Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 291 หิว
Super God Gene – ตอนที่ 291 หิว

ไป๋อี้ซานเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งมาก เนื่องจากเขาสามารถถ่ายทอดข้อมูลทั้งหมดให้หานเซิ่นเข้าใจได้ใน 2 วัน   เนื่องจากวิชามนตรานอกรีตยังไม่ได้รับการดัดแปลงให้เป็นวิชาไฮเปอร์จีโน มันจึงถูกบันทึกไว้ในภาษาโบราณ และยากที่จะอ่าน   แต่ในยุคสมัยนี้ทุกคนต่างก็พอจะเข้าใจภาษาโบราณ และหานเซิ่นเองก็พอจะอ่านเข้าใจได้ แต่ทว่ามนตรานอกรีตอยู่เหนือความเข้าใจของเขา   โชคดีที่ไป๋อี้ซานได้รวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่เคยทดลองไว้และผู้ที่เคยฝึก ซึ่งมันช่วยหานเซิ่นได้มาก   ไป๋อี้ซานบอกเคล็ดลับให้หานเซิ่นบางจุด ซึ่งช่วยให้หานเซิ่นหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นตอนฝึกได้ มันเหมือนว่าไป๋อี้ซานเองก็ได้ศึกษาวิชานี้   หานเซิ่นยังไม่ได้รีบฝึกมันทันที เขาทำการจดจำข้อมูลทุกอย่างก่อนในขั้นแรก เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการเดินทางจากเมืองกรีนไปเมืองสตีลอาเมอร์ เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์อะไรที่ช่วยได้ เขาจึงต้องจำข้อมูลทั้งหมดไว้ในหัวของเขา   แต่ก่อนที่จะเริ่มเดินทาง หานเซิ่นก็โทรไปหาหลินเป้ยเฟิง เมื่อหลินเป้ยเฟิงได้ยินว่าหานเซิ่นต้องเดินทางผ่านเมืองไม่ต่ำกว่า 6 เมือง หลินเป้ยเฟิงก็แทบช็อค “เซิ่น นายไปที่นั่นได้ยังไง?”   “ไม่ต้องสนใจว่าฉันมาอยู่ที่นี้ได้ไง นายสนใจที่จะทำธุรกิจวิญญาณอสูรไหม?” หานเซิ่นรู้ว่ามันยากที่จะอธิบายว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ไง เขาเลยตัดสินใจข้ามมันไป   “แน่นอน มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะทิ้งโอกาสแบบนี้ แล้วนายจะออกเดินทางเมื่อไหร่? ให้ฉันรวบรวมข้อมูลก่อน” หลินเป้ยเฟิงพูดอย่างตื่นเต้น   “พรุ่งนี้เช้า” หานเซิ่นตอบ จริงๆแล้วหวงฟูผิงชิงเองก็ติดต่อเขาว่าต้องการทำธุรกิจแบบเดียวกัน แต่ถ้าเขาทำธุรกิจกับหวงฟูผิงชิง เขาต้องเซ็นสัญญากับสถาบันเอเรส และต้องอยู่รอในแต่ละเมือง เพื่อผสานงานกับคนของหวงฟูผิงชิง   เขารู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไป เขาเลยปฏิเสธข้อเสนอของหวงฟูผิงชิง และตัดสินใจร่วมงานกับหลินเป้ยเฟิงแทน   หลินเป้ยเฟิงให้คนไปรวบร่วมข้อมูลมาตลอดทั้งคืน และส่งข้อมูลทั้งหมดให้หานเซิ่น รวมทั้งโอนเงินไปในบัญชีของหานเซิ่น 1 พันล้านดอลลาร์   “เซิ่น ฉันมีเวลาไม่มากพอที่จะรวมเงินมาได้มากกว่านี้ นี่คือเงินที่ฉันพอที่จะโยกย้ายได้ในตอนนี้ ใช้มันตามใจได้เลย ฉันได้รวบรวมข้อมูลวิญญาณอสูรเฉพาะของแต่ละพื้นที่เอาไว้ให้แล้ว” เห็นได้ชัดว่าหลินเป้ยเฟิงเชื่อใจหานเซิ่นมาก   “นายโอนเงินมาให้ฉันมากมายขนาดนี้ในครั้งเดียว นายไม่กลัวว่าฉันจะหอบเงินหนีไปรึไง?” หานเซิ่นไม่คิดไม่ฝันว่าหลินเป้ยเฟิงจะโอนเงินมาพันล้าน เขาคิดว่าอย่างมากหลินเป้ยเฟิงก็คงโอนเงินมาร้อยล้าน   “แค่พันล้านมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ถ้าฉันไม่ได้ทำให้พ่อของฉันโกรธอยู่ตอนนี้ ฉันสามารถเพิ่มเงินให้นายได้อีกเป็น 10 เท่า” หลินเป้ยเฟิงยิ้ม “และที่สำคัญที่สุดคือฉันไว้ใจนาย ถ้านายพูดมาคำเดียวฉันสามารถโอนเงินพันล้านให้นายได้ฟรีๆ ตราบใดที่ฉันเห็นนายเป็นเพื่อนสนิท”   หานเซิ่นเข้าไปในเมืองกรีน เขาต้องเข้าไปหาซื้อวิญญาณอสูรในเมืองนี้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปเมืองถัดไป   หานเซิ่นไม่ต้องการเสียเวลามากเกินไป เขาอยากกลับไปที่สตีลอาเมอร์ให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเขาจะต้องเสียเวลาในการใช้คริสตัลสีดำไปอย่างเปล่าประโยชน์   ตามข้อมูลที่หลินเป้ยเฟิงให้มา หานเซิ่นต้องซื้อวิญญาณอสูรจำนวนมากและไปยังเมืองถัดไป   หานเซิ่นหาข้อมูลจากในเน็ต เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแผนที่ที่หวงฟูผิงชิงให้มา ถึงข้อมูลในเน็ตจะไม่ชัดเจนเท่าแผนที่ แต่เขาก็พอจะบอกได้ว่าแผนที่มันใช้การได้หรือเปล่า   นอกเหนือจากการเดินทางแล้ว หานเซิ่นยังต้องฝึกมนตรานอกรีตให้สำเร็จขั้นแรกด้วย มนตรานอกรีตต่างจากกายหยกตรงที่มันไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่มันเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งของเลือดในร่างกายแทน   เลือดมาจากหัวใจและต้องผ่านเส้นเลือดทั่วทั้งร่างกาย ดังนั้นการฝึกมนตรานอกรีตหัวใจและเส้นเลือดของคนที่ฝึกจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบหัวใจกับเครื่องยนต์แล้ว แรงม้าก็คงเพิ่มขึ้นประมาน 10 เท่า ถ้าฝึกมนตรานอกรีตขั้นแรกสำเร็จ   แต่มันค่อนข้างยากที่จะอธิบายผลลัพธ์ของมันให้ชัดเจน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันเซนท์ก็ยังไม่เข้าใจหลักการทำงานจริงๆของวิชานี้   หลังจากที่วิจัยและทดลองมานานก็ยังไม่มีใครฝึกขั้นแรกสำเร็จได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าวิชามนตรานอกรีตจะทำให้หัวใจและเส้นเลือดมีความแข็งแกร่งขึ้น ถ้าผู้ฝึกฝึกไม่ถูกวิธีละก็หัวใจก็อาจจะระเบิดได้   การกักเก็บและสงวนพลังงานคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการฝึกมนตรานอกรีต ถ้าทำไม่ถูกวิธีละก็ หลังจากที่เริ่มฝึกอีก 3 ขั้นจะทำให้หัวใจของคนที่ฝึกระเบิดได้   หานเซิ่นไม่กล้าประมาทในขณะฝึกมนตรานอกรีต เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกมัน เมื่อเขาเริ่มฝึก เขาสามารถฝึกมันอัตโนมัติในระหว่างการเดินหรือนอนก็ยังได้   หลังจากผ่านไปหลายวัน หานเซิ่นเริ่มรู้สึกถึงความหิวที่ไป๋อี้ซานพูดถึง ไม่ว่าเขาจะกินมากแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกหิวอยู่ ไม่ใช่แค่ท้องของเขาเท่านั้น แต่มันทั้งร่างกาย   ในบรรดาข้อมูลสำคัญที่เขาได้อ่านมา หานเซิ่นสังเกตเห็นข้อมูลที่น่าสนใจ มีสมมุติฐานที่ว่าเหตุผลของความหิวที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกก็คือ มนตรานอกรีตต้องการพลังงานที่มหาศาลในการปรับปรุงยีน และควบคุมหัวใจและเส้นเลือด ขณะที่สารอาหารจากอาหารที่กินเข้าไปไม่เพียงพอ ในกรณีนี้ร่างกายจะเรียกร้องหาสารอาหาร ทำให้เกิดอาการหิวตลอดเวลา แม้อาหารในกระเพาะยังย่อยไม่ทันก็ตาม   แต่สมมุติฐานก็ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ เพราะมีผู้ทดลองคนหนึ่งกินอาหารที่ให้พลังงานสูงทุกๆวัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถหายจากอาการหิวได้ ทำให้สมมุติฐานที่ว่านั่นยังมีจุดบอดอยู่     Facebook Page : https://www.facebook.com/SuperGodGene/ ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอน 911 แล้วครับ

Super God Gene – ตอนที่ 290 มนตรานอกรีต
Super God Gene – ตอนที่ 290 มนตรานอกรีต

ไป๋อี้ซานหยุดไป และไม่ได้พูดอะไรต่อ   หานเซิ่นรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาคิดว่าคงจะไม่มีหวังแล้วและไม่น่าจะได้รับคำตอบที่ดีจากไป๋อี้ซาน เขารีบถามไป๋อี้ซาน “ศาสตราจารย์ คุณมีวิชาไฮเปอร์จีโนอะไรอยู่ในใจงั้นหรอครับ”   ไป๋อี้ซานลังเลและพูดต่อ “จริงๆแล้วมันไม่ใช่วิชาไฮเปอร์จีโน เธอก็น่าจะรู้ว่าวิชาไฮเปอร์จีโนประยุกต์มาจากวิชาการต่อสู้โบราณ 20 ปีก่อนมีการค้นพบตำราโบราณที่ไม่สมบูรณ์เรียกว่า ‘คัมภีร์นอกรีต’ เนื่องจากมันไม่สมบูรณ์ วิชาโบราณแต่ละวิชาที่ถูกบันทึกไว้ในตำรานั้นต่างก็ไม่มีความเหมาะสมที่จะนำมาฝึก แต่มีวิชาโบราณเพียงแค่วิชาเดียวเรียกว่า ‘มนตรานอกรีต’ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ถ้าเธอสามารถฝึกวิชานั้นได้ถึงขั้นละก็ มันไม่ยากที่จะตัดทองได้ด้วยมือเปล่าๆ”   “มนตรานอกรีต คือวิชาระดับSของสถาบันเซนท์ใช่ไหมครับ?” หานเซิ่นถามอย่างตื่นเต้น   ไป๋อี้ซานส่ายหัวและพูด “ถึงจะมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนทำการค้นคว้าเกี่ยวกับมนตรานอกรีต และต้องการจะดัดแปลงมัน เพื่อทำให้เป็นวิชาไฮเปอร์จีโน แต่พวกเขาก็ต้องเจอกับปัญหา หลังจากที่ทำการทดลอง”   “แสดงว่ามนตรานอกรีตไม่ได้ทรงพลังอย่างที่พวกเขาหวังไว้ใช่ไหมครับ?” หานซิ่นถาม   ไป๋อี้ซานตอบ “มันไม่ใช่แบบนั้น หลังจากฝึกมนตรานอกรีต ผู้ฝึกจะมีความแข็งแรงทางกายสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทว่าพวกเขาก็มีบางอย่างที่ผิดปรกติไป”   “บางอย่างผิดปรกติงั้นหรอ?” หานเซิ่นมองไป๋อี้ซาน   ไป๋อี้ซานครุ่นคิดและเรียบเรียงคำพูด “ทุกคนที่ได้ลองพยายามฝึกมนตรานอกรีตจะรู้สึกอยากอาหารมากเกินไป”   หลังจากที่ได้ยินคำตอบของไป๋อี้ซาน หานเซิ่นก็งง เขาคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้ และเขาไม่ได้คิดว่ามันจะแค่ ‘อยากอาหารมากเกินไป’   แค่มองไป๋อี้ซานก็พอจะรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดต่ออย่างจริงจัง “บางทีเธออาจจะไม่สามารถจินตนาการได้ว่าการอยากอาหารมาเกินไป มันเป็นผลร้ายขนาดไหน ฉันจะอธิบายให้ฟัง คนปรกติจะรู้สึกอิ่มเมื่อพวกเขากินอาหารได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อฝึกมนตรานอกรีต พวกเขาจะสูญเสียความรู้สึกอิ่มไป ไม่ว่าพวกเขาจะกินไปมากแค่ไหน หรือว่าท้องของเขาจะรับไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหิวอยู่”   “ในบรรดาผู้อาสาฝึกทั้ง 6 คน มี 2 คนที่กินมากเกินไปจนเกือบตาย เมื่อพวกเขาเลิกฝึกมนตรานอกรีตความรู้สึกอิ่มมันก็จะค่อยๆกลับมาปกติอย่างช้าๆ”   “งั้นก็แปลว่ามนตรานอกรีต มันได้ผลใช่ไหม” หานเซิ่นถาม   “ฉันก็ไม่แน่ใจ” ไป๋อี้ซานทำให้หานเซิ่นต้องชะงักไปอีกครั้ง ไป๋อี้ซานพูดว่ามนตรานอกรีตสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนี้เขากับบอกว่าไม่แน่ใจ   ไป๋อี้ซานเข้าใจความคิดของหานเซิ่นและอธิบาย “หลังจากฝึกมนตรานอกรีต ผู้อาสาทดลอง 6 คนต่างก็ยินดีกับการพัฒนาอย่างไม่น่าเชื่อของความแข็งแกร่งและความเร็ว แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถทนต่อความหิวได้ พวกเขาต้องยอมแพ้ที่จะฝึกมัน การพัฒนาด้านร่างกายของพวกเขาก็สูญหายไปพร้อมๆกับความรู้สึกหิว ฉันจะบอกว่าจำเป็นต้องฝึกให้สำเร็จในขั้นแรกก่อน ถึงจะบอกได้ว่ามนตรานอกรีต มันได้ผลหรือไม่”   “งั้นก็ยังไม่มีใครฝึกสำเร็จขั้นแรกเลยหรอครับ?” หานเซิ่นถาม   “พวกเรามีผู้ทดลองหลายคนที่ฝึกมัน แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถทนความหิวได้ พวกเขาไม่สามารถทนฝึกจนสำเร็จขั้นแรกได้” ไป๋อี้ซานพูด   “มนตรานอกรีต มีทั้งหมดกี่ขั้น?” หานเซิ่นเริ่มสนใจวิชามนตรานอกรีต เนื่องจากมันไม่มีความเสี่ยงอะไร ถ้าถอดใจยอมแพ้ เดี่ยวร่างกายก็กลับมาปรกติ เขาก็อยากจะลองฝึกมันดูสักครั้ง   ไป๋อี้ซานเห็นถึงความต้องการของหานซิ่น เขาก็คิดว่าจะไม่หยุดหานเซิ่น เขาอยากให้หานเซิ่นเห็นผลลัพธ์ของมันเอง   “มันมีทั้งหมด 4 ขั้น กักเก็บพลัง, เห็นภาพล่วงตา, ยืดอายุ, และก็ความเป็นอมตะ ยังไม่มีใครฝึกสำเร็จขั้นกักเก็บพลังได้เลย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมนตรานอกรีต ถึงยังไม่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นวิชาไฮเปอร์จีโน”   “ศาสตราจารย์จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอทดลองฝึกมนตรานอกรีต? ผมสามารถให้ใบอนุญาตระดับSกับคุณได้สำหรับการฝึกมัน” หานเซิ่นต้องการรีบฝึกมันให้เร็วที่สุด เพื่อจะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดให้ได้ หานเซิ่นจะไม่ปฏิเสธโอกาส   “ไม่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาต มนตรานอกรีตไม่ใช่วิชาไฮเปอร์จีโนอยู่แล้ว มันไม่ได้มีไว้ขาย ถ้าเธอสนใจมันจริงๆ ฉันสามารถตั้งให้เธอเป็นผู้ทดลองฝึกได้เลย เธอสามารถฝึกมันได้ แต่ข้อมูลทุกอย่างที่ได้จากการฝึก เธอต้องรายงานต่อสถาบันเซนท์” ไป๋อี้ซานพูด   “ขอบคุณมากครับ” หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ถามเกี่ยวกับวิชาไฮเปอร์จีโนอีกหลายคำถาม   ไป๋อี้ซานไม่สามารถหาวิชาไฮเปอร์จีโนที่ตอบสนองความต้องการทั้งหมดของหานเซิ่นได้   แม้จะเป็นวิชาอะตอมมิคฟิชชั่นที่ต้องใช้เวลาฝึกถึง 20 ปีก็ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์ทำลายกระดองเต่าเลือดศักดิ์สิทธิได้ด้วยมือเปล่าๆ   แต่วิชามนตรานอกรีตนั้นแตกต่างออกไป ตามที่ไป๋อี้ซานบอกมา ถ้าผู้ฝึกไม่ยอมแพ้เสียก่อน พวกเขาอาจจะสามารถสำเร็จขั้นแรกได้ภายใน 3 เดือน   หานเซิ่นถามไป๋อี้ซานเกี่ยวกับวิชาไฮเปอร์จีโนที่สามารถเพิ่มความเร็วได้ การจะสู้กับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด หานเซิ่นไม่ได้ต้องแค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องการความเร็วที่มากพอ เพื่อหลบการโจมตีของมันด้วย   หลังจากที่พูดคุยกับไป๋อี้ซานอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดหานเซิ่นก็วางสาย ไป๋อี้ซานดำเนินการให้หานเซิ่นกลายเป็นผู้ทดลองฝึก ขณะที่ตัวหานเซิ่นเองก็ต้องเดินทางไปที่สถาบัน เพื่อเซ็นหนังสือสัญญาทดลองฝึกด้วย   หานเซิ่นต้องการเวลาที่ค่อนข้างมากในการเดินทางจากเมืองกรีนไปยังเมืองสตีลอาเมอร์ ดังนั้นเขาอาจจะต้องขาดกิจกรรมบางอย่างในโรงเรียน รวมถึงการแข่งขันธนูและการสอบอื่นๆด้วย   โชคดีที่ผู้อำนวยการของเหยี่ยวดำเห็นแก่ผลงานที่ผ่านๆมาของหานเซิ่น หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของหานเซิ่นทางโรงเรียนก็ยินยอมให้เขาใช้เวลาในก็อตแซงชัวรี่ได้อย่างเต็มที่   หานเซิ่นมีแผนที่จะออกจากเมืองกรีน เมื่อเขาเริ่มฝึกมนตรานอกรีตแล้ว เขาตั้งใจที่จะฝึกมันไประหว่างทาง เนื่องจากมันไม่ได้มีอันตรายในการฝึก นอกจากความหิว ในกรณีเลวร้ายที่สุดเขาก็แค่เลิกฝึกมัน