Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 350 ผู้วิวัฒนาการในก็อตแซงชัวรี่เขต 1
Super God Gene – ตอนที่ 350 ผู้วิวัฒนาการในก็อตแซงชัวรี่เขต 1

หานเซิ่นยังคงถามต่ออีกหลายคำถาม แต่ช่างก็ไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้นเลย และเขาก็วางสายไป   หานเซิ่นไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าอาวุธอันนั้นไม่สามารถทำเป็นดาบได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะซื้อมัน   เมื่อถึงเวลานัดหมาย หานเซิ่นก็ไปพบชายสายรุ้ง และเขาก็ต้องอ้าปากค้าง “นายเองงั้นหรอ?”   ชายสายรุ้งเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกับหานเซิ่น ชายสายรุ้งก็คือซูเสี่ยวเฉียว   “บ้าเอ้ย นายคือชายสายรุ้งเองหรอ?” หานเซิ่นมองซูเสี่ยวเฉียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าเขาคาดการไม่ผิดหมอนี่น่าจะแต่งเรื่องโกหกหลอกเอาเงินคน   ซูเสี่ยวเฉียวหัวเราะและพูด “ฉันแค่หวังว่าจะทำเงินสักหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอนาย”   “ตกลง นายโกหกเรื่องนกฟินิกซ์งั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความผิดหวัง   “ไม่ได้โกหกแน่นอน ครั้งอื่นฉันอาจจะโกหก แต่ครั้งนี้ฉันสาบานได้เลยว่าฉันเห็นมอนสเตอร์เหมือนนกฟินิกซ์จริงๆ” ซูเสี่ยวเฉียวพูดอย่างตื่นเต้น   “จริงดิ?” หานเซิ่นยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่   “จริงแน่นอน!” ซูเสี่ยวเฉียวพูดอย่างมั่นใจ   “โอเค งั้นนายจะเก็บเงินฉันเท่าไหร่? ฉันจะไปด้วย” หานเซิ่นพูด   “ฉันจะกล้าไปเอาเงินนายได้ไง แค่ตามฉันมาด้วยก็พอแล้ว ฉันเก็บเงินคนอื่นมาหมดแล้ว ดังนั้นเราต้องพาพวกเขาไปด้วย” ซูเสี่ยวเฉียวพูด   “งั้นฉันจ่ายให้นายด้วยดีกว่า” หานเซิ่นไม่ต้องการเอาเปรียบซูเสี่ยวเฉียว   ซูเสี่ยวเฉียวจับมือหานเซิ่นและพูด “จริงๆแล้วฉันก็กลัวพวกคนที่ฉันพาไปด้วยเหมือนกัน ถ้านายตามฉันมาด้วยคงจะดี ฉันไม่ต้องการเงินนายหรอก แค่ค่อยช่วยฉันก็พอ”   “นายกำลังปิดบังอะไรไว้ใช่ไหม?” หานเซิ่นจ้องซูเสี่ยวเฉียว   “เอ่อ ฉันไม่ได้โกหก ฉันเห็นมอนสเตอร์เหมือนนกฟีนิกซ์ด้วยตาของฉันเอง และฉันก็รู้ว่าต้นไม้ที่ถูกเผามันอยู่ตรงไหน มอนสเตอร์ตัวนั้นมันบินหนีไปแล้ว และฉันก็บอกทุกคนไปแล้วด้วย แต่ฉันกลัวว่าพวกเขาอาจจะมาเอาเรื่องฉัน ถ้าพวกเขาไม่เห็นมอนสเตอร์” ซูเสี่ยวเฉียวพูด   “มันหนีไปที่ไหน” หานเซิ่นถาม แต่เขาก็รู้ว่ามันยากที่จะบอกตำแหน่งได้แน่ชัด   “ฉันเห็นมันบินเข้าไปในทะเลทรายปีศาจ แต่ฉันไม่กล้าตามมันไป” ซูเสี่ยวเฉียวพูดออกไปตามตรง   หานเซิ่นตัดสินใจที่จะไปดูในทะเลทรายปีศาจ เพราะทะเลทรายปีศาจมันก็ไม่ได้อันตรายสำหรับเขา บางทีเขาอาจจะเจอมันก็ได้   ซูเสี่ยวเฉียวรู้สึกดีที่หานเซิ่นยอมตามไปด้วย ทั้งหมดที่ซูเสี่ยวเฉียวต้องการก็คือเงินจากคนที่เขาพาไปดูมอนสเตอร์ การที่มีหานเซิ่นไปด้วยจะช่วยเขาได้มาก ถ้าคนที่เขาพาไปเกิดไม่พอใจขึ้นมา คนพวกนั้นอาจจะมาทำอันตรายเขา   ซูเสี่ยวเฉียวไปพบกับคนที่เหลือมาเรียบร้อยแล้ว และหานเซิ่นก็เป็นคนสุดท้าย ซูเสี่ยวเฉียวพาหานเซิ่นไปพบกับคนอื่นๆ หลังจากมาถึงหานเซิ่นก็ต้องขมวดคิ้ว คนส่วนมากที่ซูเสี่ยวเฉียวนัดมาไม่ใช่คนจากเมืองสตีลอาเมอร์   มีบางคนที่มาจากสตีลอาเมอร์ พวกเขาเข้ามาทักทายหานเซิ่น ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ได้เข้ามาทักทายหานเซิ่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มาจากเมืองสตีลอาเมอร์   ยิ่งกว่านั้นมีกลุ่มคนที่มาด้วยกัน ซึ่งหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาคือคนที่สวมชุดเกราะสีทอง   หลังจากเช็คทุกคนแล้ว ซูเสี่ยวเฉียวก็รู้สึกว่าเขาโชคดีมากที่ได้หานเซิ่นมาด้วย คนพวกนี้ดูท่าทางอันตรายมาก   เนื่องจากทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ซูเสี่ยวเฉียวก็เริ่มนำทางพวกเขาไปทะเลทรายปีศาจ   “หานเซิ่น ฉันได้ยินว่าฝีมือธนูของคุณสุดยอดมาก คุณจะโชว์ให้พวกเราดูหน่อยได้ไหม?” เมื่อพวกเขาหยุดพักกัน หนุ่มจากเมืองสตีลอาเมอร์ก็ขอให้หานเซิ่นแสดงฝีมือธนูให้ดู   หานเซิ่นไม่พูดอะไร แต่ซูเสี่ยวเฉียวยิ้มและพูด “ไม่ต้องโชว์ก็น่าจะรู้ ถ้าวัดกันเรื่องยิงธนู ในก็อตเเซงชัวรี่เขต 1 ไม่มีใครสู้หานเซิ่นได้..”   “ช่างกล้าพูด” ชายที่สวมชุดเกราะสีทองพูดแทรกขึ้นมา บรรดาผู้ติดตามของเขาก็ทำหน้าไม่พอใจเช่นกัน   ซูเสี่ยวเฉียวพยายามจะตอบกลับไป แต่หานเซิ่นห้ามเขาเอาไว้ หานเซิ่นพูดกับชายสวมเกราะทอง “พวกเราแค่พูดกันเล่นๆเท่านั้น อย่าไปจริงจังเลย”   แต่ชายสวมเกราะสีทองไม่ต้องการให้เรื่องนี้จบง่ายๆ เขาพูดออกมาอย่างโอ้อวด “ที่ฉันรู้จักในเมืองสตีลอาเมอร์ก็มีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น คือดอลลาร์ที่เอาชนะอีตงมู่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และอีกคนก็คืออดีตหัวหน้ากลุ่มสตีลอาเมอร์ ซินเสวียน ส่วนคนอื่นๆนอกเหนือจากนี้ ไม่อยู่ในสายตาฉัน”   หานเซิ่นยิ้ม เขาไม่ได้ใส่ใจมาก แม้ชายสวมชุดเกราะทองจะคิดว่าตัวเองแน่มาก แต่ในสายตาของหานเซิ่นชายคนนี้ก็ไม่คู่ควรจะให้เขารู้สึกโกรธ   ที่ชายคนนี้มีก็แค่ระดับความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่ดูจากพฤติกรรมของเขาแล้ว เขาคงไม่ใช่คนที่จริงจังกับการฝึกวิชาการต่อสู้ ดังนั้นถึงจะมีร่างกายที่ดีก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร   เมื่อเห็นหานเซิ่นไม่ได้เกรงกลัว ชายสวมชุดเกราะทองก็ขมวดคิ้วและพูด “ถ้านายข้องใจก็ลองแสดงวิชาการต่อสู้ที่ดีที่สุดของนายออกมา และฉันจะเป็นคนชี้แนะให้นายเอง ฉันเชื่อว่านายต้องมาขอบคุณฉันทีหลังแน่”   “นายเป็นใครถึงกล้ามาชี้แนะหานเซิ่น? นายไม่รู้หรอว่าเขาเป็นใคร?” ซูเสี่ยวเฉียวโกรธ แม้หานเซิ่นไม่อยากจะพูดกับชายคนนี้ก็ตาม   เมื่อชายสวมชุดเกราะทองได้ยินที่ซูเสี่ยวเฉียวพูด เขาก็หัวเราะ หนึ่งในผู้ติดตามของเขาที่มีผมทรงแอฟโฟร่พูด “พวกเราไม่รู้หรอกว่าหานเซิ่นเป็นใคร แต่พวกเรารู้ว่าคุณอวี้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในก็อตแซงชัวรี่เขต 1”   “ช่างพูดดี แต่พวกเราไม่ได้ตาบอด ปีที่แล้วพวกเราไม่เห็นจะได้ยินว่าคุณอวี้เป็นผู้ถูกเลือก?” ซูเสี่ยวเฉียวเบ้ปาก   ชายผมทรงแอฟโฟร่พูดอย่างเย้ยหยัน “คุณอวี้คือผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยทุกชนิดเต็ม ตอนนี้นายยังกล้าไม่เห็นด้วยอีกหรอ?”   คนจากเมืองสตีลอาเมอร์มองไปที่ชายสวมชุดเกราะทองด้วยความช็อค พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าชายคนนี้จะเป็นผู้วิวัฒนาการแล้ว โดยปรกติผู้วิวัฒนาการแล้วสามารถเลือกจะอยู่ก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ต่อไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนจะเทเลพอร์ตเข้าไปยังก็อตเเซงชัวรี่เขต 2 ซึ่งถ้าเทเลพอร์ตเข้าไปยังก็อตเเซงชัวรี่เขต 2 ครั้งหนึ่งเเล้วจะไม่สามารถกลับมาที่ก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ได้อีก   แม้จะสามารถอยู่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทำแบบนั้น เพราะถึงอยู่ก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ต่อไปอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร   ยิ่งกว่านั้น ถ้าอยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 นานเกินไปหลังจากวิวัฒนาการแล้ว ร่างกายของคนคนนั้นจะได้รับการลงโทษจากกฎของก็อตแซงชัวรี่ ทำให้ผู้วิวัฒนาการส่วนมากเลือกที่จะเทเลพอร์ตไปยังก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ทันที  

Super God Gene – ตอนที่ 349 มอนสเตอร์เหมือนนกฟีนิกซ์
Super God Gene – ตอนที่ 349 มอนสเตอร์เหมือนนกฟีนิกซ์

เดสเพอราโด้ตะหนักว่าเขาเข้าใจถูกต้องแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันคล้ายๆกับตอนที่เขาสู้กับควีน   แม้ทหารคนหนึ่งบนยานรบจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของควีน และไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดเท่ากับควีน แต่ความรู้สึกมันก็คล้ายๆกัน   ‘หมอนี่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ยังไงกัน! มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะร่ำเรียนมาจากที่อื่น ชายคนนี้เป็นคนใกล้ชิดของควีนงั้นหรอ?’ เดสเพอราโด้คิด   เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมันดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ ควีนคือเด็กกำพร้าที่หวงฟูสงเฉิงเป็นคนรับมาเลี้ยง เนื่องจากทหารคนหนึ่งบนยานรบบอกว่าเขาไม่ใช่คนของเอเรส มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเป็นคนรู้จักของควีน?   เดสเพอราโด้พยายามยืนยันให้แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาเลยไม่ยั้งมืออีกต่อไป ทำให้HPของหานเซิ่นหมดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และเขาก็ส่งคำชวนให้หานเซิ่นอีกครั้ง   เหตุผลที่เขารีบเอาชนะหานเซิ่นก็เพราะเมื่อเขาพยายามกดความแข็งแกร่งไว้ที่ 30 เขาก็ถูกหานเซิ่นไล่ต้อนไปที่มุม ถ้าเขาไม่ใช้ความสามารถที่แท้จริง เขาก็จะเป็นฝ่ายแพ้   หลังจากที่เริ่มสู้กันอีกครั้ง เดสเพอราโด้ก็ยังคงกดระดับความแข็งแกร่งไว้ประมาน 30 เขาเพ่งสมาธิไปที่การเคลื่อนไหวของหานเซิ่น และเขาก็มั่นใจ 100% แล้วว่าหานเซิ่นกำลังใช้เทคนิคแบบเดียวกับควีนจริงๆ   เมื่อพยายามสู้กับหานเซิ่นโดยใช้ระดับความแข็งแกร่งประมาณ 30 เขาก็รู้สึกเหมือนสู้กับควีนในเวอร์ชั่นที่อ่อนกว่าปรกติ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถสังเกตเทคนิคไคท์ติ้งได้ดียิ่งขึ้น เดสเพอราโด้คิดว่ามันอาจจะช่วยเขาได้มากในอนาคต ถ้าเขาต้องสู้กับควีน   เมื่อมีความคิดเช่นนั้นเดสเพอราโด้ก็สู้กับหานเซิ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่อย่างไรก็ตามตราบใดที่เขาพยายามใช้ระดับความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับหานเซิ่น เขาก็จะถูกต้อนไปที่มุมเสมอ และสุดท้ายเขาก็ต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อเอาชนะในตอนจบ   เดสเพอราโด้รู้สึกหงุดหงิดมาก เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่เรียนรู้ได้เร็ว แต่เขากับไม่สามารถเรียนรู้เทคนิคไคท์ติ้งได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน   คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นง่ายมาก ตราบใดที่ใครก็ตามรู้หมากล้อม ทุกคนก็เล่นได้หมด แต่การจะเป็นผู้เชี่ยวชาญให้ได้นั้นยากมาก กับเทคนิคไคท์ติ้งนั้นก็คล้ายๆกัน   แม้เดสเพอราโด้จะเป็นคนที่ลอกเลียนแบบเทคนิคผู้อื่นได้ และยังเป็นคนที่วางกลยุทธ์ได้เก่ง แต่เขาก็ลอกเลียนแบบเทคนิคนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลัก   หานเซิ่นก็เป็นเพียงแค่ระดับฝึกหัด เขายังไม่ได้ใกล้เคียงกับความสามารถของควีน แต่กระนั้นเขาก็เอาชนะเดสเพอราโด้ได้ไม่ยาก   พวกเขา 2 คนสู้กับสิบกว่าครั้ง และเดสเพอราโด้ก็เอาชนะได้ทุกครั้ง แต่เทสเพอราโด้กับไม่เคยพอใจกับชัยชนะเลย เพราะว่าที่เขาชนะได้ก็เพียงเพราะเขามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น ในส่วนของวิชาและเทคนิคการต่อสู้ เขาแพ้อย่างหมดรูป   “ฉันต้องไปแล้ว ไว้เจอกันวันหลัง” หานเซิ่นออกจากกลาดิเอเตอร์ เมื่อถึงเวลาอาหาร เขารู้สึกว่าเขาได้อะไรหลายอย่างจากการต่อสู้   ในตอนแรกเดสเพอราโด้พยายามลอกเลียนแบบเขา แต่หลังๆเดสเพอราโด้ต้องงัดเทคนิคหลายอย่างออกมาต่อกรกับเทคนิคไคท์ติ้งของหานเซิ่น ซึ่งเป็นเทคนิคที่หานเซิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน แม้เขาจะยังไม่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ในตอนนี้ แต่มันก็เป็นแรงบรรดาใจที่สำคัญสำหรับเขาในการฝึกพาโนราม่า   ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องฝึกในห้องสร้างแรงโน้มถ่วงหลังมื้ออาหาร หานเซิ่นคงจะต่อสู้กับเดสเพอราโด้ต่อไป   ถึงหานเซิ่นมักจะแพ้ในกลาดิเอเตอร์ แต่เขาก็ได้อะไรหลายอย่าง มันไม่สำคัญว่าเขาจะชนะหรือแพ้ ขอแค่เขาพัฒนาก็พอแล้ว   หลังจากอานอาหารกลางวัน หานเซิ่นก็เดินเข้าห้องฝึกแรงโน้มถ่วง ทันใดนั้นเขาก็ได้รับข้อความ ซึ่งเป็นข้อความตอบกลับมาจากชายสายรุ้ง   หานเซิ่นรีบเช็คข้อความของชายสายรุ้ง ชายสายรุ้งบอกว่าเขาจัดกลุ่มคนที่จะไปล่านกฟินิกซ์ไว้แล้ว ถ้าหานเซิ่นสนใจก็สามารถสมัครได้   การเข้าร่วมกลุ่มมีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพง และคนที่จะเข้าร่วมได้ก็ต้องมีความแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ชายสายรุ้งยอมรับ   ชายสายรุ้งบอกเขาเกี่ยวกับเวลานัดหมาย และสถานที่นัดพบ แม้หานเซิ่นจะรู้สึกไม่สบายใจกับการต้องไปสถานที่ที่อีกฝ่ายบอกมา แต่เขาก็คิดว่าเขาไม่ต้องกลัวใครในสตีลอาเมอร์แล้ว   เวลานัดคือวันพรุ่งนี้ ตามข้อมูลที่ชายสายรุ้งโพสเป็นข้อมูลเมื่อหลายเดือนก่อน ดังนั้นเขาไม่การันตีว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นจะยังอยู่ตรงนั้น สิ่งเดียวที่เขาจะพาทุกคนไปดูได้ก็คือต้นไม้ที่ถูกเผา   หานเซิ่นตอบกลับไปว่าขอสมัครเข้าร่วมด้วย เขาจะไม่ยอมพลาดการล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอด แม้โอกาสจะมีน้อยนิดก็ตาม หลังจากเดินเข้าไปในห้องฝึกแรงโน้มถ่วง หานเซิ่นก็ตั้งค่าพารามิเตอร์ไว้ที่ 25 ครั้งนี้เขาสามารถทดสอบได้ถึงอุปกรณ์ที่ 5   ‘เราผ่านได้ 5 อุปกรณ์แล้ว และยังเหลืออีก 5 อุปกรณ์ที่ต้องผ่านให้ได้’ หานเซิ่นคิด   ถ้าเขาสามารถผ่านระดับ 25 ได้ด้วยการใช้แค่โอเวอร์โหลด ระดับความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะเกิน 30 ถ้าใช้มนตรานอกรีตด้วย ถ้าได้พลังเสริมจากเฟลมเลฟเทนแนนท์และเดวิลซอร์ดอีก เขาก็น่าจะสามารถทำให้มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดบาดเจ็บได้   แน่นอนว่าเขาก็ยังต้องโจมตีไปที่จุดอ่อนของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดด้วย ถึงจะทำให้มันบาดเจ็บได้   ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องการวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิ ไม่งั้นเดวิลซอร์ดก็จะไร้ความหมาย เนื่องจากดาบเพชรของเขาถูกเต่าทำลายไปแล้ว   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังคิดไม่ออกว่าใครมีวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิบ้าง เซินเทียนจื่อเคยมีดาบเลือดศักดิ์สิทธิอยู่ ซึ่งเขาเอามันไปในก็อตเเซงชัวรี่เขต 2 ด้วย ถึงเขาจะไม่ได้ใช้มันก็ยากที่เซินเทียนจื่อจะยอมขายให้หานเซิ่น   หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่นาน แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าใครในสตีลอาเมอร์ที่มีดาบเลือดศักดิ์สิทธิ   ‘ถ้าเราหาดาบเลือดศักดิ์สิทธิไม่ได้ น่าจะเป็นปัญหาอย่างมาก’ ทันใดนั้นหานเซิ่นก็นึกถึงช่างทำโลหะzที่เขาเคยไปซื้อ เขาจำได้ว่าเคยเห็นอาวุธที่ทำจากโลหะZ 75% อยู่ในโกดังของช่าง เขาคิดว่าถ้านั่นเป็นความจริงละก็ มันก็เป็นอาวุธที่มีคุณภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอาวุธที่ดีที่สุดที่ผลิตออกมาขายได้นั้นมีโลหะZไม่เกิน 20%   ถ้าช่างไม่ได้โกหก บางที่อาวุธอันนั้นก็น่าจะแข็งพอๆกับอาวุธเลือดศักดิ์สิทธิ แต่ในกรณีนั้นเขาต้องขอให้ช่างเปลี่ยนรูปแบบมันเป็นดาบเสียก่อน เพราะแต่เดิมที่เขาเห็นมันเป็นมีด หานเซิ่นโทรหาช่างทันที และถามเกี่ยวกับอาวุธอันนั้น เขาจำได้ว่าราคาของมันคือ 100 ล้าน ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับหานเซิ่น ตราบใดที่มันเป็นของที่มีคุณภาพ   “มันแข็งยิ่งกว่าอาวุธเลือดศักดิ์สิทธิของก็อตแซงชัวรี่เขต 1 แน่นอน แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้” ช่างตอบหานเซิ่น   “ทำไมทำไม่ได้?” หานเซิ่นถาม เขางงมันคืออาวุธที่ทำจากโลหะ มันก็ควรเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้อยู่แล้ว   หลังจากเงียบอยู่นาน ช่างก็พูด “นั่นไม่ใช่เทคโนโลยีของมนุษย์ เลยไม่มีใครสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”