรณะ เขาก็มีสิทธิที่จะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้   “พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งเป็นไง?” หานเซิ่นแนะนำ   “ฉันเอาไปก็คงไม่มีประโยชน์ มันก็แค่ขนนก นายเอาไปทั้งหมดนั่นแหละ” ควีนส่งขนนกทั้งหมดให้หานเซิ่น   ก่อนหน้านี้ควีนก็สังเกตเห็นหน้าไม้ที่หานเซิ่นเอาออกมาใช้ตอนหนีมอนสเตอร์ ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันเหมือนกับนกยูงเนตรมรณะ และยังตอนนี้ที่เห็นเขาอยากจะได้ขนนก มันยิ่งทำให้เธอสงสัยมากขึ้นว่ามันน่าจะเป็นวิญญาณอสูรของนกยูงเนตรมรณะ   แต่หานเซิ่นก็คงไม่มีวันยอมรับความจริงถึงเธอจะถามเขา ดังนั้นควีนเลยไม่เอ่ยถาม ถ้าหานเซิ่นจะเอาขนนกไปทำเป็นลูกธนู เขาก็จะมีเครื่องมือในการล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่มีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นเธอคิดว่าการไม่พูดอะไรออกไปตอนนี้จะเป็นผลดีมากกว่า และเธอก็เลือกที่จะให้ขนนกทั้งหมดกับหานเซิ่น   หานเซิ่นมองควีนด้วยสีหน้าแปลกๆ เมื่อควีนบอกว่าจะให้ขนนกเขาทั้งหมด   หานเซิ่นเชื่อว่าควีนจะต้องเห็นในตอนที่เขาเอาหน้าไม้ออกมาใช้แน่ แต่แค่เธอยังไม่พูดอะไรออกมาเท่านั้น แค่การที่เธอยอมมอบขนนกทั้งหมดให้เขา มันก็พอจะบอกได้แล้ว   “พวกเราต้องรีบออกไป อีกามันหนีไปแล้ว ถ้าลามันกลับมา เราก็จะหนียากขึ้นเพราะนายยังเจ็บหนักอยู่” หลังจากที่เธอพูด เธอก็พยุงหานเซิ่นขึ้นมา และก็ช่วยพาเขาเดินลงภูเขาไป   ตอนนี้หานเซิ่นอยู่บนหลังของควีน หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆ เมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายช่วยเขาแบบนี้   โชคดีที่ระหว่างทางไม่ได้มีอันตรายอะไร พวกเขาสามารถลงภูเขาไปได้โดยไม่เจออุปสรรคอะไร ควีนเรียกสัตว์ขี่ที่ดูเหมือนกับช้างออกมา จากนั้นเธอก็พาหานเซิ่นไปส่งที่เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เขากลับไปรักษาตัวที่สหพันธ์ดวงดาว บาดแผลของเขาร้ายแรงพอสมควร การรักษาคงจะต้องใช้เวลาไม่น้อย การไปรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่น่าจะได้ผลดีกว่า   แต่หลังจากกลับมาที่เมือง เขาก็ยังไม่ได้กลับไปที่สหพันธ์ดวงดาว เขาเลือกที่จะไปหาจิ้งจอกสีเงิน เพราะมันคือหมอที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ดังนั้นเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปที่สหพันธ์ดวงดาว   หานเซิ่นยังคงคิดเกี่ยวกับผลน้ำเต้า ดังนั้นเขาเลยยังไม่อยากรีบกลับสหพันธ์ดวงดาว เขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้มันค้างคาใจ   เขาเดินไปหาจิ้งจอกสีเงิน หลังจากมันเห็นเขา มันก็มีช่วยเลียแผลให้เขาทันที ถึงเขาจะคุ้นชินกับความสามารถนี้ของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่ดี บาดแผลของเขาค่อยๆหายหลังจากที่มันเลีย แม้แต่กระดูกที่เสียหายก็หายเป็นปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นไม่เป็นอะไร ควีนก็ออกจากห้องของเขาไป หลังจากที่เห็นควีนเดินออกไป หานเซิ่นก็เอาผลน้ำเต้าออกมาให้จิ้งจอกสีเงินดูทันที เขาจะได้รู้สักทีว่ามันเป็นของดีหรือไม่ดีกันแน่   หลังจากมองดูมันแล้ว จิ้งจอกสีเงินมีสีหน้าแปลกๆ มันยังคงสังเกตผลน้ำเต้าอย่างใกล้ชิด มันเดินวนไปรอบๆและสูดดมกลิ่น   หานเซิ่นเองก็มองผลน้ำเต้าอยู่เช่นเดียวกัน ระหว่างที่กำลังลุ้นปฏิกิริยาของจิ้งจอก อยู่ๆจิ้งจอกที่เดินไปรอบๆก็หยุด และเดินไปนอนบนพรมซะอย่างงั้น   “เฮ้! อย่างน้อยก็บอกหน่อยว่ามันดีหรือไม่ดี” ดูจากพฤติกรรมของจิ้งจอกสีเงิน เขาไม่รู้เลยว่านี่มันเป็นของดีหรือไม่ดีกันแน่   แต่กระนั้นจิ้งจอกสีเงินก็ยังคงอยู่อย่างสบายใจบนพรม มันไม่สนใจคำสั่งของหานเซิ่น หานเซิ่นรู้ดีว่าจิ้งจอกไม่ใช่มนุษย์ มันคงไม่เข้าใจภาษาของเขาหรอก ดังนั้นเขาเลยหยุดพูดกับมัน  

Super God Gene – ตอนที่ 631 เถาวัลย์
Super God Gene – ตอนที่ 631 เถาวัลย์

  อีกายังคงจับตาดูพวกเขาต่อไป เหมือนกับว่ามันไม่มีแรงจูงใจที่จะเคลื่อนไหว ลาขี่เมฆสีแดงวิ่งตรงมายังฝั่งที่มีหานเซิ่นอยู่ ซึ่งเป็นฝั่งที่มีจำนวนคนมากกว่า   เมื่อเห็นลาขี่เมฆแดงสี่เข้ามาใกล้ เขาผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ถ้าเป็นอีกาที่เลือกตามพวกเขามา มันจะอันตรายยิ่งกว่า   แม้ทุกคนจะรู้สึกผิดที่ต้องให้เฉินรันมาเสียสละตัวเอง แต่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการมีชีวิตรอดทั้งนั้น พวกเขารู้สึกขอบคุณเฉินรันจากใจจริง   เมื่อทุกคนอยู่ตรงหัวกะโหลกของโครงกระดูกแล้ว เฉินรันก็จะโกน “วิ่ง!” เฮินรันพุ่งออกจากโครงกระดูกตรงส่วนหางด้วยความเร็วสูงราวกับสายฟ้า   เมื่อเห็นเฉินรันวิ่ง สวี่ตงจินและคนอื่นๆก็เริ่มวิ่งออกจากกะโหลกด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้   ในตอนที่ควีนกำลังจะวิ่งตามพวกเขาออกไป หานเซิ่นก็ดึงเธอกลับมา เธอหันไปมามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าสับสน เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมวิ่งออกไป   แต่ไม่นานควีนก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น อีกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่เป้าหมายของมันไม่ใช่เฉินรัน แต่เป็นกลุ่มคนที่วิ่งออกจากบริเวณหัวกะโหลก   สวี่ตงจินและคนอื่นๆวิ่งออกกันไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พวกเขาออกไปลาขี่เมฆสีแดงก็เริ่มไล่ตามพวกเขาทันที ทำให้พวกเขาไม่สามารถหนีกลับเข้ามาในกระดูกได้อีกแล้ว เนื่องจากไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว พวกเขาจึงได้แต่วิ่งต่อไปตามแผนเดิม   ควีนหันกลับไปมองทางเฉินรัน ซึ่งเขาวิ่งหนีไปได้หลายร้อยเมตรแล้ว   “ดูเหมือนอีกาจะเลือกตามคนกลุ่มใหญ่” ควีนขมวดคิ้ว   “ไอ้เฒ่าสารพัดพิษ!” หานเซิ่นพูด “ไอ้แก่เฉินรันนั่นมันคิดจะเล่นลูกไม้กับเรา! ส่วนหางดูเหมือนว่าจะอันตรายกว่าในตอนแรก แต่ถ้าดูดีๆทางออกตรงหัวกะโหลกนั้นกว้าง ทำให้ถูกมอนสเตอร์สังเกตเห็นได้ง่ายกว่าส่วนหางมาก นั่นเป็นเหตุผลที่เฉินรันเลือกไปทิศทางนั้น มันคงรู้อยู่แล้วว่ามอนสเตอร์มีโอกาสตามคนกลุ่มใหญ่มากกว่า”   ควีนรู้สึกเสียใจ “เขาส่งลูกน้องตัวเองไปตายอย่างงั้นหรอ?” ตอนนี้ควีนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบเฉินรันมากขึ้น เฉินรันคิดจะให้ลูกน้องสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองสามารถหนีได้   “สารเลวจริงๆ” ควีนสบถออกมาอย่างอดไม่ได้ มันยังโอเคถ้าเฉินรันใช้ลูกไม้นี่หลอกเธอกับหานเซิ่นเท่านั้น แต่นี่เขาถึงกับใช้กับลูกน้องตัวเองที่อยู่ด้วยกันมานาน เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด   “ไม่ต้องห่วง การที่เขาทำแบบนี้ก็ทำให้เรามีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น” หานเซิ่นพูดอย่างใจเย็น ขณะมองดูเฉินรันวิ่งหนีไป   ควีนพอจะเข้าใจความคิดของหานเซิ่น ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ในกระดูกซีโครงของมอนสเตอร์ พวกเขายังไม่สามารถออกไปไหนได้ ไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสวี่ตงจินและคนอื่นๆ ดูเหมือนพวกเขาชะตาขาดแล้ว   หลังจาก 10 นาทีผ่านไปเสียงร้องก็เงียบลงไป พวกเขาทุกคนคงจะถูกฆ่าไปแล้ว   หลังจากที่อีกาและลาจัดการพวกเขาเสร็จ มันก็กลับมา พวกมันมองหานเซิ่นและควีนด้วยแววตากระหายเลือด แต่เมื่อพวกมันเห็นพวกเขายังอยู่ในกระดูกและยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเลย พวกมันจึงเลือกที่จะวิ่งไปทิศทางที่เฉินรันวิ่งหนีไปแทน   “ผมจะนับ 1 ถึง 100 ถ้าผมนับ 100 เมื่อไหร่ พวกเราต้องรีบวิ่งออกไปจากส่วนกะโหลกทันที นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเราจะรอด” หลังจากพูดจบหานเซิ่นก็เริ่มนับทันที เขาปลดล็อคยีนเพื่อสัมผัสอีกาและลาวิ่งกันไปถึงไหนแล้ว   เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากความโหดเหี้่ยมของเฉินรัน เมื่อพวกมอนสเตอร์ไล่ตามเฉินรันไปได้ไกลมากพอแล้ว หานเซิ่นก็เตรียมที่จะหนีไปอีกด้านหนึ่ง   เมื่อเขานับ 100 เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของลาและอีกาได้อีกต่อไป เขาคิดว่าพวกมันคงจะวิ่งไปไกลจนเขาสัมผัสไม่ได้แล้ว หานเซิ่นรู้ว่านี่คือเวลาที่เหมาะแล้ว   หานเซิ่นและควีนพุ่งออกจากกะโหลกราวกับลูกธนู แต่หลังจากออกมาได้แค่ชั่วอึดใจ หัวใจของหานเซิ่นก็แทบจะทะลักออกมา เขาดึงมือควีนและตะโกนบอกให้กลับไป   ควีนมองไปรอบๆ และไม่เห็นว่าจะมีอันตรายอะไร แต่เธอก็เชื่อใจประสาทสัมผัสของหานเซิ่นมาก เธอวิ่งกลับไปที่กะโหลกพร้อมกับหานเซิ่นโดยไม่ลังเล   ขณะที่หานเซิ่นกำลังวิ่งกลับ เขาก็มองดูไปรอบๆเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไร ซึ่งเขาก็มองไม่เห็นอะไรจริงๆ แต่กระนั้นเขาก็เชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง สัญชาตญาณบอกเขาว่าต้องถอยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเขาจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน   ขณะที่เขากำลังวิ่งกลับไปที่กระดูกด้วยความเร็วสูงสุด เขาก็รู้สึกว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา ตัวของเขาสั่นไปหมด มันเป็นแรงกดดันที่น่ากลัวมาก ถึงจะอยู่ในโหมดปลดล็อคยีนและเร่งประสาทมสัมผัสจนถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังสัมผัสอะไรไม่ได้เลย   ในเสี้ยนวินาทีหลังจากนั้นก็มีแสงพุ่งผ่านคอของหานเซิ่นไป เขาไม่ได้ยินอะไรเลย แต่เขาก็กระโดดไปข้างหน้าเพื่อเลี่ยงจุดสำคัญ เขาเห็นเงาบางอย่างพุ่งตรงมาที่เขา จากนั้นเลือดของเขาก็ทะลักออกมาเหมือนกับน้ำพุ   หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าหลังของเขากำลังถูกไฟเผา เขาคิดว่ากระดูกหลังของเขาคงจะหักไปแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมากังวลเกี่ยวกับบาดแผลในตอนนี้ เขากลิ้งและรีบปีนขึ้นไปบนกระดูกซี่โครง   อีกาดูจะโมโหมากที่มันไม่สามารถปลิดชีวิตของหานเซิ่นได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว มันหายตัวไปอีกครั้ง จากนั้นมันก็ทำเหมือนเดิม เมื่อมันปรากฏตัวออกมาอีกที ปีกที่เหมือนกับใบมีดของมันก็เฉือนไปที่บริเวณคอด้านหลังของหานเซิ่น   ในใจของหานเซิ่นได้แต่คิดว่า ‘มันจบแล้ว’ อีกาตัวนี้ทรงพลังมาก ความเร็วของมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถหลบได้เลย   แต่ในตอนที่มันกำลังจะฟันคอของเขา พวกเถาวัลย์แห้งๆที่พันรูปกระดูก อยู่ๆก็เหมือนกับมีชีวิตขึ้นมา   พวกมันพุ่งเข้าใส่อีกาที่กล้าเข้ามาใกล้ๆกระดูกซี่โครงเหมือนกับงู พวกมันพันไปรอบๆตัวอีกาเพื่อกังขังมันเอาไว้ ถึงอีกาจะพยายามดิ้นร่นและกระพือปีกอย่างหนัก แต่มันก็ไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้   หานเซิ่นตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเถาวัลย์ที่ดูไร้ชีวิตจะมีพลังถึงขนาดนี้ มันสามารที่จะล็อคตัวของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดไม่ให้เคลื่อนไหวได้   ตอนนี้หานเซิ่นก็เข้าใจแล้วว่าที่มอนสเตอร์กลัว ไม่ใช่โครงกระดูก แต่มันกลัวเถาวัลย์ที่พันอยู่ต่างหาก   การที่หานเซิ่นไปดึงผลน้ำเต้าออกมาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ หานเซิ่นคิดว่าเขาโชคดีมากจริงๆที่เถาวัลย์ไม่ได้คิดเล่นงานเขา   ตอนนี้ในกระเป๋าเสื้อของหานเซิ่น ผลน้ำเต้าเริ่มเต้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆมา   หานเซิ่นรีบเอามันมาถือในมือทันที เขารู้สึกว่ามันเหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจจริงๆ หานเซิ่นรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเองอย่างแน่นอน มันเป็นชีพจรที่อ่อนเหมือนกับชีพจรเด็กทารก ถึงจะเลือนราง แต่มันก็เหมือนกับมีชีวิต  

Super God Gene – ตอนที่ 630 ติดอยู่ในโครงกระดูก
Super God Gene – ตอนที่ 630 ติดอยู่ในโครงกระดูก

  หานเซิ่นและควีนยังคงวิ่งไปที่โครงกระดูกตามแผนเดิม ขณะเดียวกันก็ได้แต่สวดภาวนาอย่าให้อีกาอย่างปรากฏตัวออกมา   แต่เมื่อพวกเขามาถึงโครงกระดูกมอนสเตอร์ พวกเขาก็ยังเห็นว่าลายังคงไล่ตามพวกเขาอยู่   แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ถอดใจ พวกเขารู้ว่ามอนสเตอร์ทั่วๆไปจะไม่กล้าเข้าใกล้มันในรัศมี 1000 เมตร พวกเขายังหวังว่าถ้าเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดก็อาจจะต้องลดรัศมีลงมาหน่อย บางที่หลังจากพวกเขาเข้าไปใกล้ในรัศมี 10 เมตร มันอาจจะเลิกตามก็ได้   หานเซิ่นและควีนกระโดดไปตามกระดูกซี่โครงของมอนสเตอร์ ขณะที่ลาอยู่ด้านนอก ถึงมันจะโกรธจัด แต่ดูเหมือนมันจะกลัวอะไรบางอย่าง   หานเซิ่นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาหยุดพักบนโครงกระดูก และหันกลับไปมองลา ซึ่งกำลังทำหน้าตาเคร่งเครียด ดูเหมือนมันไม่กล้าจะเข้ามาใกล้ “สงสัยจริงๆว่ากระดูกพวกนี้เป็นของมอนสเตอร์อะไรกันแน่? ถึงขนาดข่มขวัญมอนสเตอร์ที่เหนือกว่าเลือดศักดิ์สิทธิได้”   “ยังไงก็ตาม พวกเราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานเกินไป หลังจากพักสักครู่แล้ว พวกเขาควรจะรีบไป” ควีนนั่งพักและจับตาดูลา   หานเซิ่นพยักหน้า เขารู้ว่าสามารถพักได้แค่แปปเดียว เนื่องจากทั้งหานเซิ่นและควีนใช้โหมดปลดล็อคยีนเป็นเวลานานเกินไป พวกเขาจึงต้องการเวลาฟื้นพลัง ไม่งั้นพวกเขาคงไม่เลือกที่จะหยุดอยู่ที่นี่   อีกอย่างพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่าอีกาจะปรากฏตัวออกมารึเปล่า ด้วยความน่ากลัวของมัน ถ้ามันปรากฏตัวออกมาละก็ พวกเขาคงจะถูกปิดล้อมให้อยู่ตรงโครงกระดูกนี้ไปอีกนานเลย   หลังจากที่พวกเขานั่งพักกันได้ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา จากนั้นก็มีเงาของคนปรากฏตัวออกมา พวกเขาก็คือเฉินรันและลูกน้อง   เมื่อพวกเขาเห็นหานเซิ่นและควีน พวกเขาก็ดูจะช็อคเล็กน้อย ลาขี่เมฆสีแดงที่กำลังหงุดหงิด เมื่อมันเห็นพวกเฉินรัน มันก็ดูจะมีความสุขขึ้นมาทันที   โชคดีที่พวกเขาหลบหนีลาและมาถึงกระดูกซี่โครงได้ สีหน้าของหานเซิ่นและควีนก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกายังคงไล่ตามพวกเฉินรันอยู่ หลังจากที่พวกเฉินรันมาถึงโครงกระดูก อีกาก็ขึ้นไปเกาะบนต้นไม้ใกล้ๆ และจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาที่ดูเลือดเย็น   ‘โถ่เอ้ย ถ้าเรารู้ว่าคนพวกนี้จะโผล่มา เราก็คงจะวิ่งหนีต่อไป’ หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาไม่คิดว่าจะมาเจอพวกเฉินรันที่นี่ ตอนแรกเขาคิดว่าคนพวกนี้น่าจะถูกอีกาฆ่าไปตั้งนานแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงโครงกระดูกมอนสเตอร์   เฉินรันและลูกน้องสีหน้าดุไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรที่รุนแรง พวกเขาเหลือเพียงแค่ 5 คน ซึ่งมันดีกว่าที่หานเซิ่นและควีนคาดการณ์เอาไว้มาก   ถ้าเขาพวกเขาถูกอีกาไล่ล่ามาตลอดทาง ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะเหลือถึง 5 คน แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน   “คุณเฉิน ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมาถึงที่นี่ได้ยังไง?” หานเซิ่นสงสัยจนต้องเอ่ยถาม   “อืมม จริงๆมันก็อธิบายยาก” เฉินรันถอนหายใจ เขาปฏิเสธที่จะอธิบาย   หานเซิ่นรู้ว่าคงไร้ประโยชน์ที่จะถามต่อไป ถ้าเฉินรันไม่อยากบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่ภายในกระดูกซี่โครง ซึ่งดูเหมือนกับกรง ขณะที่ลาขี่เมฆสีแดงได้แต่เดินวนอยู่รอบๆ   อีกาไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว มันยังคงเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และเฝ้ามองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ   “ยังดีที่พวกมันไม่คิดจะโจมตีเรา แต่ดูเหมือนพวกมันคงจะไม่ปล่อยพวกเราไปง่ายๆแน่ ดูเหมือนมันกำลังรอให้พวกเราออกไปอยู่ คุณเฉิน คุณพอจะมีความคิดอะไรดีๆบ้างไหม?” หานเซิ่นถาม   “มีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่ข้างนอกถึง 2 ตัว น้องชายคิดว่าฉันจะทำอะไรได้? รออยู่ที่นี่อีกสักพัก ดูไปก่อนว่าพวกมันจะเอายังไงต่อไป บางทีถ้าพวกมันเบื่อจะรอแล้ว มันอาจจะไปก็ได้” เฉินรันพูด   หานเซิ่นไม่ถามอะไรอีก เขาเดินไปนั่งข้างๆควีน ซึ่งตอนนี้เธอกำลังพักผ่อนอยู่ในสภาพหลับตาทำสมาธิ   การปลดล็อคยีนเป็นเวลายาวนานขนาดนั้นเกิดขีดจำกัดของควีน เธอไม่ใช่หานเซิ่นที่มีมนตรานอกรีตและตะวันหยก พลังของเธอไม่ได้เหลือล้นเหมือนกับเขา การที่เธอทนวิ่งจนมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว   ตอนนี้พวกเขา 7 คนติดอยู่ในโครงกระดูก พวกเขารอทั้งวันทั้งคืน แต่พวกมอนสเตอร์ที่ก็ยังไม่ไปสักที ลาเดินไปเดินมาเกือบจะตลอดเวลา ขณะที่อีกาเกาะอยู่บนกิ่งไม้อย่างเงียบสงบ   หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ทุกคนต่างก็รู้ว่าใครก็ตามที่ก้าวออกจากโครงกระดูกนี้จะต้องถูกฆ่าโดยมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดทั้ง 2 ตัว   ขณะกำลังนั่งผิงกระดูก อยู่ๆหานเซิ่นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเต้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เขาเกือบจะลืมไปสนิทเลยว่าเขาเก็บผลน้ำเต้าไว้ตรงนั้น   แต่เมื่อเขาเอามันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันก็หยุดเต้น หานเซิ่นลองเอานิ้วจับและสำรวจมันดู แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรที่ผิดปรกติ   ‘เป็นพืชที่แปลกจริงๆ’ หานเซิ่นยังไม่เอามันเก็บใส่กระเป๋า เขาเลือกที่จะถือมันอยู่ในมือต่อไป อย่างน้อยเขาจะได้ตอบสนองทันถ้ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้น   ลาขี่เมฆสีแดงและอีกาดูจะอดทนอย่างมาก ไม่ว่ายังไงพวกมันก็ไม่ยอมที่จะทิ้งเหยื่อไป หลังจากภายมา 3-4 วันแล้ว ความหิวก็เริ่มเล่นงานพวกเขา ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้กินน้ำแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่มาติดอยู่ในนี้ ซึ่งถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเขาก็มีโอกาสที่จะตายอยู่ที่นี่   “น้องหาน ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมให้พวกเราออกไปได้ง่ายๆ พวกราคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง” เฉินรันเดินเข้ามาหาหานเซิ่น เขาลดเสียงลงเพื่อพูดกับหานเซิ่น   “ถ้าคุณมีความคิดดีๆ ผมก็อยากจะฟัง” หานเซิ่นรู้ดีว่ายังไงเฉินรันก็ต้องเข้ามาพูดกับเขาอยู่แล้ว แค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น   “พวกเราต่างก็เป็นผู้วิวัฒนาการที่มีชื่อเสียง ถ้าถูกพบว่ามาตายอยู่ในที่นี่ล่ะก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย” หลังจากนั้นเฉินรันก็พูดต่อ “โครงกระดูกนี้มีความยาวหลายไมล์ ถ้าพวกเราแยกกันไปคนละด้าน พวกเราอาจจะมีโอกาสรอด นายคิดว่าไง?”   “สมมุติว่าพวกเราจะใช้แผนนั้น เราจะแบ่งทีมกันยังไง?” หานเซิ่นคิดว่าความคิดของเฉินรันดูมีเหตุผล   ลาขี่เมฆสีแดงอยู่ใกล้ๆกับส่วนหางของโครงกระดูก คนที่ต้องวิ่งไปจุดนั้นจะเสียเปรียบมาก มีโอกาสที่คนไปตรงนั้นจะถูกมอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวรุมโจมตี   “นี่คือแผนของฉัน และฉันก็ไม่ต้องการให้ทุกคนรับความเสี่ยง ทุกคนวิ่งไปด้านหน้า ส่วนฉันจะวิ่งไปที่ส่วนหางเอง” เฉินรันถอนหายใจ จากนั้นเขาพูดต่อ “แต่ฉันมีเงือนไขอยู่อย่างหนึ่ง”   “โปรดบอกมาเลย” หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจที่เฉินรันจะเสียสละตัวเอง   “สวี่ตงจินและคนอื่นๆก็เหมือนเป็นพี่น้องของฉัน ฉันหวังว่านายจะพาพวกเขาไปด้วย ฉันคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี่ ฉันควรจะต้องไปเป็นตัวล่อ เพื่อทำให้ทุกคนมีเวลามากพอที่จะหนีไปจากที่นี่ได้” เฉินรันพูด   “คุณเฉิน…” สวี่ตงจินและคนอื่นๆพูดไม่ออก พวกเขาไม่คิดว่าเฉินรันจะเสียสละตัวเองขนาดนี้   “พวกนายไม่จำเป็นต้องพูดอะไร นี่คือการตัดสินใจของฉัน พวกนายติดตามฉันมาเป็นเวลานานแล้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันสามารถทำเพื่อทุกคนได้ แต่ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะยื้อเวลาได้นานแค่ไหน หวังว่าทุกคนจะรอดไปได้” เฉินรันยิ้ม   เฉินรันอยากจะให้สวี่ตงจินและคนอื่นๆไปกับหานเซิ่นและควีน ขณะที่เขาจะเป็นคนวิ่งออกไปที่ส่วนหางเอง   พวกเขานัดเวลากันเป็นอย่างดี เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็แยกกันวิ่งออกไปคนละทาง    

Super God Gene – ตอนที่ 629 เอาตัวรอดจากความตาย
Super God Gene – ตอนที่ 629 เอาตัวรอดจากความตาย

  เฉินรันกำลังวิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาทำได้ แต่อยู่ๆเขาก็เห็นเมฆสีแดงจากระยะไกล มันคือมอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับลาที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้   เฉินรันหยุดวิ่ง แต่มอนสเตอร์ที่ขี่เมฆสีแดงก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา และโจมตีเขาด้วยความเร็วสูง   ผมยาวๆของเฉินรันตั้งขึ้น จากนั้นกระแสลมก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา เขากระโดดขึ้นไป 10 เมตรในอากาศเพื่อหลบการโจมตีที่เข้ามา เขาหมุนตัวในอากาศเหมือนกับนกพิราบ จากนั้นเขาก็เหยียบอากาศและกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง เขาไปลงตรงจุดที่อยู่ห่างจากศัตรู 10 เมตรและก็เริ่มวิ่งหนีต่อไป   สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่วินาที มันดูสมบูรณ์แบบมาก ความแข็งแกร่งของคนตระกูลเฉินไม่ธรรมดาเลย   มอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับลาไม่ได้หันกลับไปสนใจเฉินรัน มันหันมามองที่ควีนแทน จากนั้นเมฆสีแดงก็ปรากฏออกมาจากปากของมัน   ดวงตาของควีนมีเปลวไฟสีม่วงลุกโชติขึ้นมา ร่างกายของเธอห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วง เธอพยายามหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับลา และรีบวิ่งหนีลงภูเขาต่อไป   เหมือนมอนสเตอร์ตัวนั้นจะเห็นควีนเป็นเป้าหมายของมัน มันจับตาดูเธอทุกการเคลื่อนไหว จากนั้นมันตามเธอไปโดยที่มันไม่ได้มองคนอื่นเลยแม้แต่น้อย   หานเซิ่นขมวดคิ้ว นี่มันเหมือนกับกรณีที่เลวร้ายที่สุด หานเซิ่นไม่รู้ว่าควีนไปทำอะไรให้มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่พอใจ แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะล็อคเป้าไปที่เธอแล้ว   เสียงกรีดร้องของเหยื่ออีกรายดังมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ามีคนหัวขาดไปอีกรายหนึ่งแล้ว มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดทั้ง 2 ตัวต่างก็เล็งพวกเขาเป็นเป้าหมาย ความหวังที่จะรอดชีวิตเริ่มริบรี่ลงทุกที   แต่ทันใดนั้นอยู่ๆหานเซิ่นก็เห็นว่าควีนเปลี่ยนทิศทางการหนี ดูเหมือนเธอจะต้องการล่อมอนสเตอร์ที่เหมือนกับลาออกไปห่างๆจากคนอื่นๆที่เหลือ   หานเซิ่นต้องขอยอมรับในความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเธอจากใจจริง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ต้องการปล่อยให้เธอไปคนเดียว หานเซิ่นเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางตามควีนไปด้วย   คนอื่นๆที่ตามหลังหานเซิ่นมาเลือกที่จะไม่ไปตามเขา พวกเขายังคงไปตามเส้นทางเดิม ซึ่งพวกเขาก็ยังคงถูกอีกาไล่ตามต่อไป   หานเซิ่นไม่สนใจพวกที่เหลือ ตอนนี้เขากำลังไล่ตามมอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับลาขี่เมฆสีแดงด้วยความเร็วสูงสุด   ลาขี่เมฆสีแดงคือศัตรูที่น่ากลัวมากก็จริง แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถมองเห็นการโจมตีของมัน มันต่างจากอีกาซึ่งเขามองไม่ออกเลยว่ามันจะโจมตียังไง หลังจากหานเซิ่นและควีนเลือกที่เผชิญหน้ากับลาขี่เมฆสีแดง ดูเหมือนอีกาจะไม่ตามพวกเขาอีกต่อไป การเปลี่ยนศัตรูที่น่ากลัวเป็นศัตรูที่น่ากลัวน้อยลง ทำให้หานเซิ่นและควีนมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น   ควีนสามารถตัดสินใจได้อย่างฉับพลันในสถานการณ์ที่วิกฤต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก ความสามารถนี้ถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด และมันไม่ใช่เรื่องที่สามารถฝึกฝนกันได้   ไม่นานพวกเขาก็ออกห่างจากกลุ่มของผู้ติดตามเฉินรัน หานเซิ่นรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เห็นอีกาหายลับตาไป ตอนนี้เหลือแค่หาทางรับมือกับลาขี่สีเมฆแดงนี่ให้ได้ก็พอ   ลาขี่เมฆสีแดงมีพลังที่ด้อยกว่าอีกาอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถคาดการณ์การโจมตีของมันล่วงหน้าได้ ซึ่งมันต่างจากอีกาที่มีความสามารถในการวาร์ปได้   ควีนใช้หมากล้อมสวรรค์เปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยขณะกำลังหนี เธอหลบการโจมตีของลาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงเธอจะไม่สามารถโต้กลับได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่น่าจะถูกมันฆ่าได้   ขณะที่หานเซิ่นกำลังไล่ตามไป เขาก็เห็นว่าเมฆที่ปกคลุมตัวลาอยู่นั้นได้รวมร่างเข้ากับลา ตอนนี้รูปร่างของมันเปลี่ยนไปดูเหมือนกับม้าที่มีเมฆห่อหุ้มเอาไว้ ทันใดนั้นมันก็กระโดดไปข้างหน้า 10 เมตรในพริบตา   การเพิ่มความเร็วอย่างฉับพลันของมันทำลายจังหวะหมากล้อมสวรรค์ของควีน ถึงเธอจะยังสามารถหลบการโจมตีของมันได้อยู่ แต่ระยะห่างแบบนั้นก็หมายความว่าสถานการณ์ดูแย่ลง   หานเซิ่นกระโดดขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นเขาก็เรียกหน้าไม้นกยูงเนตรมรณะออกมา และบรรจุลูกธนูโลหะzเข้าไป3 ดอก จากนั้นเขาก็ยิงลูกธนูทั้ง 3 ออกไปด้วยความเร็วสูง   ลูกธนูโลหะzทั้ง 3 เปลี่ยนสภาพเป็นแสงพุ่งเข้าใส่ลา หลังจากที่มันปะทะกับผิวหนังของลาลูกธนูก็ระเบิดทันที หานเซิ่นไม่ได้รอดูผลลัพธ์ของมัน เขารีบวิ่งต่อไปทันที   ลาส่งเสียงร้องออกมา หลังจากโดนลูกธนูทั้ง 3 เข้าไป แม้มันอาจจะไม่สามารถทะลุผิวหนังของมันเข้าไปได้ แต่อย่างน้อยๆมันก็ทรงพลังพอที่จะทำความเสียหายให้มันได้บ้าง   ลาขี่เมฆสีแดงพ่นอากาศออกจากจมูกด้วยความโกรธ มันเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หานเซิ่นแทน ด้วยความเร็วที่น่ากลัวของมัน แค่ 3 ก้าวมันก็มาถึงตัวหานเซิ่นแล้ว   ทักษะของหานเซิ่นไม่ได้ด้อยไปกว่าควีน แต่ก็ไม่ได้เหนือไปกว่าควีนมากนัก เขาหยุดวิ่งและรับมือกับลา   ด้วยเวลาที่หานเซิ่นสร้างขึ้นมา ควีนก็สามารถวิ่งหนีเพิ่มระยะห่างไปได้มากพอสมควร เธอหันกลับมาและก็ตะโกนไปที่ลา เมื่อมันได้ยินเสียงเธอ ตาของมันก็ลุกเป็นไฟ มันเปลี่ยนไปไล่ตามควีนทันที   ทั้งหานเซิ่นและควีนไม่มีใครที่สามารถเอาชนะลาตัวนี้ได้ แต่ถ้าทั้งคู่ช่วยกันเบนความสนใจของมันไปเรื่อยๆ ลาก็จะเริ่มสับสน ตอนนี้มันวิ่งกำลังไปวิ่งมาระหว่างหานเซิ่นและควีน ความโกรธของมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นและควีนวิ่งหนีไปได้ไกลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่พวกเขายังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว   ถึงพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหน แต่ก็ยังสลัดการติดตามของมันไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย ผิวหนังของมันแข็งมาก และการจะหนีมันโดยอาศัยความเร็วอย่างเดียวก็เป็นไปไม่ได้ด้วย   “เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ถ้าอีกาฆ่าพวกที่เหลือเสร็จ และเลือกที่จะกลับมาไล่พวกเรา พวกเราคงรอดยาก!” หานเซิ่นตะโกนไปทางที่ควีน   “พวกเราไม่มีทางเลือก” ควีนตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกมาเลย   “คุณจำโครงกระดูกมอนสเตอร์ได้ไหม ที่พวกเขาบอกว่าไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนกล้าเข้าไปใกล้มันในรัศมี 1000 เมตร บางทีพวกเราน่าจะลองไปที่นั่นดู” หานเซิ่นแนะนำ   “ตกลง” ควีนตอบโดยไม่ลังเล   ถึงพวกเขาจะไม่แน่ใจว่ากระดูกนั่นจะสามารถไล่มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้หรือไม่ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดู ตอนนี้ทางเลือกของพวกเขามีจำกัดมาก พวกเขาได้แต่หวังว่าจะไปถึงจุดหมายก่อนที่อีกาจะฆ่าคนอื่นได้หมดก่อน   ตอนนี้ลากำลังไล่ตามพวกเขาด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด แต่แม้มันจะโกรธแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นและควีนได้เลยเมื่อพวกเขาร่วมมือกัน   เนื่องจากพวกเขาเปลี่ยนเส้นทางในการลงเขา ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาวิ่งวนไปวนมาอยู่นาน เพื่อหาจุดที่โครงกระดูกตั้งอยู่ ยังดีที่ลาส่งเสียงร้องและคำรามตลอดทาง ทำให้มอนสเตอร์ตัวอื่นๆไม่กล้าที่จะเข้ามากวนพวกเขาในขณะที่กำลังวิ่งหนี ซึ่งมันช่วยพวกเขาได้มาก   ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างพวกเขา ในตอนที่พวกเขามาถึงจุดที่มีโครงกระดูกอยู่ พวกเขาก็ยังไม่เห็นอีกาเลย แสดงว่ามันยังไล่พวกที่เหลือไม่เสร็จ   แต่เมื่อหานเซิ่นอยู่ในรัศมี 1000 เมตรจากโครงกระดูก ลาก็ยังไม่เลิกที่จะไล่ตามพวกเขา มันยังคงไล่ตามพวกเขาเหมือนเดิม ทำให้หานเซิ่นและควีนต้องขมวดคิ้ว  

Super God Gene – ตอนที่ 628 การไล่ฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว
Super God Gene – ตอนที่ 628 การไล่ฆ่าที่น่าสะพรึงกลัว

  แม้หานเซิ่นจะเริ่มวิ่งหนีเป็นคนแรก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ปลอดภัย เขากำลังภาวนาให้อีกาไม่เลือกเขาเป็นเป้าหมายของมัน   ‘บ้าเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมมันถึงปล่อยให้พวกเราหนีไปได้ไกลก่อน ถึงเริ่มเคลื่อนไหว’ หานเซิ่นรู้สึกแปลก แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีเวลาที่จะให้คิดอะไรแล้ว เขาต้องพยายามหนีเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อน   หานเซิ่นไม่กล้าที่จะเรียกปีกวิญญาณอสูรออกมาใช้ การเจอมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดประเภทบินได้ และเรียกปีกออกมาใช้ถือเป็นเรื่องที่สิ้นคิดมาก   พวกเขาทั้งหมดกำลังวิ่งหนีลงภูเขาด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาไม่สนใจว่าจะไปเจอมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดอีกตัวหรือไม่ ตอนนี้อีกาสีดำกำลังจ้องมองพวกเขา   มันดูเหมือนกับราชาผู้ควบคุมท้องฟ้า เมื่อมันปรากฏตัวออกมาท้องฟ้าก็โล่งทันที ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนจะกล้าโผล่หน้าออกมา   หานเซิ่นหันไปมองข้างหลัง และเห็นว่าอีกากำลังไล่ตามพวกเขามา ถึงมันจะไม่ใช่มอนสเตอร์ตัวใหญ่ แต่แรงกดดันของมันก็ทำให้หานเซิ่นกลัวไม่ต่างจากมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตัวอื่นเลย   อีกาล่อนอยู่บนท้องฟ้าแบบชิวๆ ดูเหมือนมันจะไม่ได้ใช้ความพยายามในการบินหรือกระพือปีกเลย แต่ก็น่าแปลกที่ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งหนีเร็วแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถทิ้งห่างจากมันได้เลย   หลังจากที่พวกเขาวิ่งหนีกันมาได้ 1000 เมตร พวกเขาก็ได้ยินเสียงที่ทำให้หัวใจเกือบจะหยุดเต้น   กา! เสียงร้องแหลมๆดังก้องไปทั่วบริเวณ อีกไม่กี่วินาทีต่อมาอีกาก็เร่งความเร็วขึ้น ราวกับว่ามันเทเลพอร์ตเลยก็ว่าได้ มันบินโฉบลงมาที่ผู้ติดตามของเฉินรัน ปีกสีดำของมันตัดผ่านคอของคนคนนั้นไป   อีกาเร็วมากจนคนคนนั้นไม่มีเวลาได้ตอบโต้อะไรเลย แค่เสี้ยววินาทีหัวของเขาก็หลุดออกจากคอเรียบร้อยแล้ว   ด้วยความเร็วของอีกา ง่ายมากที่มันจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เลือดกระเด็นมาติดตัวมัน แต่ทว่ามันกลับเลือกที่จะลดความเร็วลงเพื่อให้เลือดกระเด็นมาอาบตัวมัน แววตาของมันดูมีความสุขมากเมื่อได้อาบเลือดของเหยื่อ มันแลบลิ้นออกมาลิ้มรสชาติของเลือด และดูเหมือนมันจะพอใจมากด้วย   เมื่อคนอื่นๆเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจของพวกเขาก็เกือบจะหยุดเต้น ขนของพวกเขาตั้งขึ้นทั่วทั้งร่าง คนที่วิ่งอยู่รั้งท้ายมีฝีมือสูงระดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะโต้ตอบอะไรได้เลย มันดูเป็นการตายที่สิ้นหวังจริงๆ อีกาตัดหัวของเขาได้แบบสบายๆเหมือนไม่ต้องออกแรงอะไรเลย   ไม่มีใครกล้าที่จะลดความเร็วลง ทุกคนวิ่งหนีสุดกำลัง แต่อีกาก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาหนีได้อีกต่อไป ด้วยแววตาที่ดูกระหายเลือดของมัน มันบินไล่ผู้ติดตามของเฉินรันที่วิ่งอยู่รั้งท้ายต่อไป   “ช่วยฉันด้วย!” มีเสียงใครบางคนร้องดังมาจากด้านหลัง แม้เขาจะรู้ว่าอีกากำลังเข้ามา แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงสั่นๆ   แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คงไม่มีใครกล้าลดความเร็วลงและหันกลับไปช่วยเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้ทุกคนต่างก็กลัวจนไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลัง   อีกามันรวดเร็วมาก พวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะหลบการโจมตีของมันได้ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องโจมตีสวนกลับเลย   หานเซิ่นปลดล็อคยีนเพื่อเพิ่มพลังสัมผัสทั้ง 7 ของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมองไม่ทันจังหวะที่อีกาโจมตี มันราวกับว่าอีกาหายตัวไป จากนั้นปีกของมันก็ฟันคอของเหยื่อหลุดอย่างง่ายดาย   ระยะห่างจากจุดที่มันอยู่บนท้องฟ้าถึงจุดที่คนกำลังวิ่งหนีก็ห่างมากพอสมควร มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่แม้แต่หานเซิ่นจะปลดล็อคยีนแล้วก็ยังมองไม่ทัน หานเซิ่นเริ่มคิดว่ามันน่าจะมีความสามารถพิเศษบางอย่าง   กา! เสียงร้องสูงๆดังขึ้นมาอีกครั้ง อีกาหันหัวเล็งไปยังคนที่วิ่งอยู่ท้ายสุดอีกครั้ง ครั้งนี้หานเซิ่นเพ่งสมาธิจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของมันอย่างเต็มที่   แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ ในจังหวะที่อีกาตัดสินใจจะลงมา เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนที่ของมันได้เลย มันมาปรากฏตัวที่ด้านหลังของลูกน้องเฉินรันราวกับวาร์ปได้   ในระหว่างที่เขากำลังตกตะลึงกับความน่ากลัวของอีกกา อยู่ๆเขาก็เห็นเฉินรันกำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง และวิ่งแซงเขากับควีนไป   ‘สมกับเป็นคนตระกูลเฉินที่เด่นด้านฟุตเวิร์คจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น’ หานเซิ่้นกัดฟันและรีบวิ่งตามไป เขาต้องวิ่งให้เร็วที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถไล่ตามเฉินรันได้ทัน   ไม่นานนักก็มีเสียงร้องของอีกาดังขึ้นมาอีก มันกำลังสนุกกับการไล่ฆ่าเหยื่อทีละคนๆ เมื่อได้ยินเสียงของมันทีไร ทุกคนก็ได้แต่ภาวนาว่าครั้งนี้คงไม่ใช่พวกเขาที่เป็นเป้าหมายของมัน   คนที่ยิ่งวิ่งท้ายคนอื่นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวและเสียขวัญมาก หัวใจของพวกเขาแทบจะหยุดเต้น   คนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาทุกคนที่กำลังวิ่งอยู่ในตอนนี้ เมื่อได้ยินเสียงอีการ้อง เขาก็พยายามจะวิ่งตามอีก 3 คนที่อยู่ด้านหน้าไป แต่ในจังหวะที่เขากำลังวิ่งอยู่นั้น เขาก็สะดุดกิ่งไม้จนล้มลง   “ไม่! ช่วยฉันด้วย!อ้าาาก!” เสียงกรีดร้องที่สิ้นหวังของเหยื่ออีกคนดังมา ซึ่งมันยิ่งทำให้คนที่เหลือเริ่มสิ้นหวังไปด้วย มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังวิ่งอยู่ในหุบเขาแห่งความตาย หานเซิ่นเริ่มที่จะตระหนักแล้วว่าถ้ายังวิ่งกันต่อไปด้วยความเร็วขนาดนี้ ทุกคนคงจะถูกฆ่าก่อนที่จะไปถึงครึ่งทางซะอีก   “ถ้าพวกเรายังหนีกันต่อไปแบบนี้ พวกเราคงไม่รอดแน่!” หานเซิ่นลดความเร็วลงและวิ่งมาตีคู่กับควีน   “แต่ถ้าพวกเราไม่สามารถเอาชนะมันได้ ยังไงเราก็ไม่รอดอยู่ดี” ควีนพูด ซึ่งหานเซิ่นก็เข้าใจความหมายของเธอ   ควีนกับหานเซิ่นมีความคิดอย่างเดียวกัน เมื่อวิเคราะห์ความเร็วของอีกาแล้ว ถึงจะโจมตีโดนมันไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างยังไงมันก็จะไล่พวกเขามาอยู่ดี   “พวกเราลองแยกกันเป็นไง?” หานเซิ่นแนะนำด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด   “ไม่! แยกกันจะมีประโยชน์อะไร?!” ควีนปฏิเสธข้อเสนอของหานเซิ่น ด้วยความเร็วที่น่ากลัวของอีกา ถึงแยกกันผลก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ดูแล้วมันน่าจะทำให้ตายเร็วขึ้นด้วยซ้ำ   “นายยังจำมอนสเตอร์ที่ขี่เมฆสีแดงได้ไหม?” ควีนถาม   “คุณจะบอกว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตรใช่ไหม? แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ผลรึเปล่า ดูยังไงตอนนี้เราก็น่าจะโดนประกบทั้ง 2 ด้าน ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราไม่รอดแน่!” หานเซิ่นเข้าใจความคิดของควีน แต่ยังไงเขาก็รู้สึกว่ามันยากอยู่ดี   “พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง! ถ้ายังวิ่งกันต่อไป ยังไงพวกเราก็ตาย” ควีนพูด   หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของควีน เขาคิดว่าเธอน่าจะมีแผนบางอย่าง พวกเขาควรจะเลือกทางที่มีหวังถึงจะแค่ 1%   “แม้พวกเราอยากจะลองทำแบบนั้น แต่มอนสเตอร์ตัวนั้นก็ลงไปข้างล่างแล้ว พวกเราอาจจะถูกฆ่าตายก่อนที่จะวิ่งไปเจอมันก็ได้” ระหว่างที่กำลังหารือกันอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของเหยื่ออีกคนขึ้นดังมา   ครั้งนี้ก่อนที่คนคนนั้นจะถูกฆ่า เขาหยุดและหันไปพยายามที่จะสู้กับอีกา แต่ก่อนที่เขาจะโจมตีได้ ปีกของอีกาก็ตัดคอของเขาเสียก่อน หัวของเขาขาดกระเด็นทันที   แววตาของควีนยังคงเยือกเย็น ออร่าสีม่วงของเธอเรอ่มปรากฏออกมา ทันใดนั้นเองเสียงร้องของอะไรบางอย่าวงก็ดังมา แต่มันไม่ใช่เสียงของอีกา   ขณะที่หานเซิ่นเห็นควีนปลดล็อคยีน อยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงของม้าดังมาจากด้านล่างของภูเขา เสียงกีบเท้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังใกล้เข้ามา      

Super God Gene – ตอนที่ 627 อีกา
Super God Gene – ตอนที่ 627 อีกา

  “ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถ้าเขาเหนื่อยล้าเมื่อไหร่ เขาจะตกอยู่ในอันตราย” สวี่ตงจินพูด ขณะที่มองดูหานเซิ่นสู้ไปถอยไปอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ควีน คุณไม่คิดจะช่วยเขาหน่อยหรอ?”   สวี่ตงจินไม่ได้จะเข้าไปช่วยหานเซิ่น เพราะเขามีจิตใจดีอยากช่วยเพื่อนมนุษย์อะไร แต่เขาเห็นหานเซิ่นล่อพวกนกออกมาได้เป็นจำนวนมาก ถ้าเขากับควีนเข้าไปช่วยหานเซิ่นตอนนี้ พวกเขาก็จะก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จำนวนมาก   ถ้าเทียบกับนั่งดูอยู่เฉยๆ การเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบนี้มีหรอที่เขาจะไม่เสนอให้ควีนรีบเข้าไปช่วย   “ไม่จำเป็น อีกไม่เกิน 30 กระบวนท่าราชาเหยี่ยวเวหาจะถูกฆ่า” ควีนพูดอย่างสงบ   ตอนนี้สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องหานเซิ่นที่กำลังสู้ไปถอยไปอยู่บนท้องฟ้า มันดูเหมือนกับเขาสู้แบบสะเปะสะปะไร้รูปแบบ แต่กระนั้นก็มีควีนที่ดูออกว่าหานเซิ่นคำนวณการเคลื่อนไหวมาเป็นอย่างดีแล้ว และยังไงราชาเหยี่ยวเวหาจะต้องถูกฆ่าแน่นอน   “30 กระบวนท่า? ดูยังไงเขาก็ไม่น่าจะทำได้” สวี่ตงจินยังมองไม่เห็นโอกาสที่หานเซิ่นจะเล่นงานเหยี่ยวเวหาได้เลย เขาคิดว่าหานเซิ่นเคลื่อนไหวหลบได้ดีก็จริง แต่ยังไงเขาก็ไม่น่าจะหาทางฆ่าเหยี่ยวเวหาได้ง่ายๆ   เฉินรันยังดูอยู่เงียบๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คนแก่อย่างเขาไม่เหมือนกับสวี่ตงจิน เขาพอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่เขาค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นการต่อสู้ของหานเซิ่น   ‘หนุ่มคนนี้กำลังใช้หมากล้อมสวรรค์อยู่งั้นหรอ? ตระกูลหวงฟูสอนให้คนนอกด้วยหรอเนี่ย? นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้! หวงฟูสงเฉิงเคยบอกไว้ว่าถ้าไม่ใช่คนในตระกูลจะไม่มีสิทธิเรียนวิชานี้ได้’ เฉินรันคิด ขณะที่ตาของเขายังคงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น   ผู้ติดตามของเขาเริ่มนับกระบวนท่าของหานเซิ่น เพื่อดูว่าคำพูดของควีนเป็นจะจริงหรือเปล่า   หลังจากกระบวนท่าที่ 24 อยู่ๆหานเซิ่นก็โจมตีสวนกลับเหยี่ยวเวหาอย่างรุนแรง มันเป็นการโจมตีที่ไม่คาดฝัน   ราชาเหยี่ยวเวหากำลังบินด้วยความเร็วสูง มันกระพือปีกอย่างรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีของหานเซิ่นที่ตรงเข้ามา มันสามารถหลบดาบแรกได้ แต่ทว่าหลังจากนั้นมันก็พบว่าตัวมันถูกนกตัวอื่นบังทางไว้หมด และในจังหวะนั้นเองดาบที่ 2 ของหานเซิ่นก็แทงเข้าไปไปที่ตัวมัน   ดาบอสรพิษเนตรเงินแทงเข้าไปที่ตัวเหยี่ยวเวหาอย่างรุนแรง ราชาเหยี่ยวเวหามีความเร็วสูงมากก็จริง แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยพลังป้องกันที่ต่ำกว่ามอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิตัวอื่น ดาบของหานเซิ่นแทงเข้าไปถึงอวัยวะภายในของมันได้อย่างง่ายดาย   สวี่ตงจินและคนอื่นๆยืนอึ้ง หานเซิ่นใช้ 25 กระบวนท่าในการฆ่าราชาเหยี่ยวเวหา   ตอนนี้หานเซิ่นยังคงเคลื่อนไหวหลบนกตัวอื่นๆต่อไป จากนั้นเขารีบบินตามร่างของราชาเหยี่ยวเวหาที่กำลังตกลงไปบนพื้น เขายังไม่ได้ยินเสียงที่บอกว่าเขาฆ่ามันได้เลย ดังนั้นมันคงยังไม่ตายสนิท   ราชาเหยี่ยวเวหาตกลงไปในต้นไม้ เมื่อหานเซิ่นไปถึงตรงนั้น เขาก็พบว่าราชาเหยี่ยวเวหานอนแน่นิ่งอยู่บนกิ่งไม้แล้ว   หานเซิ่นยื่นมือออกไปคว้าร่างที่เกือบจะไร้วิญญาณอสูรของราชาเหยี่ยวเวหา และใช้พลังหยินจัดการปิดชีวิตมัน   “ราชาเหยี่ยวเวหาเลือดศักดิ์สิทธิถูกฆ่า ไม่ได้รับวิญญาณอสูร เมื่อกินเนื้อของมัน คุณมีโอกาสได้รับ 0-10 จีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ”   การที่หานเซิ่นไม่ได้วิญญาณอสูร เขาเองก็ไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้วิญญาณอสูรมันก็น้อยอยู่แล้ว   เนื้อของราชาเหยี่ยวเวหามีไม่มาก เขาสามารถกินมันหมดได้ในมื้อเดียว และมีโอกาสได้จีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิอย่างน้อยๆก็ 8 จีโนพ้อย   หานเซิ่นบินลัดเลาะไปตามกิ่งไม้เพื่อสลัดการติดตามจากพวกนกจำนวนมาก แต่ในขณะที่เขากำลังหนีอยู่ เขาก็บังเอิญไปเห็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ในรัง และม่านตาของเขาก็ต้องหดย่อ   ภายในรังเขาเห็นนกที่ดูเหมือนกับอีกา ขนของมันเป็นสีดำเหมือนกับน้ำหมึก แค่หานเซิ่นเห็นมัน เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังทันที เขามองไปยังตาที่ดูเย็นเยือกของมัน เขาคิดว่าถ้าอีกาตัวนี้ตัดสินใจเข้ามาโจมตีเขาละก็ เขาก็คงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่ๆ   แต่โชคดีที่อีกาไม่ได้ทำอะไร มันยังคงอยู่ในรังเหมือนปรกติ มันมองดูหานเซิ่นบินผ่านไป   ตัวของหานเซิ่นชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แค่เขามองตาของมัน เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากตัวมัน เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด   หานเซิ่นรีบหนีออกจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็เริ่มสวดภาวนาว่าอย่าให้มันตามมา แต่การที่เขาเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดขนาดนั้น แต่มันไม่ทำอะไรก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว   ยิ่งคิดหานเซิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปรกติ เขาเข้าไปใกล้ถึงขนาดนั้นไม่มีทางที่มันจะมองไม่เห็นเขา มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดอยู่ห่างจากเขาแค่ 3-4 เมตรเท่านั้น ถ้ามันมองเห็นเขาจริงๆ แล้วทำไมมันถึงเลือกที่จะปล่อยเขาไปแบบนั้น   ‘หรืออีกาไม่สามารถขยับตัวได้?’ ความคิดแวบเข้ามาในหัวของหานเซิ่น ‘ถ้าอีกามันกำลังวางไข่อยู่ล่ะ นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่มันเลือกที่จะไม่เข้ามาฆ่าเรา’   นอกจากเหตุผลนี้แล้ว หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลอะไรอีกที่มันไม่เข้ามาโจมตี และปล่อยให้เขาหนีไปแบบนั้น แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องรีบหนีให้เร็วที่สุดเท่า เขาต้องรีบไปในที่ที่ปลอดภัย ถ้าอีกาตัวนั้นออกมาจากรังสถานการณ์จะต้องวิกฤตแน่   หานเซิ่นบินตรงไปทิศทางที่ควีนอยู่และก็ตระโกน “ไปเร็ว! รีบหนี มีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวอยู่แถวยอดต้นไม้! ทุกคนรีบหนี!”   หลังจากมาถึงหานเซิ่นก็เก็บปีกและก็เริ่มวิ่งทันที ควีนก็วิ่งตามหานเซิ่นไปโดยไม่ลังเล   “หะ? นายพูดเรื่องอะไร! ถ้ามันมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวอยู่บนต้นไม้จริง แล้วทำไมนายถึงได้กลับมาอย่างปลอดภัย?” สวี่ตงจินไม่เชื่อเรื่องที่หานเซิ่นพูด   เฉินรันขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาก็เริ่มคิดหนักแล้วว่าจะหนีหรือไม่หนีดี แต่ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหู   กา! กา! หลังจากที่เสียงนั้นดังมา อีกาตัวสีดำก็โผล่ออกมาจากยอดต้นไม้ทันที เมื่อมันบินออกมานกตัวอื่นๆที่กำลังบินอยู่บนท้องเริ่มตื่นตระหนกทันที พวกมันรีบบินหนีกลับเข้าไปในต้นไม้ที่พวกมันอาศัยอยู่   อีกากางปีกของมันออก และบินตรงมายังจุดที่พวกเขาอยู่ “ไป!” เฉินรันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา เขารีบสั่งการและวิ่งหนีโดยไม่ลังเล   สวี่ตงจินและลูกน้องคนอื่นๆตื่นตระหนกทันที พวกเขาไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ พวกเขารีบวิ่งตามเฉินรันไปทันที   อีกาบินตรงมาที่พวกเขาแบบสบายๆ ดูเหมือนมันไม่ได้รีบร้อนอะไร มันจ้องมองหานเซิ่นและคนอื่นๆหนีเอาชีวิตรอด ในสายตาของมันคงเห็นเป็นเรื่องตลก   ตาของมันดูเยือกเย็นและไร้อารมณ์มาก หลังจากที่มันบินออกมาจากต้นไม้ ทั่วทั้งภูเขาก็ตกอยู่ในความเงียบทันที  

Super God Gene – ตอนที่ 626 ล่าเหยี่ยวเวหา
Super God Gene – ตอนที่ 626 ล่าเหยี่ยวเวหา

  เฉินรันประหลาดใจที่เห็นว่าคนที่จะออกไปล่าเหยี่ยวเวหาคือหานเซิ่นไม่ใช่ควีน   สวี่ตงจินและคนอื่นๆมองดูหานเซิ่น ราวกับว่าพวกเขากำลังจะได้ดูโชว์ตลกยังไงยังงั้น หมากล้อมสวรรค์ของควีนเป็นวิชาที่มีชื่อเสียง ในตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าควีนจะเป็นคนไปล่า ถ้าเธอไปเองอย่างน้อยเธอก็น่าจะฆ่าเหยี่ยวเวหาได้สักตัว   ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อหานเซิ่นมาก่อน และเมื่อเขาบอกว่าจะไปล่าเหยี่ยวเวหาด้วยตัวคนเดียว คนอื่นๆก็คิดว่าเขาโง่มาก พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหานเซิ่นที่จะล่าเหยี่ยวเวหา   ควีนพยักหน้า “ตกลง ฉันรอนายอยู่ตรงนี้”   ไม่มีใครคาดคิดว่าควีนจะเห็นด้วยกับหานเซิ่น ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าควีนคงจะห้ามไม่ให้หานเซิ่นไปล่าคนเดียว   หานเซิ่นเรียกปีกวิญญาณอสูรออกมาและก็บินขึ้นฟ้าไป เขาบินไปรอบๆต้นไม้ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าตรงไปที่ยอดต้นไม้ทันที   เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นบินตรงไปที่ยอดต้นไม้เพื่อฆ่าเหยี่ยวเวหา เฉินรันก็ส่ายหัว “น้องหานคนนี้ใจร้อนเกินไป การรีบลุยเข้าไปแบบนั้นเป็นการกระทำที่โง่มาก ฉันกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าก่อนที่จะไปถึงยอดต้นไม้ได้ ทำไมเขาถึงได้เลือดร้อนแบบนั้น?”   ควีนอยู่นิ่งเงียบ เธอมองดูการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น เธอออยากจะดูให้เห็นกับตาว่าหานเซิ่นจะล่าเหยี่ยวเวหายังไง   แม้มนุษย์จะสามารถใช้ปีกวิญญาณอสูรบินได้ก็จริง แต่ความเร็วก็ขึ้นอยู่กับระดับของวิญญาณอสูร ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาไม่สามารถเร่งความเร็วได้ตามที่เขาต้องการ การรับมือกับนกบนท้องฟ้าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก   แม้แต่เฉินรันที่เป็นคนตระกูลเฉิน และได้เรียนเซเว่นทวิสต์มา เขายังไม่กล้าเข้าไปยั่วยุพวกนกแบบนั้น สำหรับเขาแล้วหานเซิ่นเป็นคนที่ไม่รู้จักประมานตัวเอง   เมื่อหานเซิ่นอยู่ห่างจากยอดไม้ 100 เมตร พวกนกที่อยู่ในต้นไม้ก็สังเกตเห็นเขา นกแทบทุกชนิดบินออกมาจากต้นไม้ เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของพวกมันก็คือหานเซิ่น   แค่เห็นก็น่ากลัวแล้ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ ตอนนี้มีนกจำนวนมากอยู่บนท้องฟ้า ทำให้แสงอาทิตย์ยากที่ส่องแสงลงมาบนพื้นได้   นกแต่ละตัวมีขนาดค่อนข้างเล็ก ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดพอๆกับนกกระเรียนเท่านั้นเอง พวกมันส่วนมากจะมีขนาดพอๆกันนกกระจอก   แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงมันก็ยังดูน่ากลัว ยิ่งมันมีขนาดเล็กมนุษย์ก็ยิ่งรับมือกับมันยากขึ้น และยิ่งต้องเจอกับนกจำนวนเยอะๆแบบนี้   แม้ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น แต่สวี่ตงจินก็ยังรู้สึกช็อคที่ได้เห็นนกจำนวนมากขนาดนี้โกรธ   หานเซิ่นที่กำลังบินอยู่บนฟ้ายังไม่ตอบสนอง เขาดูไร้ความกลัว เขากำลังเพ่งสมาธิไปกับการวิเคราะห์นกทุกตัวว่าตัวไหนบ้างที่เป็นเหยี่ยวเวหา   ตามข้อมูลที่เขาได้มา เหยี่ยวเวหาจะมีลักษณะเหมือนกับเหยี่ยวผสมนกฮูก ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่มาก ตัวของมันมีสีออกฟ้าๆเขียวๆ   หานเซิ่นรู้จุดที่เหยี่ยวเวหาอาศัยอยู่ เขาจึงสังเกตแถวยอดต้นไม้ และสามารถเห็นจังหวะที่พวกมันบินออกมาได้   มันเหมือนกับข้อมูลมี่เขาได้รับมาไม่ผิดเพี้ยน เหยี่ยวเวหาเร็วกว่านกตัวอื่นจริงๆ ในชั่วพริบตามันก็แซงหน้านกตัวอื่นหมดแล้ว   แต่กลุ่มของเหยี่ยวเวหาที่มุ่งหน้ามาหาเขานั้นยังไม่มีตัวที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษที่น่าจะเป็นราชาได้เลย ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจ   ในชั่วพริบตานกกลุ่มใหญ่ก็มาถึงหน้าของหานเซิ่นแล้ว เขาเรียกวิญญาณอสูรดาบมาสค็อตออกมา จากนั้นเขากระพือปีกแล้วลุยก็เข้าไปปะทะกับนกที่พุ่งเข้ามา   “หนุ่มคนนี้กล้าหาญมาก” เมื่อเห็นหานเซิ่นเข้าไปลุยกับนกแบบซึ่งๆหน้าก็ช่วยไม่ได้ที่สวี่ตงจินจะพูดแบบนี้ออกมา   แต่นี่ไม่ใช่คำชมเชย เขาเพียงแค่เห็นว่าหานเซิ่นเป็นคนเลือดร้อนและไม่รู้จักประเมินตนเองเท่านั้น การบุกเข้าไปแบบนั้นมันบ้ามาก ไม่ว่าเขาจะปลดล็อดยีนได้รึยังก็ไม่เกี่ยว เพราะการทำแบบนั้นก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย   แม้จะปลดล็อคยีนได้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้เขาเป็นอมตะ ทุกอย่างยังมีขีดจำกัดอยู่ ยิ่งเป็นการต่อสู้บนอากาศด้วยแล้ว การเอาชีวิตรอดให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ   แต่ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา สวี่ตงจินและคนอื่นๆก็ต้องอ้าปากค้าง พวกเขาเห็นหานเซิ่นที่ลุยเข้าไปในฝูงนกโผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่งของกลุ่มนกสีดำ พร้อมกับร่างของเหยี่ยวเวหาที่กำลังล่วงลงมาบนพื้น 3-4 ตัว หานเซิ่นเคลื่อนไหวหลบนกทุกตัวอย่างรวดเร็ว ไม่มีนกตัวไหนสามารถไล่ตามเขาได้ทัน   “ทำไมเขาถึงได้เร็วขนาดนั้น?” สวี่ตงจินพูดด้วยความช็อค   หานเซิ่นเหมือนกับสายฟ้า เขาเคลื่อนไหวไปข้างหลังและข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เขาเร็วยิ่งกว่านกทุกตัวที่พยายามล้อมเขาไว้ ทุกครั้งที่เขาฆ่าเหยี่ยวเวหาเขาจะบินหลบออกไป เพื่อเว้นระยะห่างจากฝูงนก จากนั้นเขาก็จะบินลุยเข้าไปใหม่   “ปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์ก?!” เฉินรันทำตาแคบลง   หลังจากที่สวี่ตงจินและคนอื่นๆได้ยิน พวกเขาก็เข้าใจได้ทันที แต่หลังจากที่รู้เรื่องนี้พวกเขาก็ช็อคยิ่งกว่าเดิม   มอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กหาได้ยากมาก แล้วการจะได้วิญญาณอสูรมาก็ยิ่งยากเข้าไปอีก การจะหาซื้อปีกแบบนั้นแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมีเงินขนาดไหน   หานเซิ่นบินโฉบไปมาในอากาศ เขาไล่ฆ่าพวกเหยี่ยวเวหาแบบสบายๆ ไม่มีนกตัวไหนจะไล่ตามหานเซิ่นได้ทัน พวกนกทำอะไรเขาไม่ได้เลย   เวลาผ่านไปไม่นาน แต่พื้นข้างล่างตอนนี้เริ่มเต็มไปด้วยซากนกที่ล่วงลงมาแล้ว เลือดสาดกระจายไปเต็มพื้นด้านล่าง   ขณะที่หานเซิ่นกำลังไล่ฆ่าพวกนกอย่างสนุกมือ อยู่ๆเขาก็มองเห็นเหยี่ยวเวหาที่มีสีต่างจากตัวอื่น มันมีสีเขียวผสมน้ำเงินเข้ม ในที่สุดราชาของเหยี่ยวเวหาก็ปรากฏตัวออกมา ขนาดของมันแค่ฝ่ามือของมนุษย์เท่านั้นเอง มันกระพือปีกของมันอย่างรวดเร็ว มันพุ่งตรงมาที่หานเซิ่นด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยกว่าปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กเลย บางทีอาจจะเร็วยิ่งกว่าด้วยซ้ำ   แม้ราชาของเหยี่ยวเวหาจะดูตัวเล็กกว่าตัวอื่นๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่แข็งแกร่ง ดูยังไงมันก็มีพลังที่ไม่ธรรมดา มันพุ่งตรงมาที่หานเซิ่นเหมือนกับสายฟ้า   ‘นี่หรอราชาเหยี่ยวเวหา?’ หานเซิ่นมองดูหน้าตาของราชาเหยี่ยวเวหา และเขาก็เห็นว่าหน้าตามันก็เหมือนกับเหยี่ยวเวหาทั่วๆไป แค่มันตัวเล็กกว่าเท่านั้น ขนของมันดูเงางามราวกับทำจากหยก ปากของมันเหมือนกับคริสตัล   แต่ไม่ว่ายังไงหานเซิ่นก็ต้องการจะฆ่ามันให้ได้ เขาเรียกดาบวิญญาณอสูรอสรพิษเนตรเงินออกมา และเขาก็เข้าปะทะกับราชาเหยี่ยวเวหาทันที   แต่ในตอนนั้นเองราชาเหยี่ยวเวหาก็บินหลบออกไปด้านข้างด้วยความเร็วสูง จากนั้นมันก็บินไปรอบๆ และก็พุ่งเข้ามาหาหานเซิ่นอีกครั้ง   หานเซิ่นเห็นว่ามีนกตัวอื่นๆบินเข้ามาโจมตีเขาจำนวนมาก ซึ่งเขาไม่ต้องการสู้กับพวกมัน หานเซิ่นกระพือปีกพยายามหลบพวกมัน   ราชาเหยี่ยวเวหารวดเร็วมาก ก่อนที่หานเซิ่นจะเว้นระยะห่างได้มันก็ไล่ตามหานเซิ่นทันแล้ว   หานเซิ่นพยายามใช้วิชาดาบคู่ฆ่าราชาเหยี่ยวเวหาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเร็วกว่าปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กของเขามาก ดาบของหานเซิ่นยังไม่สามารถฟันโดนมันเลยแม้แต่ทีเดียว นอกจากนี้เขายังไม่สามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมีนกตัวอื่นๆเข้ามาโจมตีเขา ตอนนี้สถานการณ์ดูจะเปลี่ยนไปแล้ว   “คู่หูของเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก เขามีพรสวรรค์สูงจริงๆถึงสามารถล่อให้ราชาเหยี่ยวเวหาออกมาได้” เฉินรันจับตามองหานเซิ่นแบบตาไม่กระพริบ เขาบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าเขาจะจับตาดูหนุ่มคนนี้หลังจากที่เขากลับมาได้อย่างปลอดภัย   ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าหานเซิ่นเป็นใคร เขาคิดว่าเป็นแค่ผู้ติดตามของควีนเท่านั้น เขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับหานเซิ่นเท่าไหร่   แม้จูถิงจะเคยส่งข้อมูลเกี่ยวกับหานเซิ่นให้ตระกูลเฉิน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ความสนใจข้อมูลของจูถิงเลย แค่ชื่อของหานเซิ่นพวกเขาก็ยังไม่รู้จัก   หานเซิ่นต่อสู้พร้อมกับถอยหลังไปทีละนิดๆ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะตกเป็นรองราชาเหยี่ยวเวหาและฝูงนก สวี่ตงจินและคนอื่นๆมองดูการต่อสู้ตาไม่กระพริบ แต่พวกเขาก็ได้แต่ชื่นชมพลังของปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กเท่านั้น    

Super God Gene – ตอนที่ 625 ต้นไม้โบราณยอดเขา
Super God Gene – ตอนที่ 625 ต้นไม้โบราณยอดเขา

  เมื่อหานเซิ่นพยายามจะสัมผัสมันอีกครั้ง เขาก็พบว่ามันหยุดเต้นไปแล้ว ถึงเขาจะถือมันอยู่ในมือ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันเต้นเหมือนก่อนหน้านี้   ‘แปลกแหะ เมื่อกี้ยังรู้สึกว่ามันเต้นอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ไม่รู้สึกแล้วล่ะ?’ หานเซิ่นขมวดคิ้ว   หานเซิ่นไม่กล้าที่จะเอาผลน้ำเต้าใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออีก ดังนั้นเขาเลยถือมันอยู่ในมือต่อไป ถ้ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็น่าจะรับมือได้ง่ายกว่า   ขณะที่หานเซิ่นกำลังเดินต่อไป จิตใจของเขาก็เฝ้าแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องผลน้ำเต้า ตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามันเต้นอีกแล้ว แต่เขากับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเก็บมันไว้กับตัว   ‘มันแปลกๆจริง ตกลงมันคืออะไรกันแน่?’ หานเซิ่นอยากที่จะขว้างมันทิ้งไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่เมื่อเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นสมบัติล้ำค่า ทำให้เขาลังเลที่จะขว้างมันทิ้งไป   หานเซิ่นรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พาจิ้งจอกสีเงินมาด้วย เพราะถ้ามีมันอยู่ด้วยเขาสามารถรู้ได้ว่าผลน้ำเต้าเป็นของดีรึเปล่า โดยการดูจากปฏิกิริยาของจิ้งจอกสีเงิน   ในเมื่อเลือกที่จะเก็บมันไว้แล้ว คนเห็นแก่ตัวอย่างหานเซิ่นก็ยากที่จะโยนมันทิ้งไปง่ายๆ เขายังคงถือมันไว้ เขามีแผนที่จะเอามันไปให้จิ้งจอกสีเงินดูตอนกลับไปที่เมือง   โชคดีที่ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ตอนนี้ผลน้ำเต้าดูไร้ชีวิตเหมือนกับตอนที่เขาเก็บมันมาใหม่ๆ   ระหว่างการเดินทางพวกเขาเจอมอนสเตอร์มาขวางทางอยู่เรื่อยๆ ดูเหมือนภูเขาแห่งนี้จะมีมอนสเตอร์อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น พวกมันมีหลากหลายชนิดและขนาด แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์ทุกตัวระหว่างการเดินทางขึ้นไปยอดเขา โชคดีที่มีเฉินรันคอยนำทาง ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่เป็นอันตรายได้   ระหว่างทางยังไม่มีโอกาสให้ควีนและหานเซิ่นได้ลงมือเลยสักครั้ง มอนสเตอร์ที่เข้ามาถูกผู้ติดตามของเฉินรันฆ่าตายทั้งหมด ทำให้เขายังไม่ได้อะไรเลยระหว่างการเดินทาง แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้กังวลมาก เพราะเขามาที่นี่เพื่อล่าเหยี่ยวเวหาโดยเฉพาะ   ภูเขาลูกนี้สูงกว่าที่พวกเขาคิดไว้ตอนแรกมาก พวกเขาเดินขึ้นเขามา 2 วันเต็มๆแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย   แต่ทันใดนั้นอยู่ๆก็มีเสียงของม้าดังมาจากด้านหน้าของพวกเขา สีหน้าของเฉินรันและผู้ติดตามเปลี่ยนไปทันที   “เร็วเข้า! พวกเราต้องรีบซ่อนตัว” เฉินรันรีบวิ่งไปข้างหน้า เพื่อหาจุดที่พอจะซ่อนตัวได้ ซึ่งเป็นรอยแยกที่อยู่บริเวณหน้าผา   ดูจากท่าทางที่รีบร้อนของเขาก็แสดงให้เห็นว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นน่ากลัวขนาดไหน คนอื่นๆรีบตามเฉินรับไปโดยไม่ลังเล พวกเขาเข้าไปหลบในรอยแยกตรงหน้าผา   เสียงฝีเท้าเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายลาที่กำลังขี่ก้อนเมฆสีแดงอยู่ก็เคลื่อนที่ผ่านพวกเขาไป หานเซิ่นจำได้ว่าก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้อ่านข้อมูลซึ่งมีคนรายงานว่าเคยเจอมอนสเตอร์ที่รูปร่างคล้ายม้ากำลังขี่เมฆสีแดงอยู่แถวๆภูเขาเวหา นี่คงจะเป็นมอนสเตอร์ตัวที่เขาพูดถึง   แต่พอมาดูด้วยตาตัวเองแล้ว หานเซิ่นคิดว่ามันดูเหมือนลามากกว่า แต่ถ้าดูจากเมฆสีแดงรอบๆตัวมันก็ทำให้ลาตัวนี้เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายเลย ตอนนี้มันกำลังมุ่งหน้าลงไปที่ด้านล่างของภูเขาด้วยสีหน้าที่มีความสุขและตื่นเต้น แต่มันตื่นเต้นเรื่องอะไรนั้นหานเซิ่นก็เดาไม่ออก   หลังจากที่มันผ่านไปได้ภายไป 2-3 นาที เสียงฝีเท้าของมันก็หายไป “มอนสเตอร์ตัวนั้นแข็งแกร่งมาก มีคนหลายคนเดินทางมาที่นี่และต้องการขึ้นไปบนยอดเขา แต่ก็ต้องมาตายด้วยพลังที่น่ากลัวของมัน พวกเราอุส่าเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ซึ่งปรกติทางนี้เป็นทางที่มันไม่ค่อยจะผ่านมา น่าแปลกที่วันนี้เรามาเจอมันเข้า” หลังจากที่มอนสเตอร์ตัวนั้นผ่านไปแล้ว เฉินรันก็อธิบายสถานการณ์   ควีนและหานเซิ่นหันมามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร นี่คงเป็นเหตุผลที่เฉินรันลงทุนมานำทางให้ด้วยตัวเอง เขาคงไม่อยากจะให้หานเซิ่นและควีนเห็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด   “ตอนนี้เราสวนทางกับมันแล้ว ต่อไปคงต้องภาวนาว่าอย่าเจอมันตอนขากลับ” สวี่ตงจินพูด   ทุกคนในกลุ่มต่างก็ไม่อยากจะไปเจอกับมอนสเตอร์ตัวนี้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเร่งเดินทางขึ้นไปบนยอดเขา ถึงภูเขาแห่งนี้จะอันตรายมาก แต่ระหว่างทางภายใต้การนำของเฉินรัน พวกเขาก็ไม่เจอกับอันตรายเลย   หลังจากเดินทางมา 6 วัน พวกเขาก็เกือบจะไปถึงยอดเขาแล้ว หานเซิ่นลองมองลงไปดูข้างล่าง และพบว่าแทบมองไม่เห็นอะไรเลย ความสูงของภูเขาแห่งนี้ไม่ธรรมดา ด้านล่างมีทะเลเมฆคอยบดบังไม่ให้มองเห็นได้ ราวกับว่าเขามาถึงสวรรค์แล้ว   ที่ยอดเขามีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ กิ่งก้านของมันแยกออกมาทุกทิศทาง กิ่งของมันทั้งหนาและยาวมาก ดูเหมือนกับร่มที่ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขา มันดูเป็นต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ   หานเซิ่นมองดูมันจากระยะไกล แม้เขาจะอ่านข้อมูลมาและรู้ว่ามีต้นไม้แบบนี้อยู่ด้วย แต่เมื่อมาเห็นมันด้วยตาตัวเอง มันก็คนละเรื่องกับที่คนบอกเล่ามา นี่มันดูยิ่งใหญ่อลังการมาก   มอนสเตอร์จำนวนมากอาศัยอยู่แถวต้นไม้นั้น นกสีขาวบินออกมาจากพุ่มไม้ และยังมีมอนสเตอร์อีกหลากหลายชนิดทำรังอยู่บนต้นไม้   ต้นไม้ขนาดใหญ่นี้ดูเหมือนกับโลกขนาดย่อมๆเลย มันเป็นที่อยู่อาศัยของมอนสเตอร์ประเภทนกหลากหลายชนิด   “มีมอนสเตอร์นับหมื่นอาศัยอยู่ที่ต้นไม้นั่น เหยี่ยวเวหาที่พวกคุณต้องการจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ในบรรดาพวกมันก็มีตัวที่เป็นระดับเลือดศักดิ์สิทธิรวมอยู่ด้วย” สวี่ตงจินอธิบาย   หานเซิ่นขมวดคิ้ว มันยากที่จะเชื่อว่ามีมอนสเตอร์จำนวนมากอาศัยอยู่ในต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเขาเข้าไปใกล้ไม่เพียงแค่เขาจะต้องรับมือกับเหยี่ยวเวหาเท่านั้น แต่มอนสเตอร์ชนิดอื่นก็คงจะเห็นเขาเป็นผู้บุกรุก ทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ลำบาก   เมื่อเห็นควีนและหานเซิ่นยืนนิ่งเงียบ เฉินรันก็ยิ้มและพูด “แม้ต้นไม้นี้จะมีมอนสเตอร์อยู่หลายชนิดก็ตาม แต่ไม่ต้องกลัวแต่ละชนิดจะมีกฎและเขตที่อยู่อาศัยแบ่งกันอย่างชัดเจน แต่ยังไงเหยี่ยวเวหาก็อาศัยอยู่ส่วนยอดของต้นไม้ ซึ่งมันเป็นส่วนที่ล่าได้ยากที่สุด”   เห็นได้ชัดว่าเฉินรันและผู้ติดตามไม่ได้สนใจจะช่วยออกล่า พวกเขาเลือกที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ เพื่อดูว่าควีนและหานเซิ่นจะแสดงฝีมืออะไรออกมา   ตอนที่ควีนบอกว่าเธอมาที่นี่เพื่อล่าเหยี่ยวเวหา เฉินรันก็คิดว่าแค่เธอคนเดียวยังไม่น่าจะล่ามันได้   ต้นไม้นี้มีมอนสเตอร์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มันยากมากที่จะไปให้ถึงยอด บวกกับความเร็วของเหยี่ยวเวหาที่ถือว่าสูงมาก ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่ใช่น้อยๆ   เฉินรันเชื่อว่าเจตนาที่ควีนมาที่นี้ก็เพื่อสืบข่าวเรื่องมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด ส่วนการล่าเหยี่ยวเวหาคงจะเป็นข้ออ้างมากกว่า   ควีนมองหานเซิ่น เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะล่าเหยี่ยวเวหา แม้พวกเขาจะมีปีกเลือดศักดิ์สิทธิ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบินผ่านมอนสเตอร์ชนิดอื่นๆไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้   “เฒ่าเฉิน ถ้าพวกเราเลือกปีนต้นไม้ขึ้นไป มันจะเป็นไปได้ไหม?” ควีนถามเฉินรัน   เฉินรันยิ้ม “ที่ลำต้นเป็นที่อยู่ของแมลงจำนวนมาก พวกมันไม่ใช่แค่มีผิวหนังที่แข็งอย่างเดียว แต่จำนวนของพวกมันก็มากยิ่งกว่านกซะอีก นอกจากนั้นถึงจะปีนขึ้นไป พวกนกก็จะตามเธอไปอยู่ดี การปีนขึ้นไปจึงแทบเป็นไปไม่ได้”   “ทุกคนรออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะขึ้นไปล่าเหยี่ยวเวหา” ก่อนที่หานเซิ่นจะมาเขาก็ได้ศึกษาข้อมูลมาดีแล้ว เขารู้ว่าเรื่องที่เฉินรันพูดมาไม่ได้โกหก แต่เขาเองก็ไม่ได้มาล่าโดยไม่ได้เตรียมแผนไว้ก่อน