Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 346 งานปาร์ตี้ของหวังเหมียนเหมียน
Super God Gene – ตอนที่ 346 งานปาร์ตี้ของหวังเหมียนเหมียน

ตอนนี้หานเซิ่นมั่นใจว่าเขามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าใครๆ เนื่องจากเขาได้รับจีโนพ้อยขั้นสุดยอดมาแล้ว   แต่การที่เขาจะพัฒนาไปให้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของเขา เขาจะต้องพยายามอย่างหนัก จนกว่าเขาจะสามารถควบคุมร่างกายและความแข็งได้ดีขึ้นภายใต้สภาวะที่ได้รับแรงกดดันสูงจากโอเวอร์โหลด ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้เร็วที่สุด   ระดับความเข้าใจในร่างกายตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็น เขาต้องรู้ว่าตอนไหนที่เขาสามารถฝึกหนักได้ ไม่งั้นร่างกายของเขาจะเสื่อมสภาพเอาได้   การจะฝึกโอเวอร์โหลดต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมร่างกายของเขา เขาต้องทำให้แน่ใจว่ากระดูกแต่ละซี่ กล้ามเนื้อแต่ละมัดและเซลล์ในร่างกายกำลังทำงานถึงขีดจำกัด แต่ยังไม่เกิดขีดจำกัด เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด   ในตอนนี้หานเซิ่นยังไม่ถึงระดับนั้น แม้เขาจะฝึกกายหยก ทำให้เขาสามารถควบคุมร่างกายได้ดีกว่าคนปรกติมากก็ตาม   หลังจากที่ฝึกอย่างหนักมาหลายวัน เขาก็รู้สึกว่าวิชากายหยกของเขาเริ่มพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ เหมือนว่าวิชากายหยกของเขาใกล้จะสำเร็จขั้นแรกแล้ว   “อีกครั้ง…” เมื่อเขาหายจากอาการล้า หานเซิ่นก็เปิดเครื่องสร้างแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง และเริ่มฝึกต่อ ภายใต้สภาวะเกินขีดจำกัดสูงสุดของเขา แค่เริ่มฝึกได้ไม่นานร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ และอุณหภูมิในร่างกายของเขาก็สูงขึ้นมาก   หานเซิ่นควบคุมร่างกายได้ดีมาก ดังนั้นร่างกายของเขาจึงไม่ได้รับความเสียหายหรือบาดเจ็บระหว่างฝึก ซึ่งนั่นก็ต้องขอบคุณวิชากายหยกของเขา   “พี่หาน ฉันจะจัดปาร์ตี้เล็กๆในวันพรุ่งนี้ พี่จะมาด้วยได้ไหม?” หวังเหมียนเหมียนถามหานเซิ่นด้วยดวงตาที่กลมโตของเธอ   “ปาร์ตี้อะไร?” หานเซิ่นทำหน้างง   “เดี๋ยวพี่จะรู้ตอนที่มาถึง อย่าลืมมาให้ได้นะคะ!” หวังเหมียนเหมียนพูด   “ได้เลย” หานเซิ่นตอบตกลง ปรกติหวังเหมียนเหมียนแทบจะไม่ขอให้เขาทำอะไรให้เลย เนื่องจากมันเป็นแค่งานปาร์ตี้ หานเซิ่นจึงไม่อยากจะปฏิเสธ   หวังเหมียนเหมียนดีใจมาก เธอนัดเวลาหานเซิ่น เพื่อที่เธอจะมารับเขาไปงานปาร์ตี้ด้วยตัวเอง …   เมื่อถึงเวลานัด หานเซิ่นก็ตระหนักว่าปาร์ตี้ไม่ได้จัดขึ้นที่โรงเรียน เนื่องจากหวังเหมียนเหมียนพาเขาออกไปที่ลานกว้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเธอเอง ในสวนมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มจัดเตรียมไว้มากมาย เมื่อมาถึงหานเซิ่นก็หาจุดเหมาะๆและก็เริ่มกินทันที ขณะที่หวังเหมียนเหมียนต้องไปกล่าวทักทายคนอื่นๆที่มาร่วมปาร์ตี้   “อ่าวหานเซิ่น นายก็มาด้วยหรอ?” เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาเมื่อเขาเห็นหานเซิ่นอยู่ในงานนี้ด้วย   “ถังเตียงลิ่ว!” หานเซิ่นอึ้ง เขาไม่คิดว่าดาราอย่างถังเตียงลิ่วจะมาอยู่ที่นี่ด้วย   “นายก็สนิทกับทาญาติตระกูลหวังด้วยงั้นหรอ?” ถังเตียงลิ่วมานั่งข้างๆหานเซิ่นและถาม   “หวังเหมียนเหมียนเป็นเพื่อนที่โรงเรียนฉันเอง เธอเป็นคนชวนฉันมาที่งานปาร์ตี้นี่?” หานเซิ่นตอบ   ถังเตียงลิ่วมองหานเซิ่นด้วยสายตาแปลกๆและพูด “อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ…”   หานเซิ่นประหลาดใจ “วันนี้เป็นวันเกิดของเหมียนเหมียนงั้นหรอ?”   “นายไม่รู้จริงดิ? ฮาฮา เหมือนว่าพวกนายจะสนิทกันมากกว่าที่ฉันคิด” ถังเตียงลิ่วลูบไหล่ของหานเซิ่นและหัวเราะ   หานเซิ่นเหงื่อตก เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย ถ้าเขารู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของหวังเหมียนเหมียน เขาก็คงจะเตรียมของขวัญมาด้วย แต่ตอนนี้มันน่าจะสายไปแล้ว หานเซิ่นลองค้นในกระเป๋ากางเกงของเขาดู แต่มันก็ไม่มีอะไรที่พอจะให้เธอได้เลย   “ถัง นายมีของขวัญเหลือสักอันไหม? ให้ฉันยืมหน่อย?” หานเซิ่นมองถังเตียงลิ่วด้วยสายตาที่คาดหวัง   “ฉันมีอันเดียว แล้วนายจะบ้าหรือไง มีใครเขายืมของขวัญกันบ้าง?” ถังเจียงลิ่วพูดพร้อมกับยิ้ม   หานเซิ่นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เห็นมีคนหลายคนเดินเข้ามาในสวน พวกเขาส่วนมากอายุ 20-30 ปี   ในบรรดาแขกที่เดินเข้ามา หานเซิ่นเห็นเซินเทียนจื่อและหวงฟูผิงชิงด้วย   งานปาร์ตี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่มีใครให้ความสนใจกับหานเซิ่น หานเซิ่นก็ยังคงนั่งกินอาหารของเขาต่อไป ขณะที่ถังเตียงลิ่วลุกไปทักทายแขกระดับสูงคนอื่นๆ   ตอนนี้เซินเทียนจื่อดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เขาไม่ใช่คนที่ใช้แค่อารมณ์ และไม่ฟังใครเหมือนสมัยที่อยู่สตีลอาเมอร์   “นายมีแผนที่จะวิวัฒนาการเมื่อไหร่?” ขณะที่หานเซิ่นกำลังกิน เซินเทียนจื่อก็เดินเข้ามาหาเขา และถามด้วยโทนเสียงปรกติธรรมดา ต่างจากที่เขาเคยพูดกับหานเซิ่นสมัยก่อน   “น่าจะอีกสัก 2 ถึง 3 ปี” หานเซิ่นชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ เขารู้สึกว่าเซินเทียนจื่อดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บางที่ด้วยอายุที่มากขึ้นหรือเขาอาจจะไปเจออะไรที่ก็อตแซงชัวรี่เขต 2   เซินเทียนจื่อยิ้ม เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบและพูด “ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไร แต่เนื่องจากฉันเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 แล้ว ฉันก็ไม่ได้คิดว่านายเป็นศัตรูของฉันอีกต่อไป ศัตรูของฉันมีแต่ผู้วิวัฒนาการแล้วเท่านั้น ซึ่งนายยังไม่ใช่ ตราบใดที่นายยังไม่เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 นายก็ยังจะไม่เข้าใจว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นยังไง นายมันยังอ่อนต่อโลกมาก”   “ในอนาคตถ้านายบังเอิญถูงส่งมาที่เมืองดอร์คลอร์ด นายสามารถเข้าร่วมทีมกับฉันได้ นายเป็นนักธนูที่ดี และฉันก็ต้องการคนแบบนาย รีบๆวิวัฒนาการ และก็หยุดเล่นสนุกในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 สักที” เซินเทียนจื่อพูดและลูบไหล่ของหานเซิ่น จากนั้นเขาก็เดินกลับที่นั่งของเขา   หานเซิ่นประหลาดใจกับพฤติกรรมของเซินเทียนจื่อ ถ้าเซินเทียนจื่อเดินเข้ามาบอกว่าต้องการจะฆ่าเขา เขาจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเซินเทียนจื่อจะปล่อยวางแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ   หานเซิ่นรู้สึกได้เลยว่าเซินเทียนจื่อไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรูอีกต่อไป คนคนนี้คิดว่าหานเซิ่นเป็นเหมือนหมากตัวหนึ่งในมือของเขา และการที่เขาอยากจะได้หานเซิ่นไปร่วมทีมนั้นแสดงว่าก็อตแซงชัวรี่เขต 2 น่าจะเป็นที่ที่ใช้ชีวิตได้ยากลำบากจริงๆ   “นายแค่วิวัฒนาการก่อนได้ไม่กี่ปี มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะแข็งแกร่งกว่าฉัน” หานเซิ่นเบ้ปาก ถ้าเขาสามารถวิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยขั้นสุดยอด เซินเทียนจื่อก็ไม่ใช่คู่แข่งของเขา    

Super God Gene – ตอนที่ 345 การฝึกที่มีความเสี่ยง
Super God Gene – ตอนที่ 345 การฝึกที่มีความเสี่ยง

ไม่นานหานเซิ่นก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าฟางกั๋วเทาไม่ใช่คนที่คิดค้นวิชา บริสุทธิดั้งเดิม ขึ้นมา แต่เป็นคนช่วยพัฒนา   “น้องชาย จิตใจของน้องแข็งแกร่งมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กอายุน้อยคนไหนจะยึดมั่นในแนวทางของตัวเอง ภายใต้อิทธิพลของบริสุทธิดั้งเดิมได้เลย” ฟางกั๋วเทาพูดกับหานเซิ่น พร้อมกับกุมมือของเขาเอาไว้   “พี่ฟาง คุณคือคนที่คิดค้น บริสุทธิดั้งเดิม จริงๆหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย ไม่ว่าเขาจะเป็นคนคิดค้นหรือไม่ก็ตาม หานเซิ่นก็ไม่ได้ต้องการจะลบหลู่เขา   ฟางกั๋วเทาไม่ต้องการจะปิดบังอะไรอีกต่อไป เขาหัวเราะและพูด “น้องชาย ฉันจะไม่โกหกอีกต่อไป ฉันไม่ใช่คนที่คิดค้นมันขึ้นมาจริงๆ แต่วิชานี้มันถูกเขียนลงไปในหนังสือที่สืบต่อกันมาในตระกูลของฉัน ชื่อของมันคือศาสตร์แห่งความบริสุทธิ โชคร้ายที่มันไม่สมบูรณ์ ทำให้ฉันต้องดัดแปลงแก้ไขมันตามข้อความที่เหลืออยู่ในหนังสือ”   หานเซิ่นไม่เข้าใจว่าทำไมฟางกั๋วเทาถึงบอกเรื่องที่สำคัญแบบนี้กับเขา เนื่องจากพวกเขาก็พึ่งจะพบกัน สิ่งที่ฟางกั๋วเทาพูดคือความลับที่ไม่ควรบอกให้ใครรู้ ไม่งั้นเขาอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงได้   “น้องชาย ฉันคิดว่าระดับความแข็งแกร่งของน้องชายน่าจะเกิน 16.0 ใช่ไหม?” ฟางกั๋วเทาถามหานเซิ่นด้วยตาที่เป็นประกาย   “น่าจะประมานนั้นแหละครับ” หานเซิ่นตอบ   ฟางกั๋วเทามองหานเซิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูด “ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องอื่นเท่าไหร่ แต่สายตาของฉันมองคนไม่เคยพลาด ฉันคิดว่าน้องชายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ และน่าจะได้คะแนนสูงเกิน 16 ในทุกการทดสอบ”   หานเซิ่นไม่พูดอะไรแค่ยิ้มให้ฟางกั๋วเทา ฟางกั๋วเทารีบพูด “น้องชายอย่าพึ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ต้องการจะมาล้วงความลับหรือสอดแนมอะไร ทั้งหมดที่ฉันต้องการก็คือฉันคิดว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ยังไม่วิวัฒนาการจะมีระดับความแข็งแกร่งเต็มที่ก็แค่ 15 ถึงจะมีจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิเต็มก็ตาม น้องชายเป็นคนที่มีพรสวรรค์หาตัวจับได้ยาก และมีระดับความแข็งแกร่งสูงกว่านั้น ถ้าพวกเรา 2 คนร่วมมือกันล่ะก็ พวกเราจะโกยเงินได้อย่างมหาศาล”   ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฟางกั๋วเทาถึงอยากจะพบเขานัก และถึงขั้นพูดความจริงกับเขา เพราะคนคนนี้ต้องการให้เขาร่วมแสดงละครตบตาคนอื่นเพื่อหาเงิน   ถ้าเป็นเมื่อก่อน หานเซิ่นคงจะตอบตกลงทันที แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการเงินอีกแล้ว ดังนั้นเขาไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้นเพื่อเงินอีกต่อไป   “พี่ชาย ผมยังเรียนอยู่ในโรงเรียนทหาร แม้ผมจะเรียนจบ ผมก็ต้องทำงานให้กองทัพ ผมกลัวว่าผมจะไม่มีโอกาสได้ทำงานกับคุณ” หานเซิ่นพูด   สีหน้าของฟางกั๋วเทาแสดงความผิดหวังออกมาทันที เขาทุบหน้าอกของเขาและพูด “น้องชายเข้าใจฉันผิดแล้ว ที่ฉันต้องการให้น้องชายมาทำงานด้วยก็เพราะว่าน้องชายใกล้จะได้เข้ากองทัพแล้วตั้งหาก”   “ทำไม” หานเซิ่นมองฟางกั๋วเทาด้วยความประหลาดใจ เขาสงสัยว่าคนคนนี้จะมีเส้นสายอะไรถึงจะเอาเขาไปทำงานได้ ในเมื่อเขาต้องเข้ากองทัพ   ฟางกั๋วเทาหัวเราะและพูด “เพราะผลงานของครอบครัวฉันและผลงานของฉันเอง ทำให้ตอนนี้ฉันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ในระดับโรงเรียนแม้แต่ในกองทัพเองก็ด้วย บริสุทธิดั้งเดิมสามารถช่วยสร้างกำลังใจให้ทหารก่อนออกรบได้ดี ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากที่ฉันจะถูกกองทัพเชิญไปร่วมงานด้วย”   หานเซิ่นคิดว่าพอฟังดูมีเหตุผลอยู่ บริสุทธิดั้งเดิมกำลังได้รับความนิยมมากจริงๆ ถึงมันจะไม่ได้เป็นวิชาที่แข็งแกร่งอะไรมากมาย แต่มันก็เหมาะสมกับพวกทหารที่ต้องออกรบแนวหน้าจริงๆ   “ถ้าฉันได้เข้ากองทัพอย่างเป็นทางการ ด้วยผลงานและชื่อเสียงฉันต้องได้ยศนายพลแน่ ถึงฉันจะไม่ได้มีอำนาจอะไรมาก แต่อย่างน้อยๆก็น่าจะพอขอให้น้องชายมาเป็นผู้ช่วยได้…” ฟางกั๋วเทาร่ายยาว   “พี่ชาย ลืมเรื่องนี้ไปดีกว่า ผมยังเรียนไม่จบเลย” หานเซิ่นรีบหยุดเขาไว้ก่อน เขาไม่สนใจจะเป็นผู้ช่วยของฟางกั๋วเทาเลยแม้แต่น้อย   ด้วยประสบการณ์การทำงานของเขา และเขาก็เป็นคนที่เข้าใจเรื่องจิตวิทยา ทำให้เขาพอจะรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ และเขาก็ไม่อยากจะฝืนใจหานเซิ่นอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังรู้สึกติดหนี้หานเซิ่นอยู่   “พี่ชาย ด้วยยศระดับนายพล คุณไม่เห็นต้องให้ผมช่วยเลย แค่ทหารที่ค่อยตามเป็นบอดี้การ์ดให้พี่ชาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้วิวัฒนาการขึ้นไป ผมยังไม่วิวัฒนาการด้วยซ้ำ คงไม่เหมาะสมจะช่วยพี่ชายหรอก” หานเซิ่นยิ้ม   “งั้นลืมเรื่องนี้ไปแล้วกัน ในอนาคตถ้าน้องชายเปลี่ยนใจก็มาหาฉันได้ตลอดเวลา” ฟางกั๋วเทาพูด   หานเซิ่นไม่รู้ว่าฟางกั๋วเทาเห็นอะไรในตัวเขา แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สนใจทำงานแบบนั้นจริงๆ หลังจากทานอาหารเสร็จ หานเซิ่นก็กลับไปฝึกที่ห้องแรงโน้มถ่วงต่อ   “น่าเสียดายจริงๆ…” เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินจากไป รอยยิ้มของฟางกั๋วเทาก็หายไปทันที เขาเลียริมฝีปากของเขา และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ดูชั่วร้าย   หลังจากกลับไปที่ห้องฝึกเเรงโน้นถ่วง หานเซิ่นก็ตั้งค่าพารามิเตอร์ไว้ที่ 25 และเริ่มฝึก   ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นอยู่เหนือ 20 เล็กน้อย ถ้าไม่ได้ใช้มนตรานอกรีต มันยังยากที่เขาจะผ่านระดับ 25.0 ได้โดยใช้แค่โอเวอร์โหลดเพียงอย่างเดียว   มนตรานอกรีตไม่มีผลข้างเคียงอะไร เพราะอวัยวะภายในของเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งตอนที่สำเร็จขั้นแรกแล้ว แต่โอเวอร์โหลดนั้นแตกต่างกัน มันทำให้ทุกเซลล์ในร่างกายทำงานเกินขีดจำกัด ดังนั้นโอเวอร์โหลดเป็นวิชาที่อันตรายมาก ถ้าเขาใช้มันเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้เมื่อไหร่ร่างกายของเขาอาจจะเสื่อมสภาพลง   ในห้องฝึกแรงโน้มถ่วงมีอุปกรณ์ให้ทดสอบอยู่ 10 อุปกรณ์ หานเซิ่นทดสอบเสร็จไปแค่ 3 อุปกรณ์ เหงื่อของเขาก็ชุ่มไปทั้งตัวแล้ว ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับกุ้งถูกเผา อุณหภูมิในร่างกายของเขาสูงกว่าคนที่เป็นไข้เสียอีก ซึ่งเขาพยายามใช้กายหยกยับยั้งมันไว้แล้วด้วย มันเหมือนว่าเซลล์ในร่างกายของเขากำลังส่งเสียงร้องอยู่   หานเซิ่นยอมแพ้ที่จะฝึกต่อ เขาล้มตัวลงนอนในห้องฝึก ขณะหายใจพะงาบๆ