Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 437 ออกล่าครั้งแรก
Super God Gene – ตอนที่ 437 ออกล่าครั้งแรก

“เยี่ยมไปเลยพันเอก” หลังจากกลับมาที่ห้องครัว หานเซิ่นก็ยกนิ้วให้หัวหน้าของเขา     “เยี่ยมบ้าอะไร ฉันบอกให้นายไปส่งแผนโภชนาการ ทำไมนายถึงได้ไปนานนัก?” หัวหน้าห้องครัวเริ่มหัวเสีย     “หลังจากที่กัปตันดูแล้ว หล่อนถามคำถามผมหลายคำถาม เนื่องจากผมพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ผมก็เลยตอบไปมั่วๆ ซึ่งทำให้ใช้เวลานาน หล่อนยังต่อว่าผมเล็กๆน้อยๆ หลังจากนั้นผมก็ไปชนกับพันเอกหวัง โชคดีที่คุณมาช่วยผมได้ทัน” หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมา     “นายอยู่ห่างๆหวังโฮ่วไว้จะดีกว่า” หัวหน้าห้องครัวพูด     “ขอบคุณพันเอก” แม้หานเซิ่นจะไม่ได้กลัวหวังโฮ่ว แต่มันก็เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เขารู้สึกขอบคุณหัวหน้าที่มาช่วยได้ทัน     จีเหยียนหรันบอกกับเขาว่าทุกๆคนบนยานลำนี้ เป็นพวกที่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง เธอเตือนหานเซิ่นว่าอย่าไปมีปัญหากับใคร     “นายเป็นคนของฉัน ฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรนายได้ ถ้านายปฏิบัติตัวดีๆ ยังไงฉันก็ต้องช่วยนาย” หัวหน้าห้องครัวเอามือตบหลังของหานเซิ่น และพูด “ไปทำงานได้แล้ว”     เนื่องจากต้องใช้เวลาอีก 3 เดือนกว่าที่ยานลำนี้จะเดินทางไปถึงดาวที่มีโบราณสถาน หานเซิ่นจึงใช้เวลาว่างที่มีเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่     เขาเทเลพอร์ตเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ ครั้งนี้เขาก็ยังคงอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามตอนนี้มีคนอยู่ภายในถ้ำถึง 7-8 คน พวกเขากำลังนั่งคุยกันอยู่ สวี่โหย่วเองก็อยู่ที่นี่ด้วย     “หานเซิ่น ทำไมนายถึงหายไปนานจัง? มานี่ก่อน ฉันจะแนะนำนายให้ทุกคนรู้จัก” สวี่โหย่วแนะนำหานเซิ่นให้คนอื่นๆในกลุ่มรู้จัก สีหน้าแววตาของทุกคนต่างก็ดูท้อแท้และอ่อนล้า     บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาจึงต้องร่วมแรงร่วมใจกัน คนในกลุ่มส่วนมากเป็นอัธยาศัยดีและค่อนข้างพูดคุยเก่ง     “อัจฉริยะ นายก็ถูกส่งมาที่นี่ด้วยหรอ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งอุทานขึ้นมาทันที หลังจากที่เห็นหานเซิ่น   “นายคือ?” หานเซิ่นมองชายหนุ่มคนนั้น เเละไม่รู้สึกคุ้นหน้าเลย     “ฉันชื่อ ลิ่วเฟิง ฉันก็จบจากเหยี่ยวดำเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านาย 1 ปี แต่ฉันเป็นนักเรียนระดับธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นพวกหัวกระทิ นายอาจจะไม่รู้จักฉัน” ลิ่วเฟิงยิ้มและพูด     “อัจฉริยะงั้นหรอ? ลิ่วเฟิง หานเซิ่นเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับนายงั้นหรอ?” สวี่โหย่วถามด้วยความประหลาดใจ     ลิ่วเฟิงเล่าวีรกรรมของหานเซิ่นในเหยี่ยวดำให้ทุกคนฟัง พวกเขาดูจะให้ความสนใจหานเซิ่นมากขึ้น หลังจากที่รู้ว่าหานเซิ่นจบจากเหยี่ยวดำและได้ยศพันตรี     คนอื่นๆที่เหลือมองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ หลังจากตกใจอยู่สักพักสวี่โหย่วก็พูด “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายจบจากโรงเรียนมีชื่อเสียง และยังมียศพันตรีอีก นายควรจะมีอนาคตที่สดใส ถ้าไม่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่”     “ไม่มีปัญหา ขอแค่พวกเรายึดเมืองสปิริตได้ พวกเราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง” หานเซิ่นยิ้มและพูด     ในเมืองสปิริตมีเครื่องเทเลพอร์ตอยู่ ถ้าพวกเขาสามารถยึดครองเมืองได้ พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนให้มันเป็นเมืองของมนุษย์ได้ หลังจากชนะสปิริตได้แล้วพวกเขาก็แค่ไล่ต้อนพวกมอนสเตอร์รอบๆให้ล่าถอยออกไป พวกเขาก็จะสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย     “พ่อหนุ่ม มันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดหรอก ที่นี่คือก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ไม่ใช่โรงเรียนทหารที่จะให้เด็กๆมาวิ่งเล่นได้ อยู่ที่นี่นายจะตายจริงๆ” ชายวัยกลางคนที่นั่งยองๆอยู่มุมห้องเบ้ปาก เขาพูดต่อ “อย่าคิดว่านายจะยึดครองอะไรก็ได้เพียงเพราะจบมาจากโรงเรียนทหารชื่อดัง ฉันจะยอมถอนคำพูด ถ้านายล่ามอนสเตอร์กลับมาได้สักตัว ไม่ต้องถึงขั้นยึดเมืองสปิริตก็ได้”     “อัจฉริยะ อย่าไปถือสาเขาเลย เขาเองก็เคยเป็นคนที่มีพรสวรรค์และวิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ แต่เขาก็ดันถูกส่งมาที่นี้ และต้องติดอยู่ที่นี่มาเกือบ 20 ปีแล้ว ทำให้เขาเริ่มหมดหวังแล้ว” สวี่โหย่วพูด     หานเซิ่นมองชายวัยกลางคนด้วยความประหลาดใจ ผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆในสมัยนั้น คนที่ทำได้ต้องเก่งจริงๆ แม้แต่คนระดับนี้ยังมาหมดหวังกับสถานที่แห่งนี้ มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกเศร้า ชายวัยกลางคนจุดบุหรี่สูบมวนแล้วมวนเล่า     “มีคนอยู่ที่นี่ตั้งหลายคน ทำไมไม่ออกไปล่ากันล่ะ?” หานเซิ่นถาม     “พวกเรากำลังรอลุงชิงอยู่ ฉันบอกนายไปเมื่อครั้งก่อน เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ถ้าพวกเราไปพร้อมกับเขา มันจะปลอดภัยที่สุด ลุงชิงเป็นคนใจดี เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก เอ่อ..ทำไมฉันถึงไม่เห็นสาวน้อยคนนั้นเลย คนที่มากับนายคราวก่อน? หล่อนถอดใจยอมแพ้ไปแล้วหรอ?”     “เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจ” หานเซิ่นรู้ว่าเขากำลังหมายถึงซีโร่     หลังจากที่เขาไปรายงานตัวที่แดฟเน่ เขาก็ไม่สามารถใช้คอมพกพาส่วนตัวเพื่อติดต่อใครได้ ดังนั้นเขาเลยบอกกับซีโร่ว่าให้เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ในอีก 1 เดือนให้หลัง เพื่อมาเจอกับเขา     หานเซิ่นไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เร็วขนาดนี้ และเขาก็ไม่มีวิธีจะติดต่อซีโร่ได้ ดังนั้นเขาต้องรอให้ถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้     “ฉันจะไปสำรวจพื้นที่หน่อย” หานเซิ่นเดินออกไปข้างนอกคนเดียว เขาไม่ได้คิดจะไปล่าพร้อมกับคนอื่นๆ     ถ้าเขาไม่ค่อยได้ทำอะไร เขาก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่ง ถ้าเขาทำงานหนักหรือต่อสู้มากเกินไปก็อาจจะทำให้คนอื่นสงสัยว่าเขาที่พึ่งวิวัฒนาการ ทำไมถึงได้มีระดับความแข็งแกร่งสูงผิดปรกติ     “ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่หรอ? นายยังไม่คุ้นกับที่นี่ ข้างนอกมันอันตรายเกินไป ถ้าหากนายต้องการล่า นายก็ควรจะตามพวกเราไปสัก 2-3 ครั้งก่อน” สวี่โหย่วพูด     “ใช่อัจฉริยะ สถานที่นี้มันอันตรายจริงๆ” ลิ่วเฟิงพูด     หานเซิ่นรู้ว่าพวกเขาหวังดี แต่เขาก็มีความจำเป็นเหมือนกับ และเขาก็ไม่ต้องการเสียเวลาไปเปล่าๆ     “ฉันไปดูในเน็ตมาแล้ว และได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ประเภทนี้มาบ้าง ฉันจะไปเดินสำรวจและจะรีบกลับมา มันไม่น่าจะมีอันตราย” หานเซิ่นอธิบาย     เมื่อสวี่โหย่วเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ชายวัยกลางคนก็พูด “เขาอยากจะไปตาย ทำไมต้องไปหยุดเขาด้วย? กับคนที่หยิ่งและอวดดีแบบนี้ ถ้าเขาออกไปตายมันก็สมควรแล้ว”     หานเซิ่นไม่สนใจกับพูดของเขา เขาโบกมือลาคนอื่นๆที่เหลือ และเดินออกจากถ้ำไป     อากาศในวันนี้ไม่ดีนัก เมื่อหานเซิ่นเดินออกมาจากถ้ำก็เจอพายุหิมะรอต้อนรับอยู่ หานเซิ่นเดินตรงไปยังทิศที่มีเมืองสปิริตตั้งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ เขาน่าจะสามารถเอาชนะมอนสเตอร์กลายพันธ์หรือสปิริตระดับขุนนางได้ไม่ยาก     ถึงเขายังไม่สามารถยึดเมืองสปิริตได้ในครั้งนี้ แต่อย่างน้อยๆเขาก็จะได้ประสบการณ์จากการต่อสู้กับมอนสเตอร์ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2     เมื่อหานเซิ่นเดินออกมาห่างจากถ้ำพอสมควรแล้ว เขาก็เรียกเหมียวออกมา และควบมันตรงไปที่ภูเขา แต่หลังจากขี่มันไปได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงคำราม     มอนสเตอร์สีขาวที่มีเกราะน้ำแข็งห่อหุ้มหลังของมันอยู่ คำรามใส่หานเซิ่นและเหมียว “นี่หรอมอนสเตอร์เกราะน้ำแข็งที่สวี่โหย่วพูดถึง?”     หานเซิ่นจ้องมองมอนสเตอร์ ซึ่งมันดูเหมือนกับที่สวี่โหย่วเคยบรรยายให้เขาฟัง     ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด มอนสเตอร์ก็วิ่งเข้ามาใส่หานเซิ่น พร้อมกับส่งเสียงคำราม ความเร็วของมันเร็วกว่ามอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิของก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ซะอีก     VIPถึงตอนที่ 1316 เเล้วครับสนใจสมัครได้ที่ https://www.facebook.com/SuperGodGene/

Super God Gene – ตอนที่ 436 เเค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
Super God Gene – ตอนที่ 436 เเค่ผู้หญิงคนหนึ่ง

หานเซิ่นมองดูเศษคริสตัลที่ตกอยู่บนพื้นด้วยความช็อค ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เดินทางออกจากดาวโลก นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าสมองของมนุษย์ถูกใช้ได้เพียงแค่ 10% แต่อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทฤษฎีเกี่ยวกับสมองก็ถูกพัฒนาขึ้นใหม่     สมองแต่ละส่วนของมนุษย์มีหน้าที่การทำงานแตกต่างกันไป ดังนั้นมันไม่ทางที่สมองจะได้รับการพัฒนาไปทุกส่วนพร้อมๆกันได้ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สมองจะต้องวิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น     การที่มนุษย์สามารถวิวัฒนาการได้ด้วยก็อตแซงชัวรี่ ทำให้สมองของมนุษย์เองก็วิวัฒนาการตามไปด้วย ดังนั้นทุกวันนี้มนุษย์ที่วิวัฒนาการไปในระดับสูงๆจะมีสมองที่ดีขึ้นด้วย     แต่กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการวิวัฒนาการทางร่างกายแล้ว การวิวัฒนาการของสมองดูเล็กน้อยมาก การที่คริสตัลของพวกคริสตัลไลเซอร์สามารถทำให้สมองพัฒนาได้นั้นเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ อย่างน้อยๆในตอนนี้มนุษย์ก็ยังไม่สามารถผลิตยาหรืออุปกรณ์อะไรที่ทำได้เหมือนกับคริสตัลนี้     แค่เทคโนโลยีอย่างเดียวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกคริสตัลไลเซอร์นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน มันก็น่าแปลกที่เผ่าพันธุ์นี้ต้องสูญพันธ์ไปเหลือเพียงเเค่ประวัติศาสตร์     “มีสิ่งที่มหัศจรรย์แบบนี้อีกมากในเทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์ แต่ทว่าโบราณสถานของคริสตัลไลเซอร์ก็เป็นสถานที่ที่อันตรายมาก ดังนั้นพวกเราจึงเอามันออกมาได้ไม่มากนัก ที่สำคัญยังมีวัสดุบางอย่างที่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจมันด้วย” จีเหยียนหรันบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับคริสตัลไลเซอร์เพิ่มเติม     “นี่มันน่าจะเป็นข้อมูลลับนี่น่า มันจะไม่เป็นอะไรหรอที่เธอเอามาบอกฉัน?” หานเซิ่นถามจีเหยียนหรัน     “มันก็คือข้อมูลลับจริงๆอย่างที่ว่า แต่ในเมื่อนายเป็นแฟนของฉัน และพออยู่ต่อหน้านาย ฉันไม่ใช่กัปตัน ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด ไม่งั้นฉันคงจะโดนลงโทษแน่” จีเหยียนหรันพูด     “อ่าว ไหนตอนแรกเธอบอกว่ามีกล้องสังเกตการณ์ติดอยู่ไง… นี่เธอกล้าหลอกฉันใช่ไหม..” หานเซิ่นเข้าใจได้ทันทีว่ากำลังถูกจีเหยียนหรันหลอกอยู่ เขาจับจีเหยียนหรันกดลงไปบนโต๊ะทันที     “ฉันไม่ได้หลอกนาย มันมีกล้องสังเกตการณ์ติดอยู่จริงๆ แต่ฉันไปปิดมันไว้ชั่วคราว เพราะฉันรู้ว่ายังไงนายจะต้องคิดทำอะไรเกินเลยแน่…” จีเหยียนหรันรีบพูด     “อ่องั้นหรอ” หานเซิ่นดึงกางเกงกัปตันสีขาวๆของเธอลงมาทันที     “ไม่….”     เมื่อหานเซิ่นออกมาจากห้องกัปตัน เขารู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายมาก แค่คิดถึงชุดกัปตันสีขาวกับผิวเนียนๆของจีเหยียนหรันก็ทำให้หานเซิ่นอยากจะกลับเข้าไปที่ห้องกัปตันอีกครั้ง และอยู่ในนั้นไปตลอด     แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จีเหยียนหรันบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับข้อมูลของยานแดฟเน่แล้ว ถึงจีเหยียนหรันจะเป็นกัปตัน แต่เธอก็ยังอายุน้อยมาก และยังไม่มีประสบการณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลของเธอหนุนหลัง เธอจะไม่มีทางขึ้นมาถึงตำแหน่งกับตัน เพราะยังไงเธอก็แค่พวกผู้วิวัฒนาการหน้าใหม่     ที่สำคัญ แดฟเน่คือยานรบพิเศษ มีผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจพอๆกับจีเหยียนหรันอยู่หลายคน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดบนยานลำนี้ เนื่องจากภารกิจครั้งนี้คือการสำรวจซากโบราณสถาน     พวกนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญมีสถานะทางสังคมสูงเกือบทุกคน ดังนั้นพวกเขามักจะสั่งนู้นสั่งนี่อยู่เสมอ มีอะไรหลายอย่างที่จีเหยีนหรันไม่สามารถตัดสินใจเองได้     ดังนั้นความหวังของหานเซิ่นที่จะได้นอนกับแฟน และตื่นมาเห็นแฟนในอ้อมแขนของเขาทุกๆวันจึงเป็นไปไม่ได้     ที่สำคัญถ้าคนอื่นๆรู้ว่าหานเซิ่นเป็นคนรักของจีเหยียนหรัน พวกเขาก็จะรู้ว่าเธอใช้เส้นสายเพื่อพาแฟนมาทำงานบนยานด้วย ซึ่งมันจะทำให้คนอื่นมองจีเหยียนหรันในทางเสียๆหายๆ เธออาจจะไม่ได้เป็นกัปตันอีกต่อไปเลยก็ได้     หานเซิ่นรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆกว่าจีเหยียนหรันจะพาเขามาอยู่ที่นี่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากทำให้เธอเดือดร้อน ตอนนี้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะต้องถูกปิดเป็นความลับไว้ก่อน และเขาก็ต้องทำหน้าที่ทหารในห้องครัวต่อไป     แต่อย่างน้อยๆยังไงพวกเขาก็อยู่บนยานลำเดียวกัน ในช่วงว่างๆพวกเขาก็สามารถนัดมาเจอกันโดยไม่ให้คนอื่นรู้ได้     ในตอนนี้หานเซิ่นกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และเดินฮัมเพลงไปตลอดทาง     ปัง!   หานเซิ่นกำลังนึกถึงเรื่องโรแมนติกระหว่างเขากับจีเหยียนหรันอยู่ เนื่องจากอยู่บนยานรบ ทำให้เขาไม่ได้ระวังตัวอะไรมาก ขณะที่เขากำลังเดินเลี้ยงตรงหัวมุม เขาก็ชนกับคนคนหนึ่งเข้า     หานเซิ่นเพิ่งจะเสร็จกิจกรรมใช้แรงมา ดังนั้นขาของเขายังอ่อนปวกเปียก บวกกับเขากำลังใจลอย ทำให้เขาหลบไม่ทัน เขาโซเซถอยหลังมา โชคดีที่หานเซิ่นยังไวพอที่จะทรงตังเอาไว้ได้ ทำให้เขาไม่ล้มลงไป     “นายมาจากหน่วยไหน? ทำไมมาเดินอยู่แถวนี้ และแถมยังฮัมเพลงอีก?” ชายในชุดเครื่องแบบ อายุน่าจะไม่ถึง 30 ปี ถ้าดูจากเครื่องหมายบนเสื้อของเขา เขาน่าจะยศพันเอก     หัวหน้าห้องครัวก็ยศพันเอกเช่นเดียวกัน ชายคนนี้ก็น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากหานเซิ่นไม่ได้เป็นทหารภายใต้การดูแลของเขา หานเซิ่นจึงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไร เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองชายคนนั้น หานเซิ่นเดินต่อไปราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่     ‘นายโชคดีที่ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ครั้งนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อน’ หานเซิ่นเดินต่อไปอย่างมีความสุข     “หูหนวกรึไง? ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรอ? นายอยู่หน่วยไหน?” ชายคนนั้นเริ่มหัวร้อน เขาจับแขนของหานเซิ่นเอาไว้     “แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?” หานเซิ่นขมวดคิ้วและพูด     ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้ระวังตัว แต่เขาก็ไม่ได้เดินเร็ว ไม่มีทางที่เขาจะไปชนกับใครได้ เหตุผลที่เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะชายคนนั้นตั้งใจมาชนหานเซิ่นเอง     ไม่อย่างนั้นด้วยปฏิกิริยาตอบสนองของหานเซิ่น เขาไม่มีทางชนกับคนอื่นแรงๆแบบนี้ ชายคนนั้นคงจะไม่ชอบที่เขาเดินฮึมเพลงชิวๆเลยแกล้งมาชน     “นายดูไม่เหมือนทหารด้วยซ้ำ” ชายคนนั้นพูดอย่างดูถูก     “แม้จะเป็นทหารในครัว แต่ก็เป็นทหาร เขาทำงานให้ฉัน ไม่ใช่หน่วยวอเฟรมของคุณ พันเอกหวัง โปรดใส่ใจแค่งานของคุณก็พอ” หัวหน้าห้องครัวปรากฏตัวออกมา และพูดกับชายคนนั้น     “พันเอกหลัว แม้มันจะเป็นแบบนั้น แต่การที่คนของคุณมาเดินชนคนอื่นแล้วยังเดินฮัมเพลงบนยาน เรื่องนี้จะว่ายังไง?” หวังโฮ่วจ้องมองหัวหน้าห้องครัวด้วยสายตาทิ่มแทง     “แล้วไง นั่นมันเป็นงานอดิเรกของพวกเรา มีปัญหาอะไรรึเปล่า?” คำตอบของหัวหน้าห้องครัวทำให้หานเซิ่นเองก็ประหลาดใจ หวังโฮ่วโกรธจนหน้าแดง แต่เขาไม่พูดอะไร     “ทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก?” หัวหน้าห้องครัวหันมาพูดกับหานเซิ่น จากนั้นเขาก็พาหานเซิ่นเดินไป     หวังโฮ่วโกรธจัด เมื่อหัวหน้าห้องครัวและหานเซิ่นเดินไปไกลแล้ว เขาก็พึมพำออกมา “ทำไมจีเหยีนหรันถึงได้ให้ทหารในห้องครัวอยู่ในห้องทำงานของเธอนานนัก? ถ้าไม่ใช้เพราะไอ้หมูตอนนั่นโผล่มา ฉันคงจะได้ข้อมูลอะไรบ้างแท้ๆ”     VIPถึงตอนที่ 1316 เเล้วครับสนใจสมัครได้ที่ https://www.facebook.com/SuperGodGene/