Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 356 สุดยอดยีน
Super God Gene – ตอนที่ 356 สุดยอดยีน

หานเซิ่นมองกล่องที่ทำจากโลหะอัลลอยด้วยความประหลาดใจ เขาจำได้ว่าพ่อของเขาตายด้วยอุบัติเหตุบนยานเหาะ และไม่มีใครพบร่างของเขา แล้วเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะทิ้งของชิ้นนี้ไว้?   เมื่อเห็นหานเซิ่นทำหน้างง หลัวซูหลานก็พูด “พ่อให้ของสิ่งนี้กับแม่ 2 วันก่อนที่เขาจะประสบอุบัติเหตุ เขาบอกว่าของสิ่งนี้อาจจะมีประโยชน์กับลูกในสักวันหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นลูกยังเด็กมาก แม่ก็เลยไม่ได้มอบสิ่งนี้ให้ลูก แต่ตอนนี้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันน่าจะถึงเวลาที่แม่ต้องมอบของสิ่งนี้ให้กับลูก”   “นี่มันจะเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อรึเปล่า?” หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว   หลัวซูหลานส่ายหัวและพูด “เรื่องนั้นแม่ไม่รู้ แต่แม่รู้ดีว่าคนอย่างพ่อคงจะไม่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้โดยไม่มีเหตุผลแน่ มันเหมือนกับว่าเขารู้ถึงสิ่งผิดปรกติในตอนนั้น”   หานเซิ่นกัดริมฝีปาก และเปิดกล่องอย่างช้าๆ ในตอนพ่อของเขาตาย เขายังเด็กมากเขาเลยไม่รู้อะไร แต่ตอนที่เขาโตขึ้นมา เขารู้สึกสงสัยกับสาเหตุการตายของพ่อเขา   แม้ธุรกิจของตระกูลจะอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อ แต่มันก็เทียบไม่ได้กับกลุ่มสตาร์รี่ ธุรกิจของเขายังไม่มีเหมืองเป็นของตัวเอง   ‘แล้วทำไมยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่มสตาร์รี่ถึงได้มาสนใจธุรกิจเล็กๆแบบนี้? ถ้าพ่อถูกพวกเขาฆ่าจริง มันต้องมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กลุ่มสตาร์รี่ยอมทำถึงขนาดนั้น?’ หานเซิ่นไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะตอนนั้นเขายังอายุน้อยมาก ทำให้เขาไม่สามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้   หานเซิ่นเปิดกล่อง และพบว่ามีของ 3 สิ่งภายในนั้นคือ แผ่นโลหะ ไดอารี่เล็กๆเล่มหนึ่ง และก็จี้ที่ถูกห้อยอยู่บนสร้อยสีแดง   หานเซิ่นหยิบแผ่นโลหะขึ้นมาดู และพบว่ามันน่าจะเป็นป้ายประจำตำแหน่งจริงๆ มีตัวหนังสือสีดำถูกสลักเอาไว้บนแผ่นโลหะสีขาว   “หานจิงจือ Unit 7 – Secret Service – AX958712558” หานเซิ่นอ่านตัวหนังสือ และก็รู้สึกประหลาดใจ   หานจิงจือเป็นชื่อที่คุ้นสำหรับหานเซิ่น มันคือชื่อปู่ทวดของเขาเอง เกี่ยวกับปู่ทวดสิ่งเดียวที่หานเซิ่นรู้ก็คือชื่อเท่านั้น นอกจากชื่อแล้วหานเซิ่นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปู่ทวดเลย   แต่เมื่อเห็นป้ายประจำตำแหน่ง หานเซิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าทวดของเขาเคยทำงานให้รัฐบาลมาก่อน แต่ดูแล้วน่าจะเป็นแค่สตาฟทั่วๆไป   หานเซิ่นลองดูข้างหลังป้ายประจำตำแหน่ง และพบว่ามีโลโก้ที่เขาเองก็ไม่รู้จัก หานเซิ่นไม่รู้ว่าป้ายประจำตำแหน่งนี้มีอะไรพิเศษ   เขาวางมันลงและหยิบสร้อยคอขึ้นมาดู ขนาดของมันค่อนข้างเล็ก จี้ที่ทำจากคริสตัลสีแดงมีรูปร่างเหมือนกับแมวหรือสุนัขจิ้งจอก หางของมันดูใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นแมว แต่หน้าของมันดูเหมือนแมวมาก   มันเป็นคริสตัลที่ดูเหมือนกับหยก เนื่องจากหานเซิ่นไม่มีความรู้เรื่องอัญมณี ทำให้เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร   “แม่ จี้อันนี้ได้มาจากที่ไหนหรอครับ?” หานเซิ่นหันไปหาแม่ของเขา   ใบหน้าของหลัวซูหลานเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เธอลังเลก่อนจะพูด “ตอนที่พ่อให้แม่มา เขาบอกว่าทวดของลูกทิ้งของสิ่งนี้ไว้ และบอกว่าถ้าลูกเจอเรื่องยุ่งยากที่แก้ไม่ได้ ลูกสามารถนำของสิ่งนี้ไปให้กลุ่มสตาร์รี่ดู และขอความช่วยเหลือจากตระกูลหนิง”   “ขอความช่วยเหลือจากตระกูลหนิงงั้นหรอ?” หานเซิ่นเกือบจะคิดว่าหูเขาเพี้ยนไปแล้ว เขาคิดเสมอว่ากลุ่มสตาร์รี่อยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขา แต่ทว่าพ่อของเขากับบอกว่าเขาสามารถนำจี้นี้ไปให้ตระกูลหนิงซึ่งเป็นตระกูลเจ้าของกลุ่มสตาร์รี่   “แม่ก็รู้ว่ามันฟังดูแปลกๆ ตลอดมาไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยคิดจะไปหากลุ่มสตาร์รี่” หลัวซูหลานยิ้มอย่างขมขื่น   หานเซิ่นพยักหน้า ถ้าเป็นเขา เขาก็คงเลือกทำแบบหลัวซูหลาน ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังสงสัยว่ากลุ่มสตาร์รี่อาจจะอยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขา ไม่มีทางที่เขาจะไปขอความช่วยเหลือ   แต่ตอนนี้เรื่องราวชักจะสับสนกันไปใหญ่ เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขากับกลุ่มสตาร์รี่มีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วทำไมพ่อของเขาถึงได้พูดแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่หานเซิ่นมั่นใจก็คือการตายของพ่อเขาคงไม่ใช่การตายด้วยอุบัติเหตุธรรมดาๆแน่   หานเซิ่นวางจี้ลง และหยิบไดอารี่ขึ้นมาดู ถึงจะเป็นไดอารี่ที่ดูเก่ามาก แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ถูกใช้บ่อยนัก   หานเซิ่นเปิดสมุดออกดู และเห็นคำ 2 คำ เขาก็เบิกตากว้าง ‘Super Gene (สุดยอดยีน)’   หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสุดยอดยีน   เขาหาข้อมูลในเน็ต รวมถึงข้อมูลของหน่วยพิเศษ แต่เขาก็ไม่พบข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องการมีอยู่ของสุดยอดยีนหรือมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดเลย   เมื่อเห็น 2 คำนี้ในไดอารี่ ความคิดหลายอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของหานเซิ่น   ‘สมุดเล่มนี้ดูเก่ามาก มันน่าจะถูกทวดทิ้งเอาไว้ ทำไมเขาถึงเขียนอะไรแบบนี้? หรือว่าเขาจะรู้เรื่องการมีอยู่ของสุดยอดยีน’ หานเซิ่นรีบเปิดเช็คหน้าอื่นๆของไดอารี่อย่างรวดเร็ว   แต่ทว่ายกเว้นหน้าแรกก็ไม่มีอะไรเขียนไว้เลย ทุกหน้าว่างเปล่าหมด   เหมือนจะมีใครวงกลมรอบ 2 คำนั้นเอาไว้ และเขียนเครื่องหมายคำถามไว้ข้างๆด้วย หานเซิ่นช็อคเขาพึ่งจะสังเกตเห็นเมื่อผ่านไปสักพัก   “นี่มันหมายความว่ายังไง? มีใครบางคนสงสัยเรื่องการมีอยู่ของสุดยอดยีนด้วยงั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว และหันไปหาหลัวซูหลาน เขาหวังว่าแม่ของเขาจะมีคำตอบที่ดีให้   แต่กระนั้นหลัวซูหลานก็ถอนหายใจและพูด “พ่อของลูกไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้แม่ได้ยินเลย เขาบอกแค่ว่าเขาได้สิ่งนี้มาจากทวดและให้ลูกเก็บมันไว้กับตัว มันจะมีประโยชน์กับลูกในสักวันหนึ่ง”   หานเซิ่นพยักหน้า และเก็บของทั้ง 3 ชิ้นเข้าที่ ของพวกนี้อาจจะอธิบายสาเหตุการตายของพ่อของเขาได้ ซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้     Facebook Page : SGG ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอน 1130 แล้วครับ

Super God Gene – ตอนที่ 355 สิ่งอย่างที่เหลือเอาไว้
Super God Gene – ตอนที่ 355 สิ่งอย่างที่เหลือเอาไว้

หานเซิ่นเพียงแค่ผ่านโหมดง่ายที่สุดของสปริ๊นท์เท่านั้น นักวิจัยได้ดัดแปลงและเพิ่มกำแพงโลหะ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเพิ่มอุปกรณ์สร้างแรงโน้มถ่วงเข้าไปข้างในด้วย ทำให้ความยากเพิ่มไปอีกระดับ   มีระดับความยากตั้งแต่ระดับ 1 จนถึงระดับ 10 ที่หานเซิ่นผ่านเป็นแค่ระดับ 1 ซึ่งถือว่าง่ายที่สุด   “สปริ๊นท์ดีกว่าห้องฝึกแรงโน้มถ่วงธรรมดามาก” ในที่สุดหานเซิ่นก็พบที่ฝึกโอเวอร์โหลดที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว ดังนั้นเขาจึงมาที่ห้องแล็บเกือบทุกวัน   หลักๆแล้วหานเซิ่นมาที่ห้องแล็บเพื่อใช้สปริ๊นท์เท่านั้น เขาไม่ได้สนใจการทดสอบอื่นๆเลย เขามักจะรอให้นักวิจัยออกจากห้องแล็บก่อน เขาถึงจะเริ่มใช้สปริ๊นท์เพื่อฝึกซ้อม   อย่างที่หานเซิ่นคาดไว้ สปริ๊นท์ไม่ใช่แค่ยากกว่าห้องฝึกแรงโน้มถ่วงเท่านั้น แต่มันยังครอบคลุมการใช้งานกล้ามเนื้อเกือบทุกส่วนของร่างกาย   ถ้าเราสามารถผ่านระดับ 10 ของสปริ๊นท์ได้ด้วยการตั้งค่าแรงโน้มถ่วงที่ระดับ 25.0 แล้ว มันก็หมายความว่าระดับความแข็งแกร่งจริงๆของเราจะสูงกว่า 25.0 เมื่อหานเซิ่นผ่านการทดสอบทั้ง 10 ระดับ หานเซิ่นก็ยิ่งหมกมุ่นกับสปริ๊นท์มากยิ่งขึ้น   เหตุผลที่เขาสามารถผ่านการทดสอบได้ก็เพราะเขาจดจำตำแหน่งกำแพงแต่ละอันได้หมดแล้ว ในตอนที่เขาลองทดสอบครั้งแรก เขาถูกไฟฟ้าช็อคครั้งแรกตอนที่เขาถึงระดับ 3 ส่วนในระดับที่สูงกว่านั้นเขาต้องรู้ตำแหน่งทั้งหมดก่อนถึงจะผ่านไปได้   แต่กระนั้นเขาก็ยังผ่านในระดับแรงโน้มถ่วงที่ต่ำ ถ้าแรงโน้มถ่วงถูกปรับ 25.0 หานเซิ่นจะผ่านไม่ได้แม้กระทั่งระดับ 1   แต่นั่นก็ถือว่าดีพอสำหรับหานเซิ่นแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือการรีดพลังจากทุกเซลล์ในร่างกาย เขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของเขาในตอนที่อยู่สภาวะโอเวอร์โหลด ถึงเขาจะถูกช็อคบ่อยครั้ง แต่หานเซิ่นก็รู้สึกสนุกกับการฝึกซ้อม   เมื่อเห็นหานเซิ่นฝึกซ้อมอย่างหนัก จิงจี้หยาเองก็เพิ่มระดับการฝึกซ้อมของตัวเองให้หนักยิ่งขึ้น   หานเซิ่นไม่ได้สนใจสิ่งที่จิงจี้หยาพยายามทำ เขาเพียงแค่มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมของตัวเอง   นอกเหนือจากการฝึกซ้อมแล้ว หานเซิ่นจำเป็นต้องเข้าไปฟังบรรยายในห้องเรียนด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าด้วยผลงานที่ผ่านมาจะทำให้เขาได้รับยศพันตรีหลังจากเรียนจบ แต่เนื่องจากเขาขาดเรียนบ่อย ทำให้ผลการเรียนของเขาไม่ดีนัก และเขาต้องเพิ่มความพยายามขึ้นเป็น 2 เท่าเพื่อให้ได้ยศพันตรี   โชคยังดีที่เขาชนะเลิศการแข่งขันธนูระดับกาแล็กซี่ และศาสตราจารย์เหยียนเองก็สัญญาว่าจะให้คะแนนพิเศษกับเขา ถ้าเขาสามารถติดท็อป 3 ให้ได้สัก 1-2 วิชาเขาก็น่าจะยังได้ยศพันตรีหลังเรียนจบอยู่   หานเซิ่นยังคงคิดหาวิธีที่จะฆ่านกฟินิกซ์ให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังหาวิธีอะไรดีๆไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องยอมเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน   ถ้าดูจากสิ่งที่เขาเห็น มอนสเตอร์ตัวนั่นไม่น่าจะเป็นเปลวไฟทั้งตัว มันจะต้องมีส่วนที่เป็นเนื้อหรือของแข็งอยู่บ้าง ซึ่งการที่จะฆ่ามันได้ เขาจะต้องโจมตีไปยังจุดนั้นให้ได้   แต่ทว่าเปลวไฟของนกตัวนั้นมนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ และอาวุธทั่วๆไปก็ไม่น่าจะโจมตีถึงใจกลางของมันได้ แม้จะเป็นอาวุธยาวอย่างหอกก็ตาม วิธีที่น่าจะดีที่สุดก็คือการยิงธนูไปที่ใจกลางของมัน   แต่ตอนนี้หานเซิ่นยังไม่มีลูกธนูเลือดศักดิ์สิทธิ ดังนั้นเขาจึงต้องเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน   3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ด้วยโอเวอร์โหลดระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นขึ้นมาอยู่ที่ 25 แล้ว ถ้าใช้มนตรานอกรีตด้วยระดับความแข็งแกร่งจะเกิน 30 ซึ่งอยู่เหนือผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเต็มทั้ง 4 ชนิดเสียอีก   ‘มันถึงเวลาที่เราต้องออกล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดแล้ว’ หานเซิ่นตัดสินใจ ในตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของเขาสูงถึง 30 ซึ่งมันน่าจะใกล้ถึงขีดจำกัดของคนที่ยังไม่วิวัฒนาการแล้ว มันยากที่จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ ยิ่งกว่านั้นเขายังได้ดาบเลือดศักดิ์สิทธิมาจากคุณอวี้ ทำให้ตอนนี้เขามีทุกอย่างพร้อมแล้ว   ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาตัวมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดให้พบ สำหรับนกฟินิกซ์ตัวนั้น หานเซิ่นยังไม่คิดจะล่ามันตอนนี้   แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะไปล่าได้ เขาต้องสอบกลางภาคให้เสร็จก่อน ต้องขอบคุณความพยายามที่ผ่านๆมา เขาทำคะแนนได้สูงที่สุดในโรงเรียน ทำให้มีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้ยศพันตรีหลังเรียนจบ   หานเซิ่นมีความสุขมากขึ้นเมื่อเห็นว่าคราวด์บีทวิวัฒนาการเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตามที่เขาประมาณไว้   ขณะมองที่คราวด์บีท หานเซิ่นกำมีดแน่น และพึมพำ “สวรรค์ เทพพระเจ้า พระพุทธเจ้า เทพเจ้าแห่งโชค เทพีแห่งโชคลาภ.. โปรดช่วยให้ผมได้วิญญาณอสูรขั้นสุดยอดด้วยเถอะ!”   จากนั้นหานเซิ่นก็ฆ่าคราวด์บีทขั้นสุดยอด และเขาก็ได้ยินเสียงในหัว “คราวด์บีทขั้นสุดยอดถูกฆ่า ไม่ได้รับวิญญาณอสูร เมื่อกินผลึกพลังชีวิตของคราวด์บีท คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 จีโนพ้อยขั้นสุดยอด”   หลังจากที่ได้ยินเสียง ร่างของคราวด์บีทก็สลายไป และก็มีผลึกพลังชีวิตตกลงมาบนพื้น   “บ้าเอ้ย!” หานเซิ่นกัดฟัน เขาไม่ได้วิญญาณอสูรคราวด์บีทอีกแล้ว ซึ่งมันต้องใช้เวลาถึง 1 ปีเต็มๆกว่าเขาจะมีโอกาสอีกครั้ง   ‘คราวด์บีทต้องไม่ถูกชะตากับเราแน่ๆ เรายังไม่เคยได้วิญญาณอสูรจากมันเลย’ หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ ที่ผ่านมาเขาเคยให้คริสตัลสีดำกับคราวด์บีทมาแล้วหลายตัว แต่เขาก็ไม่เคยได้วิญญาณอสูรของมันเลย ไม่ว่าเขาจะอยากได้มันขนาดไหน เขาก็ต้องคิดแล้วว่าจะให้คราวด์บีทกินคริสตัลอีกดีไหม   หลังจากคิดไปคิดมา สุดท้ายหานเซิ่นก็ซื้ออสูรที่มีลักษณะเหมือนอีกามา ซึ่งวิญญาณอสูรของมันคือลูกธนู ถ้าเขาได้ลูกธนูขั้นสุดยอดมา เขาจะสามารถฆ่านกฟินิกซ์นั่นได้   ยิ่งกว่านั้นลูกธนูขั้นสุดยอดจะทำให้เขาล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตัวอื่นได้ง่ายขึ้นด้วย อย่างน้อยๆก็ทำให้มันบาดเจ็บจากระยะไกลได้   หลังจากกินผลึกพลังชีวิตของคราวด์บีท หานเซิ่นก็ได้จีโนพ้อยขั้นสุดยอดมาอีก 9 จีโนพ้อย ซึ่งมันช่วยเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของเขาได้อีกพอสมควร   หลังจากทำสิ่งที่เขาต้องทำแล้ว หานเซิ่นก็เดินทางกลับไปที่บ้านในช่วงวันหยุด อีก 6 เดือนเขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนเหยี่ยวดำแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะต้องเข้ากองทัพ และมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะได้กลับมาบ้านของเขาอีก   แม้หานเซิ่นอยากจะไปทำงานบนยานอวกาศลำเดียวกับจีเหยียนหรัน แต่ยานอวกาศลำนั้นเป็นยานอวกาศชั้นสูง การพิจารณารับคนก็เข้มงวดมากๆ ซึ่งหานเซิ่นไม่มีเส้นสายหรือกำลังเพียงพอที่จะเข้าไปที่นั้นได้   หลังจากกลับมาที่บ้าน หลัวซูหลานก็ไม่ได้ตื่นเต้นที่เห็นหานเซิ่น มันเหมือนว่าเธอกำลังมีอะไรอยู่ในใจ   “แม่ เกิดอะไรขึ้นหรอ?” หานเซิ่นถามอย่างเป็นกังวล   “ตอนนี้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่คิดว่าถึงเวลาควรจะมอบของบางอย่างที่พ่อฝากเอาไว้ให้ลูกได้แล้ว” หลัวซูหลานลังเลอยู่ชั่วครู ก่อนจะเอากล่องขนาดเล็กออกมาจากลิ้นชัก และวางมันข้างหน้าหานเซิ่น