Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 664 มอนสเตอร์ใต้ดิน
Super God Gene – ตอนที่ 664 มอนสเตอร์ใต้ดิน

  ในตอนแรกลูกม้าสีแดงยังลังเลที่จะเข้ามา แต่หลังจากที่มันเดินวนไปวนมาอยู่สักพัก มันก็รู้ว่าน่าจะไม่มีอันตราย มันค่อยๆเดินเข้าไปหาหานเซิ่น   แม้หานเซิ่นต้องการจะลักพาตัวลูกม้าสีแดง แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ เขากะรอให้ลูกม้าลดความระวังตัวถึงที่สุดจริงๆ เขามองดูมันเดินมาอยู่ใกล้ๆ เขาพยายามโบกมือและทำทีเป็นมิตรกับมันให้มากที่สุด   เมื่อความกลัวของมันหายไปจนหมดแล้ว มันก็เดินเข้ามาใกล้หานเซิ่นและพยายามดมกลิ่นของเขา   หานเซิ่นเริ่มรู้สึกลังเลแล้วตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะพาตัวมันไปเลยดีรึเปล่า เพราะตอนนี้มันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่อายุแค่นี้จริงๆรึเปล่า   ที่สำคัญลูกม้าสีแดงดูจะประหม่าและวิตกกังวลเล็กน้อย ส่วนม้าตัวอื่นๆก็มองมาที่หานเซิ่นด้วยความบ้าคลั่ง ถ้ามันสามารถใช้สายตาฆ่าคนได้ ป่านี้หานเซิ่นคงจะตายไปแล้ว   แต่ดูเหมือนจิ้งจอกสีเงินจะไม่ค่อยพอใจ มันกระโดดไปที่ตักของหานเซิ่น และพยายามส่งเสียงขู่ลูกม้าสีแดง นี่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่ดี เขากลัวว่าจิ้งจอกสีเงินจะทำให้ลูกม้าสีแดงกลัว ดังนั้นเขาเลยเอามันวางลงบนพื้น   แต่ลูกม้าสีแดงก็ไม่ได้กลัว หลังจากที่มันเดินเข้ามาใกล้อีก 2-3 ก้าว มันก็จ้องมองกลับไปที่จิ้งจอกด้วยแววตาที่เอาเรื่องเช่นเดียวกัน ตอนนี้ดูมันจะมีความสุขมาก ลูกม้าสีแดงเข้าไปใกล้หานเซิ่น และก็เอาหัวของมันไปถูกับขาของหานเซิ่น   แต่นี่ทำให้จิ้งจอกสีเงินโกรธ ถ้าหานเซิ่นไม่ทำอะไรสักอย่าง มันอาจจะถูกจิ้งจอกปล่อยไฟฟ้าใส่ได้   หานเซิ่นใช้มือลูบตัวของลูกม้าสีแดง ลูกม้าอยู่นิ่งๆให้หานเซิ่นสัมผัสได้ตามใจชอบ มันดูจะมีความสุขที่หานเซิ่นลูบตัวของมัน   แต่เมื่อหานเซิ่นสัมผัสตัวมัน พวกเพกาซัสก็จ้องมองมาที่เขาด้วยความโกรธมากกว่าเดิม พวกมันเริ่มกระพือปีก จากนั้นมันก็บินขึ้นไปบนฟ้า เนื่องจากพวกมันมีจำนวนมาก ทำให้มันบดบังแสงอาทิตย์จนเกือบหมด   “เด็กดี ให้ฉันกอดแกซะดีดี” หานเซิ่นกอดลูกม้า ซึ่งมันก็ไม่ได้ขัดขืนเลย จริงๆแล้วดูมันจะมีความสุขมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ   แม้ตอนนี้มันจะดูผ่อนคลายและไม่ระมัดระวังตัว แต่หานเซิ่นก็ยัง 2 จิต 2 ใจ ตอนนี้คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่เขาจะลักพาตัวมันไป แต่เขาไม่รู้ว่าราชาเพกาซัสจะปล่อยให้เขาหนีไปพร้อมกับตัวประกันได้ง่ายๆรึเปล่า ถ้าเกิดพวกมันตัดสินใจเข้ามาโจมตีเขา แบบนั้นเขาก็น่าจะเสร็จพวกมันอย่างแน่นอน   ในที่สุดหานเซิ่นก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงมือทำอะไร เขาปล่อยให้ลูกม้าสีแดงนอนเล่นอยู่ใกล้ๆเขา มันดูไร้เดียงสาจริงๆ   แต่หานเซิ่นก็รู้ว่ายังไงมันก็คงไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้ไปตลอดแน่ เมื่อมันเติบโตขึ้น มันก็ไม่น่าจะต่างจากเพกาซัสตัวอื่นๆที่มีสัญชาตญาณก้าวร้าว   ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงอันตราย หัวใจของเขาเต้นรัว หานเซิ่นคิดว่าลูกม้าอาจจะคลั่งขึ้นมารึเปล่า   หานเซิ่นขยับถอยห่างออกมาและก็จ้องมองมัน ซึ่งลูกม้าสีแดงก็ยังทำตัวน่ารักอยู่ แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีสิ่งดูเหมือนกับหนวดแทงขึ้นมาจากพื้นดิน   หนวดเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่ดูเหมือนมันจะพุ่งเข้าไปหาลูกม้าสีแดงมากกว่า หานเซิ่นปฏิกิริยาไว เขารีบกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที   ลูกม้าสีแดงผู้โชคร้าย ถึงมันจะเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่แข็งแกร่ง แต่มันเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน มันยังอ่อนต่อโลกมาก ตอนนี้มันถูกหนวดจำนวนมากล็อคไว้แน่น   จากนั้นทุ่งหญ้าตรงที่หานเซิ่นอยู่ก็แย่งออกเป็น 2 ฉีก มันเป็นภาพที่น่ากลัว ตอนนี้หนวดกำลังลากลูกม้าลงไปในหลุม   ลูกม้าสีแดงพยายามขัดขืนสุดชีวิต ตอนนี้ตัวของมันส่องแสงสีแดงออกมา แสงสีแดงฉีกหนวดเป็นเป็นชิ้นๆ จากนั้นมันก็ล่วงลงไปบนพื้น แต่ก็มีหนวดอันอื่นๆพุ่งเข้ามาเพื่อจับตัวลูกม้ามากขึ้น   หานเซิ่นมองลงไปในหลุม และเขาก็เห็นอะไรบางอย่างสีแดงอยู่ในนั้น ฟันของมันแหลมคม หานเซิ่นยังดูไม่ออกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่   “ถึงว่าทำไมพวกเพกาซัสกับหมาป่าถึงไม่กล้าเข้ามาหาเรา เพราะมันมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอยู่ข้างล่างนี่เอง” หานเซิ่นเห็นลูกม้าสีแดงเกือบจะถูกลากเข้าไปในปากของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านล่างแล้ว เขาขมวดคิ้วและรีบเรียกเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีออกมา จากนั้นเขาก็รีบกวัดแกว่งมันทันที   เปลวไฟอันทรงพลังของเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีเผาไหม้หนวดทุกอันที่มาสัมผัสกับมัน พวกมันถูกเผาจนเป็นถ่านอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันช่วยให้ลูกม้ารอดพ้นจากการถูกเขมือบ   แต่เนื่องจากลูกม้าไม่มีความสามารถในการบิน ทำให้มันถูกหนวดจับตัวไว้อีกแล้ว   หานเซิ่นต้องลงไปช่วยมัน และรีบอุ้มมันบินขึ้นไปบนอากาศ มอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ดินดูจะประหลาดใจมาก หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้สนใจลูกม้าสีแดงมากขนาดนั้น ทั้งๆที่มีทั้งหานเซิ่นและจิ้งจอกสีเงินอยู่ใกล้ๆด้วย แต่ดูเหมือนมันจะเล็งไปที่ลูกม้าสีแดงเป็นหลัก   หานเซิ่นอุ้มลูกม้าสีแดงบินหนีไปห่างๆ มอนสเตอร์ลึกลับส่งเสียงคำรามที่ดูน่ากลัวออกมา ซึ่งทำให้พื้นสั่นสะเทือนไปหมด หนวดจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากพื้น ในที่สุดมอนสเตอร์ที่อยู่ด้านล่างมันก็โผล่ขึ้นมา   มันเป็นหนอนที่ดูเหมือนกับตะขาบขนาดใหญ่ ตอนนี้ตัวของมันโผล่ออกมาจากพื้นดินแค่บางส่วนเท่านั้น แต่มันก็ใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวของมันโผล่ออกมาจากหลุมหลายสิบเมตร บนหลังของมันมีหนวดอยู่เป็นจำนวนมาก   หนวดบนหลังของมันพุ่งเข้ามาโจมตีไวมาก มันไวยิ่งกว่าปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กของหานเซิ่น แต่ด้วยเซเว่นทวิสต์ทำให้หานเซิ่นสามารถหลุดการโจมตีจากหนวดของมอนเสอตร์ได้่อย่างไม่ยากเย็น จากนั้นหานเซิ่นก็ปลดปล่อยพลังจากเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีออกมา เขาตัดหนวดจำนวนมากของมอนสเตอร์ตัวนี้ด้วยการโจมตีที่รุนแรง   ตอนนี้เพกาซัสบินขึ้นมาบนท้องฟ้าหมดแล้ว พวกมันรีบพุ่งเข้ามา แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่ได้โกรธหานเซิ่นแล้ว พวกมันพยายามจะปกป้องหัวหน้าของมัน พวกมันบินตรงเข้าใส่มอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาจากใต้ดินโดยไม่เกรงกลัว   หนวดของมอนสเตอร์เกิดใหม่ได้เรื่อยๆ เพกาซัสที่พุ่งลงไปต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ดิน ถูกหนวดจำนวนมากล็อคตัวเอาไว้ พวกเพกาซัสถูกฉีกปีกออกแบบง่ายๆ ตอนนี้เลือดของพวกเพกาซัสสาดกระจายไปทั่วบริเวณ   ร่างกายของมอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ดินมีขนาดใหญ่โตและแข็งแกร่งมาก ตัวของมันยาวอย่างน้อยๆก็ 100 เมตร เปลือกของมันมีสีม่วงคล่ำ และขาเล็กๆของมันมีจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน   ตอนนี้มอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ดินยกตัวขึ้นมา หนวดของมันกำลังเต้นระบำอยู่ในอากาศ พวกเพกาซัสเริ่มล่วงลงไปทีละตัว 2 ตัว พวกมันถูกฉีกเป็นชิ้นๆ มอนสเตอร์ที่เหมือนตะขาบพยายามจะไล่ตามลูกม้าสีแดงที่อยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่น   “ทำไมไอ้เจ้านี่ถึงได้จงใจเล่นงานลูกม้าตัวนี้ถึงขนาดนั้น? มันจะต้องมีอะไรที่พิเศษแน่” หานเซิ่นประหลาดใจเมื่อเห็นเช่นนี้ ตอนนี้เขามีแผนที่จะลักพาตัวลูกม้าสีแดงไป ดังนั้นเขาเลยใช้เซเว่นทิวสต์หนีไป ขณะที่ใช้เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีตัดหนวดของมอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ดินไปตลอดทาง   จู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากระยะไกล เจ้าของเสียงร้องก็คือราชาเพกาซัส ตัวของมันถูกก้อนเมฆบดบังเอาไว้ ดูเหมือนมันจะอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโกรธของมัน    

Super God Gene – ตอนที่ 663 ลูกม้าสีแดง
Super God Gene – ตอนที่ 663 ลูกม้าสีแดง

  “เวรเอ้ย! เราน่าจะออกจากเขตแดนของหมาป่ามา แต่ดันมาเข้าเขตแดนของพวกม้าหรอเนี่ย?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว ขณะที่เขามองดูม้ามีปีก ซึ่งดูเหมือนเพกาซัสตรงเข้ามา เขาต้องการจะตบหน้าตัวอย่างแรงๆ ‘เรามาทำอะไรที่นี่ว่ะเนี่ย? เราควรจะเน้นหามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่อยู่ตัวเดียวต่อไป!”   “การพยายามฉกฉวยประโยชน์จากคนอื่นจะทำให้เราตายเปล่า” หานเซิ่นถอนหายใจ   โชคดีจุดที่เขาอยู่เป็นเขตแดนที่ไม่มีทั้งม้าและหมาป่าอยู่ ดูแล้วมันน่าจะเป็นเขตที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่กล้าก้าวล้ำเข้าไป พวกมันไม่ได้วิ่งมาถึงจุดที่เขาอยู่ ทำให้เขาสามารถใช้โอกาสนี้หยุดพักหายใจหายคอได้   หานเซิ่นไม่กล้าที่จะใช้ปีกบินอีก เพราะถ้าเขาใช้ปีกบินขึ้นไป เขาจะกลายเป็นเป้าสายตาและถูกเพกาซัสเล่นงานเอาได้ การอยู่บนท้องฟ้าจะทำให้เขาเสียเปรียบมอนสเตอร์บินได้อย่างเพกาซัสมาก   หานเซิ่นหมอบลงในทุ่งหญ้า จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ จุดที่เขาอยู่ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งหญ้า อย่างน้อยรอบๆตัวเขาตอนนี้ก็ไม่มีทั้งเพกาซัสและหมาป่าแล้ว   หลังจากที่หานเซิ่นสังเกตแถวนี้ดีๆแล้ว เขาก็พบว่าหญ้าแถวนี้มันแตกต่างจากหญ้าจุดอื่น มันสั้นกว่าที่อื่นและก็มีสีเหลือง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษ บริเวณนี้ไม่มีทะเลสาบหรือบ่อน้ำ   จากสัมผัสอันทรงพลังของหานเซิ่น เขารู้ว่าทั้งม้าและหมาป่ายังไม่ได้ไปไหน พวกมันยังคงจ้องมองมาที่เขาจากระยะไกล แต่ยังไม่มีฝ่ายไหนกล้าเข้ามา ดังนั้นหานเซิ่นเลยตัดสินใจที่จะอยู่ตรงนี้ไปสักพัก เขาไม่คิดว่าหมาป่าและม้าจะยืนเฝ้าเขาอยู่แบบนี้นานนักหรอก   โชคดีที่หานเซิ่นนำเสบียงอาหารติดตัวมาด้วย เขาพกยาบำรุงมาด้วยหลายขวด อย่างน้อยๆเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่ได้ประมาน 2 เดือน ถ้ามันจำเป็นจริงๆ   แต่ดูเหมือนหานเซิ่นจะมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะหลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ ทั้งม้าและหมาป่าก็ไม่มีฝ่ายไหนยอมถอยไปเลย พวกมันยังอยู่รอบๆทุ่งหญ้าที่หานเซิ่นอาศัยอยู่ พวกมันยังคงจ้องมองมาที่เขาจากระยะไกล   “จิ้งจอกสีเงิน นายต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นนายจะรอให้ฉันตายก่อนถึงจะเคลื่อนไหวใช่ไหม?” หานเซิ่นเอาจิ้งจอกมาวางตรงหน้า และพูดกับมัน “ไม่ห่วงหรอก! หมาป่ากับหมาจิ้งจอกก็คล้ายๆกันนั่นแหละ นายช่วยไปเจรจากับราชาหมาป่าแทนฉันหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด โอเคนะ?”   หานเซิ่นพยายามผลักให้จิ้งจอกเดินไปทางฝั่งดินแดนของหมาป่า แต่จิ้งจอกก็ไม่ยอมไป มันนอนลงบนพื้นและก็กระพริบตาให้หานเซิ่น ทำให้หานเซิ่นรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังพูดกับก้อนหินไม่มีผิด ดังนั้นหานเซิ่นเลยตัดสินใจเดินวนไปวนมาแถวทุ่งหญ้า เพื่อจะหาทางหนีออกไปให้ได้ แต่เขาก็ยังไม่เจอวิธีหนีดีๆเลย   “ถ้าหนีไม่ได้ งั้นเราก็คงจะต้องลุยกับมันสักตั้ง! แต่ดูยังไงเราก็ไม่น่าจะฝ่าไปทางฝั่งม้าเพกาซัสได้แน่นอน พวกมันมีจำนวนมากกว่าหมาป่า และพวกมันยังบินได้อีกด้วย ดูยังไงมันก็อันตรายกว่า” ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด เขามองไปทางฝั่งหมาป่า และเห็นลมกำลังพัดผ่านหญ้า ซึ่งเผยให้เห็นพวกหมาป่าขนสีเทาที่กำลังซ่อนตัวอยู่ ตอนนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันดักซุ่มอยู่กี่ตัวกันแน่   ตอนนี้หานเซิ่นเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ เขากำลังรอโอกาสเหมาะๆที่จะฝ่าออกไป ถ้าเขาวิ่งฝ่าออกไปทางหมาป่า มันจะดีมากถ้าเกิดเขาหาตำแหน่งของราชาหมาป่าเจอ ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆเขาก็หนีออกจากจุดนี้ได้   ขณะที่หานเซิ่นกำลังรอโอกาสเหมาะๆอยู่ เขาก็เห็นพวกม้าดูจะแตกตื่น พวกมันดูไม่สงบเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ภายในฝูงของมันมีลูกม้าตัวสีแดงปรากฏตัวออกมา พวกม้าตัวอื่นๆเปิดทางให้มันเดิน ไม่มีตัวไหนกล้าเข้าไปใกล้ๆมัน   “รึว่ามันจะเป็นลูกของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด?” เมื่อเห็นเช่นนั้นหานเซิ่นก็ประหลาดใจ ดูแล้วม้าสีแดงตัวนี้เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ดูมันอยากรู้อยากเห็นมาก ขณะที่มันกำลังเดิน แม้แต่เพกาซัสเลือดศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้มัน   “ถ้าเราเข้าไปขโมยลูกม้า เราจะมีโอกาสหนีรอดจากฝูงของมันไหมนะ?” ในหัวของหานเซิ่นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา เขาสงสัยว่าถ้าเขาเข้าไปชิงตัวลูกม้า และเอามีดจ่อคอของมันเพื่อใช้เป็นตัวประกันต่อรองกับราชาม้า มันจะได้ผลรึเปล่า   แต่หานเซิ่นก็ต้องโยนความคิดนั้นทิ้งไป เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นมอนสเตอร์ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าพวกมันเห็นหานเซิ่น พวกมันก็คงจะเข้ามาฆ่าทันที โดยไม่ได้สนใจเรื่องต่อรอง   ที่สำคัญแม้ลูกม้าสีแดงจะยังตัวเล็กอยู่ แต่มันก็คือมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด ซึ่งหานเซิ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะชิงตัวมันมาได้ง่ายๆ   ลูกม้าสีแดงดูจะอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกอย่าง มันมองมาที่หานเซิ่นและจิ้งจอกสีเงินด้วยความสนใจ   ลูกม้าสีแดงพยายามที่จะเดินเข้ามาในทุ่งหญ้าที่หานเซิ่นอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่มันก็ทำไม่สำเร็จ เพราะราชาม้าจะหยุดมันเอาไว้ทุกครั้ง และมันก็จะถูกโยนกลับไป   แต่ก่อนที่ม้าสีแดงจะเดินไปทางอื่น มันก็หันมามองหานเซิ่นและทำหน้าเศร้าๆ   “น่าเสียดายจริงๆ ถ้าลูกม้าสีแดงวิ่งเข้ามาเอง เราก็น่าจะลักพาตัวมันได้!” หานเซิ่นรู้สึกเสียดายมาก   ในคืนนั้นหานเซิ่นนอนอยู่ในทุ่งหญ้า และมองขึ้นไปบนฟ้าในยามค่ำคืน เขากำลังนับดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า เขารู้สึกเบื่อมาก ดังนั้นเขาเลยเรียกเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยางออกมานั่งเป็นเพื่อนคุย ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางฝั่งของฝูงม้า หานเซิ่นรีบหันไปดูทันที และเขาก็เห็นลูกม้าสีแดงแอบย่องเข้ามา ตาของมันจ้องมองมาที่เขาตลอดเวลา   หานเซิ่นมีความสุขมากที่ได้เห็นแบบนั้น แต่ดูเหมือนพวกม้าตัวอื่นๆเห็นมันเข้าแล้ว พวกมันพยายามจะส่งเสียงเกลี่ยกล่อมให้ลูกม้าสีแดงกลับไป แต่ไม่ว่าพวกมันจะทำยังไงลูกม้าสีแดงก็ไม่สนใจ ซึ่งม้าตัวอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปถูกลูกม้าสีแดงด้วย   ครั้งนี้ดูเหมือนราชาม้าจะไม่ได้อยู่แถวๆนั้น หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร   ตอนนี้ลูกม้าสีแดงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันเดินเข้ามาทางหานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง มันมองซ้ายมองขวาเกือบจะตลอดเวลา จนกระทั่งมันเข้ามาอยู่ในระยะที่ห่างจากหานเซิ่นประมาน 20 เมตร จากนั้นมันก็หยุดอยู่แค่นั้น มันยืนมองดูหานเซิ่นและจิ้งจอกสีเงิน   “มานี่ เด็กน้อย มานี่เร็ว” หานเซิ่นพูดขณะที่ยิ้มแปลกๆ เขายื่นมือออกไปเพื่อชักชวนให้ลูกม้าสีแดงเข้ามา แต่ทว่าลูกม้าสีแดงกลับเดินถอยหลังไป 2-3 ก้าว แววตาของมันดูจะระมัดระวังตัวมากขึ้น ดูมันจะไม่ไว้ใจหานเซิ่น หานเซิ่นรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเพราะสีหน้าของเขาชัดเจนเกินไป ดังนั้นเขาเลยรีบทำสีหน้าปรกติ ตอนนี้เขาพยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา เขาทำหน้าตาใสซื่อ เขาคิดว่าถ้าทำแบบนี้อาจจะล่อให้ลูกม้าเข้ามาหาได้ หานเซิ่นเอาอาหารออกมา และขว้างมันไปบนพื้นใกล้ๆ แต่ดูลูกม้าจะไม่สนใจ   “ม้ามันชอบกินแค่หญ้ารึไงนะ?” หานเซิ่นรู้สึกผิดหวัง เขาลองพยายามค้นดูในกระเป่า แต่ก็ไม่มีอะไรที่พอจะใช้การได้เลย เขาเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพื่อล่อมันดี   แต่หลังจากที่ลูกม้ายืนมองดูหานเซิ่นอยู่สักพัก เหมือนว่ามันจะลดความระมัดระวังตัวลงไป มันเริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆหานเซิ่นอย่างช้าๆ   ตอนนี้ฝูงม้าเริ่มแตกตื่นแล้ว พวกมันเห็นลูกม้าสีแดงกำลังเข้าไปใกล้หานเซิ่น พวกมันไม่กล้าที่จะทำอะไร สิ่งที่พวกมันทำได้ก็คือส่งเสียงร้องบ้าคลั่ง พวกมันพยายามจะทำให้ลูกม้าสีแดงเดินกลับมาที่ฝูง และพวกมันก็พยายามจะขู่หานเซิ่นด้วยเพื่อไม่ให้ทำร้ายลูกม้า   หานเซิ่นรู้สึกว่านี่มันดูแปลกๆ ตอนแรกเขาคิดว่าที่พวกม้าหรือพวกหมาป่าไม่ยอมเข้ามา นั่นเพราะพวกมันไม่อยากจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่ในตอนนี้เมื่อลูกม้าเข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมฝั่งหมาป่ายังไม่ยอมเคลื่อนไหวอีก พวกมันลังเลอะไรกันอยู่? . . ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจด้วยครับ >>> SSG (ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอนที่ 2065 แล้วครับ)

Super God Gene – ตอนที่ 662 ราชาหมาป่า
Super God Gene – ตอนที่ 662 ราชาหมาป่า

  เนื่องจากราชาหมาป่ามีลูกน้องเป็นจำนวนมาก การจะหาตำแหน่งของมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก   หยางม่านลี่ส่งข้อมูลให้หานเซิ่นได้ภายใน 2 วัน หมาป่าฝูงใหญ่แบบนั้นหาได้ง่ายมาก แต่การจะล่ามันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นงานสุดหินจริงๆ   “นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ส่งมาให้ฉันจริงๆ!” หลังจากที่หานเซิ่นได้อ่านรายงานของหยางม่านลี่แล้ว เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางทันที เขาไม่ได้พาหวังอวี่ฮังไปด้วย เพราะเขากลัวว่าอาจจะมีเรื่องยุ่งๆตามมา   ที่สำคัญการล่ามอนสเตอร์ฝูงใหญ่แบบนี้ ลงมือคนเดียวจะคล่องตัวกว่า มอนสเตอร์ที่มีลูกน้องเป็นจำนวนมากมักจะอ่อนแอกว่ามอนสเตอร์ตัวอื่นๆ แต่พวกมันจะมีสติปัญหาที่เหนือกว่า   สำหรับหานเซิ่นแล้วนี่คือโอกาสที่เหมาะมาก ถ้าเขาพาจิ้งจอกสีเงินไปด้วย เขาน่าจะตัดปัญหาเรื่องลูกสมุนของมันไปได้ เขาจะสามารถสู้กับราชาได้แบบตัวต่อตัว   หานเซิ่นวิ่งผ่านทุ่งน้ำแข็งขึ้นไปทางเหนืออย่างมีความสุข ฝูงหมาป่ามันใหญ่โตมาก หลังจากที่ได้ข้อมูลมา บวกกับไปถามชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ หานเซิ่นก็รู้ว่าพวกมันจะไปที่ไหน เขามุ่งหน้าไปทางนั้นทันที เขาต้องการจะฆ่าราชาหมาป่าให้ได้ก่อนที่หลูฮุยจะไปถึง   หานเซิ่นต้องแข่งกับเวลา เขาวิ่งทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเขาก็มาถึง พวกมันดูเหมือนกับหมาป่าสีเทาทั่วๆไป แต่จำนวนของมันดูจะมากกว่าที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ พวกมันล้อมหมาป่าที่เป็นหัวหน้าไว้ทุกด้าน เมื่อมาถึงหานเซิ่นก็วิ่งตรงเข้าไปที่ศูนย์กลางของฝูงหมาป่าทันที   เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ หมาป่าตัวอื่นๆยอมเปิดทางให้กับเขา พวกมันไม่กล้าเข้ามาขวางทางหานเซิ่นที่มีจิ้งจอกสีเงินอยู่ด้วย หานเซิ่นวิ่งไปไกลหลายไมล์ และในที่สุดเขาก็มาถึงจุดที่ราชาหมาป่ายืนอยู่ มันดูธรรมดามาก ลักษณะภายนอกของมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ มันดูเหมือนกับหมาป่าทั่วๆไป แต่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าตัวอื่นๆและมีรอยสีฟ้าอยู่บนหน้าผาก ดูจากภายนอกก็เหมือนมันจะไม่มีพลังธาตุด้วย   เมื่อมันเห็นหานเซิ่น มันก็จ้องมองมาที่เขาพร้อมกับทำตาแคบลง เหมือนมันกำลังท้าทายให้เขาบุกเข้าไป   “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหลูฮุยถึงได้อยากจะมาล่ามันนัก ดูแล้วมันน่าจะล่าได้ง่ายๆ” หานเซิ่นเรียกวิญญาณอสูรเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีออกมา เขาถือมันด้วยมือข้างเดียว หลังจากที่เขาเรียกมันออกมา เปลวไฟก็ทะลักออกมาจากอาวุธของเขาทันที มันดูเป็นอาวุธที่น่ากลัวมาก   แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะเข้าไปใกล้ราชาหมาป่า มันก็เงยหน้าขึ้นและหอนจนเสียงดังไปถึงท้องฟ้า   “หมาป่าน้อย ไม่ต้องพยายามหรอกน่า จะไม่มีหมาป่าตัวไหนมาช่วยแกหรอก ไม่ว่าแกจะหอนดังแค่ไหนก็ตาม” เมื่อหานเซิ่นเห็นมันเหมือนจะหอนเรียกลูกสมุน เขาก็เกือบจะหัวเราะออกมา แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาหานเซิ่นก็ต้องหน้าซีด   เสียงหอนดังมาจากทุกทิศทางรอบๆตัวเขา เขามองเห็นเงาของหมาป่าตัวอื่นๆกำลังเข้ามาใกล้เขาจากทุกทิศทาง พวกมันจ้องมองเขาด้วยแววตาหิวกระหาย   “เป็นไปไม่ได้! หมาป่าพวกนี้ไม่กลัวจิ้งจอกสีเงินเลยหรอ?” หานเซิ่นช็อค ตอนนี้มีหมาป่านับหมื่นกำลังล้อมเขาเอาไว้ จำนวนมันมากกว่าที่เขาได้รับข้อมูลมามาก มีหมาป่าระดับกลายพันธ์นับไม่ถ้วน แม้แต่ระดับเลือดศักดิ์สิทธิ์ก็มีจำนวนมาก ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้กลัวพวกมัน แต่ถ้าพวกมันมีจำนวนมากขนาดนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าเขาจะอ่อนล้าจากการปลดล็อคยีนเมื่อไหร่ ซึ่งดูยังไงเขาก็คงต้องหมดพลังก่อนที่จะฆ่าพวกมันตายหมดแน่   ราชาหมาป่ายังคงอยู่อย่างสงบบนเนิน ขณะที่จ้องมาที่หานเซิ่น รอบๆตัวของมันมีหมาป่าระดับเลือดศักดิ์สิทธิ์ล้อมมันเอาไว้ทุกด้าน   หานเซิ่นรีบเรียกปีกวิญญาณอสูรออกมาโดยไม่ลังเล เขาใช้มันบินหนีขึ้นฟ้าไป แม้หานเซิ่นจะไม่ได้กลัวพวกหมาป่าเลือดศักดิ์สิทธิ แต่ยังไงระดับความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหานเซิ่น เพราะฉะนั้นการโจมตีของพวกมันก็ยังสร้างความเสียหายให้เขาได้ บวกกับจำนวนที่หมาศาล ถึงเขาจะมีควีนและหวังอวี่ฮังมาช่วย กำลังของพวกเขาก็ยังไม่พอที่จะต่อกรกับพวกมันได้ โอกาสที่เขาจะได้รับชัยชนะแทบไม่มีเลย   ขณะที่หานเซิ่นบินขึ้นฟ้าไป ราชาหมาป่าก็หอนขึ้นอีกครั้ง แสงสีฟ้าบนหน้าผากของมันส่องสว่างขึ้น ตอนนี้ขนสีเทาๆบนตัวมันเริ่มส่องแสงสีฟ้าออกมาด้วย   หมาป่าทุกตัวเริ่มกระโดดสูงที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้ มันพยายามอย่างหนักเพื่อจับตัวหานเซิ่นให้ได้ แต่ยังไงพวกมันก็เป็นแค่หมาป่าเท่านั้น พวกมันไม่มีปีก แต่ทว่าพวกมันก็กระโดดได้สูงมาก และสามารถล่อนอยู่ในอากาศได้ค่อนข้างนาน พวกมันไล่ตามจับตัวหานเซิ่นราวกับคลื่นสึนามิ หานเซิ่นรู้สึกช็อคเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาประเมินพลังของราชาหมาป่าต่ำเกินไป เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นถึงมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดและยังมีลูกสมุนจำนวนมาก เขาคิดง่ายเกินไป   ในตอนนี้หานเซิ่นเริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงจะเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่มีลูกน้องเยอะ แต่มันก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่อยู่ตัวเดียวเท่าไหร่ โดยรวมแล้วมันน่ากลัวกว่าซะด้วยซ้ำ   ก่อนหน้านี้หานเซิ่นเพิ่งจะได้ดูการบัญชาการกองทัพของหลูฮุย แต่วันนี้เขาได้มาเห็นการสั่งการกองทัพของราชาหมาป่าที่ไม่ได้ด้อยกว่าหลูฮุยเลย   หานเซิ่นกวัดแกว่งเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีอย่างรุนแรง แต่ทว่าไม่มีหมาป่าตัวไหนที่จะเกรงกลัวมันเลย ตอนนี้หมาป่าทุกตัวส่องแสงสีฟ้าออกมา ตาสีฟ้าๆของมันกำลังจ้องมองหานเซิ่น   เมื่อหานเซิ่นกวัดแกว่งเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีไปโดนพวกหมาป่าด้วยความรุนแรงของมัน ทำให้หมาป่ากระเด็นไปราวกับดาวหาง ตัวของพวกมันลุกไหมด้วยเปลวไฟ ร่างของพวกมันดำเป็นถ่านในเวลาไม่กี่วินาที ถึงอาวุธของหานเซิ่นจะทรงพลังมาก แต่พวกมันก็ไม่สนใจ พวกมันยังคงไล่ล่าเขาอย่างต่อเนื่อง   “ตายซะ! ตาย!ตายให้หมด!” หานเซิ่นกวัดแกว่งเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีอย่างต่อเนื่อง เขาบินหนีไปและฆ่าพวกหมาป่าที่ไล่ตามมาไปตลอดทาง ในตอนนี้หานเซิ่นฆ่าหมาป่าตายไปนับไม่ถ้วนแล้ว   แม้หานเซิ่นจะฆ่าไปเยอะมาก แต่จำนวนหมาป่าที่ไล่ตามเขามาก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลย โชคยังดีที่หานเซิ่นมีมนตรานอกรีตกับตะวันหยก เขาจึงมีพลังงานเพียงพอสำหรับการต่อสู้หนักๆเป็นเวลานานๆแบบนี้ได้ ตลอดเส้นทางที่เขาหนีมามีซากหมาป่าและเลือดไหลนองไปตลอดทาง ร่างของหมาป่าแต่ละตัวดำเป็นถ่าน   หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าหมาป่าส่วนมากที่เขาฆ่าไปเป็นแค่พวกหมาป่าระดับสามัญเท่านั้น แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหนีไปเรื่อยๆ   หมาป่าพวกนี้เหมือนกับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี พวกมันไล่ล่าหานเซิ่นโดยเคลื่อนไหวแบบเป็นรูปขบวน พวกมันมีความแม่นยำและผสานงานกันอย่างดี ทำให้หานเซิ่นไม่สามารถที่จะสละการติดตามของพวกมันให้หลุดได้   จิ้งจอกสีเงินยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของหานเซิ่นตลอดเวลา มันไม่ได้ขยับตัวเลย มันมองกลับไปทางที่ราชาหมาป่าอยู่ เหมือนมันจะระวังตัวตลอดเวลา   แต่ดูเหมือนราชาหมาป่าจะไม่ได้ไล่ตามพวกเขาด้วยตัวเอง เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้หานเซิ่นก็มองไม่เห็นตัวมัน เขาไม่รู้ว่าหมาป่าพวกนี้เป็นบ้าอะไรกัน พวกมันไม่ได้กลัวตายเลย ซึ่งการผสานงานของพวกมันทำให้หานเซิ่นหนีได้ลำบากมาก   หานเซิ่นยังคงหนีต่อไปเป็นระยะทาง 300 ไมล์ ตอนนี้พวกหมาป่าที่ไล่ตามเขามามีจำนวนบางลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเขาหนีต่อไปอีกนิด ในที่สุดพวกมันก็ล่าถอยไป   ในตอนที่หานเซิ่นคิดว่าเขาคงจะได้หยุดพักเพื่อฟื้นพลังบ้าง เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากระยะที่ไม่ไกลมาก มีเสียงเหมือนกับเสียงฝีเท้าของม้าดังมาจากอีกทิศทาง   ตอนนี้ม้าฝูงใหญ่กำลังวิ่งตรงมาทางเขาราวกับคลื่นทะเล ด้านบนของพวกมันมีม้ารูปงาม ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นราชาของพวกมัน มันกำลังกระพือปีกที่งดงามของมันพร้อมกับมองไปรอบๆ  

Super God Gene – ตอนที่ 661 เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีเสร็จสมบูรณ์
Super God Gene – ตอนที่ 661 เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีเสร็จสมบูรณ์

  ที่ใต้ทะเลลึก หานเซิ่นเพิ่งจะฆ่าแมงกะพรุนที่มีความยาวกว่า 3 ฟุต จากนั้นเขาก็ลากมันกลับเข้าไปในปราสาทคริสตัล อาร์คแองเจิลมองร่างที่ไร้วิญญาณของแมงกะพรุนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ช่วงนี้เธอกินเนื้อมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก   หานเซิ่นเชื่อว่าเธอใกล้ที่จะเปลี่ยนร่างแล้ว ช่วงนี้ดูเธอจะกินเนื้อน้อยลงกว่าปรกติ ซึ่งมันเป็นสัญญาณที่บอกว่าใกล้ถึงเวลาที่เธอจะเปลี่ยนร่างแล้ว   หานเซิ่นคิดว่าถ้าเธอเปลี่ยนร่างได้เมื่อไหร่ เขาก็จะมีผู้ช่วยชั้นดีในการล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอด ในอนาคตเขาจะสามารถฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้อย่างไม่ยากเย็นถ้ามีเธออยู่ข้างๆ   แม้หานเซิ่นเองก็กินเนื้อมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิไปมากเช่นกัน แต่จีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ไม่ได้เพิ่มมากนัก เพราะเขาจะกินแค่ส่วนเล็กๆของมอนสเตอร์แต่ละตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาจะให้นางฟ้าตัวน้อยเป็นคนกินทั้งหมด   ตอนนี้หานเซิ่นมีจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด 51 พ้อย เขามาได้เกินครึ่งทางแล้ว   ส่วนผลึกพลังชีวิตของทีเร็กซ์เกล็ดอัคคี หานเซิ่นก็ยังไม่สามารถหาวิธีที่จะกินมันเข้าไปได้ ตอนนี้เขาเลยยังไม่มีจีโนพ้อยขั้นสุดยอดเลย   แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม แต่ระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นตอนนี้ก็เกินกว่า 150 ไปแล้ว เขาคาดการณ์ว่าถ้าเขาเก็บจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิได้เต็ม เขาจะมีระดับความแข็งแกร่ง 180-200 และถ้าเขาเก็บจีโนพ้อยขั้นสุดยอดได้เต็ม เขาก็อาจจะมีระดับความแข็งแกร่งเกิน 300 ได้โดยยังไม่ต้องวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศเลยด้วยซ้ำ   แต่กระนั้นการจะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดก็ไม่ใช่งานง่ายๆ ที่สำคัญเขายังไม่รู้วิธีกินผลึกพลังชีวิตของมันเลยด้วยซ้ำ   ขณะที่หานเซิ่นกำลังนั่งดูนางฟ้าตัวน้อยกินอยู่ เขาก็รู้สึกว่ามีแรงสั่นสะเทือนภายในจิตของเขา ทีเร็กซ์ที่ตัวห่อหุ้มด้วยเปลวไฟปรากฏตัวออกมา มันเสร็จสิ้นการอัพเกรดเป็นเบอร์เซิร์กแล้ว   หานเซิ่นสังเกตดูตัวเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคี ซึ่งมันก็สมชื่อจริงๆ ตอนนี้ตัวของมันมีเปลวไฟห่อหุ้มเอาไว้ทั้งตัว ดูคล้ายๆกับทีเร็กซ์เกล็ดอัคคีอยู่เหมือนกัน   หานเซิ่นดูที่คำแนะนำวิญญาณอสูร และเขาเห็นว่ามันเปลี่ยนเป็นเบอร์เซิร์กเรียบร้อยแล้ว   หานเซิ่นเรียกเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีออกมา อาวุธที่มีสีแดงเหมือนกับเลือดและมีเปลวไฟห่อหุ้มเอาไว้ปรากฏออกมา มันดูน่าเกรงขามมาก ไฟที่มันปล่อยออกมามีความร้อนสูงมาก ถ้ามันไปสัมผัสกับร่างกายของมนุษย์ล่ะก็ หานเซิ่นคิดว่ามันคงจะตัดเนื้อและกระดูกได้อย่างง่ายโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย   “เป็นอาวุธที่น่ากลังจริงๆ” เมื่อหานเซิ่นลองกวัดแกว่งมันดู จากความรู้สึกที่เขาได้รับ เขาคิดว่ามันทรงพลังเหมือนกับที่เขาหวังเอาไว้เลย   ‘ตอนนี้เราก็ได้อาวุธมาแล้ว เราคงจะต้องไปหามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดเพื่อทดสอบพลังของมัน แล้วเราควรจะไปที่ไหนดี?’ หานเซิ่นคิด   การจะหามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดให้ได้นั้นไม่ยากเท่าไหร่ ส่วนมากพวกมันจะอาศัยอยู่ในป่าหรือภูเขา ถ้าเขาพาหวังอวี่ฮังไปด้วย เขาก็น่าจะเจอพวกมันได้ไม่ยาก แต่เขาก็ยังกังวลอยู่ว่าเขาจะสามารถฆ่ามันได้จริงๆรึเปล่า เป้าหมายที่หานเซิ่นอยากจะไปล่ามากที่สุดก็คือลาขี่เมฆแดง ดูแล้วมันน่าจะฆ่าได้ง่ายที่สุด   แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คืออีกาเองก็อาศัยอยู่แถวๆนั้นด้วย ไม่ว่าเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีจะทรงพลังแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มความเร็ว ถ้าเขาไม่สามารถโจมตีมันโดนได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาเกรงว่าก่อนที่จะโจมตีมันได้เขาคงจะเสร็จมันไปแล้ว อีกาตัวนั้นสามารถตัดคอหานเซิ่นได้่อย่างไม่ยากเย็นด้วยความเร็วที่น่ากลัวของมัน หานเซิ่นอยากจะล่ามอนสเตอร์ที่ช้ากว่านั้นและก็ไม่มีความเสี่ยงมาก   ตัวอย่างเช่นหมีตัวสีดำที่หานเซิ่นเจอใต้ต้นพีชก็น่าจะดีเช่นกัน มันเป็นมอนสเตอร์ที่ตัวใหญ่และไม่น่าจะเร็วมาก ด้วยการที่เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีมีความยาวค่อนข้างมาก เขาน่าจะใช้มันต่อสู้กับหมีได้โดยไม่เสี่ยงอันตรายมาก ถ้าเขาโจมตีไปที่หัวของมันได้แบบเต็มๆ เขาคิดว่าอาจจะฆ่ามันได้ไม่ยากนัก   แต่ถ้าจะกลับไปที่ป่าลูกพีชตอนนี้ไม่น่าจะเหมาะสมนัก เท่าที่หานเซิ่นรู้ที่นั่นมีมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดอยู่หลายตัวมาก หานเซิ่นไม่กล้าเสี่ยงที่จะไปล่าที่นั่น และถ้าเขาพาหวังอวี่ฮังไปด้วย พวกเขาก็น่าจะโดนรุมยำอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่พาหวังอวี่ฮังไป การต่อสู้กับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่มีความเร็วมากกว่าโดยไม่มีคนช่วยเบนความสนใจ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เขาแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีโจมตีโดนจุดสำคัญของมันแบบเต็มๆได้   ด้วยการที่หวังอวี่ฮังสามารถเบนความสนใจเพื่อซื้อเวลาให้ หานเซิ่นจะมีเวลามากพอที่จะโจมตีในแบบที่เขาต้องการได้ ซึ่งถ้าเขาทำได้ เขาคิดว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้   “หัวหน้า หลูฮุยมาที่นี่เพื่อพบคุณ” หลังจากกลับมาที่เมืองเทพธิดา หยางม่านลี่ก็แจ้งข่าวนี้ให้กับหานเซิ่น   “เขามาทำอะไรที่นี่? ไม่มีทางที่เขาจะเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อขอบคุณเรื่องที่เราไปช่วยเมืองของเขาไว้หรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เชิญแขกเข้ามาพบ   “เป็นเกียรติจริงๆที่หัวหน้าหลูอุส่าสละเวลามาเยี่ยมผม” หานเซิ่นพูด พร้อมกับยิ้มให้หลูฮุย   “ผมมาที่ก็เพื่อขอบคุณที่คุณช่วยเอาช้างตัวนั้นออกไปจากเมืองของเรา และผมก็มีเรื่องที่อยากจะแลกเปลี่ยนกับคุณ หวังว่าคุณจะรับฟังข้อเสนอของผม” หลูฮุยยิ้มกลับไป   “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรผมหรอก มาพูดคุยกันถึงเรื่องงานเลยดีกว่า” เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าหลูฮุยไม่ได้เตรียมของขวัญมาเพื่อขอบคุณ มันก็ทำให้เขาผิดหวังมาก   “ผมเชื่อว่าถ้าพวกเราจะล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดด้วยพลังของพวกเราเพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ ดังนั้นผมอยากจะทำข้อตกลงร่วมมือกับกลุ่มเทพธิดา” หลูฮุยพูดออกมาตรงๆ   “พวกคุณอยากจะล่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอด แล้วเป้าหมายเป็นมอนสเตอร์ประเภทไหน?” หานเซิ่นค่อนข้างสนใจอยู่เหมือนกัน   “มันเป็นหมาป่า” หลูฮุยตอบ   “มันเป็นหมาป่าแบบไหนล่ะ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาคิดว่าคำตอบของหลูฮุยค่อนข้างคลุมเครือ   หลูฮุยหัวเราะ “มันเป็นราชาที่มีลูกน้องเป็นพันๆ ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่ามันมีพลังธาตุอะไร”   “ลูกน้องเป็นพันๆ? นั่นไม่ฟังดูอันตรายไปหน่อยหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาคิดว่านี่เป็นการล่าที่ยากมาก ถ้าเขาตกลงที่จะช่วยหลูฮุย มันคงจะเป็นการต่อสู้ขนาดใหญ่ที่ยากจะควบคุม งานแบบนี้ทำคนเดียวดูจะง่ายซะกว่า   “มันเป็นงานที่ยากจริงๆ ถ้าไม่งั้นแล้วผมคงจะไม่มาขอให้คุณร่วมมือด้วย แต่ความแข็งแกร่งของราชาหมาป่าค่อนข้างสมดุล มันไม่มีความสามารถด้านไหนที่โดดเด่น ผิวหนังก็ไม่ได้แข็งมาก ความเร็วก็ไม่มากจนเกินไป พลังโจมตีของมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตัวอื่นๆ มอนสเตอร์แบบนี้พวกเราหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว” หลูฮุยอธิบาย   หานเซิ่นพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับหลูฮุย โดยปรกติแล้วมอนสเตอร์ที่เป็นราชาและมีลูกน้องเยอะมักจะมีพลังด้อยกว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ตัวเดียวอยู่แล้ว ถ้าเขาร่วมมือกับหลูฮุย พวกเขาก็พอจะมีโอกาสฆ่ามันได้   “แล้วพวกเราจะร่วมมือกันยังไง?” หานเซิ่นถาม   “พวกเราต้องการให้คุณช่วยล่อพวกลูกสมุนของมันออกไป แล้วพวกเราจะจัดการกับตัวหัวหน้าเอง นอกเหนือจากวิญญาณอสูรแล้ว พวกเราจะแบ่งกันคนละครึ่ง” เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หลูฮุยต้องการก็คือพลังความซวยของหวังอวี่ฮัง   “ผมต้องขอโทษด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราคงจะร่วมมือด้วยไม่ได้” หานเซิ่นปฏิเสธอย่างหนักแน่น   “ทำไม?” หลูฮุยถาม   “ถ้าคุณต้องการจะร่วมมือ พวกเราขอเป็นคนโจมตีปิดชีวิตมอนสเตอร์เอง นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น”   “งั้นก็น่าเสียดาย ไว้มีโอกาสหวังว่าจะได้ร่วมมือกัน” หลูฮุยรู้ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อลองอะไรมากไปกว่านี้ เขาไม่ได้คิดว่าหานเซิ่นมีความสามารถที่จะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้เลย เขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ความสามารถของหวังอวี่ฮังเท่านั้น แต่ความทะเยอทะยานของหานเซิ่นมันมากกว่าที่เขาคิด   “ไปสืบมาว่ามอนสเตอร์ที่พวกหลูฮุยกำลังจะไปล่ามันอยู่ที่ไหน” หานเซิ่นสั่งหยางม่านลี่ . . ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจด้วยครับ >>> SSG (ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอนที่ 2057 แล้วครับ)

Super God Gene – ตอนที่ 660 มังกรพิษทะยาน
Super God Gene – ตอนที่ 660 มังกรพิษทะยาน

  เหมือนกับปรกติหลังจากที่หานเซิ่นฝึกศาสตร์ตงเสวียนจบ 1 รอบ ร่างกายของเขาก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ร่างกายของเขาฟื้นจากความเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าทั้งหมด ถึงจะฝึกต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะมันเหมือนกับเป็นการเติมน้ำในแก้วที่เต็มแล้ว   แต่ทว่าเมื่อเขาอยู่ใต้ต้นพีชต้นนี้กับมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ไม่นานนักเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าพลังงานของเขาได้หายไป หานเซิ่นตัดสินใจฝึกศาสตร์ตงเสวียนต่ออีกครั้ง เพื่อที่จะเติมพลังให้เต็ม   หานเซิ่นเริ่มฝึกศาสตร์ตงเสวียนต่อได้ไม่นาน ร่างกายของเขาก็มีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เขาใช้ช่วงเวลานี้สังเกตดูช้างที่ยังคงอยู่อย่างสงบ ตอนนี้มันดูเหมือนกับรูปปั้นหยก เมื่อเห็นมันตอนนี้ เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเคยมีนิสัยที่ดุร้ายป่าเถื่อน   ร่างกายของมอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็ดูจะพัฒนาไปเช่นเดียวกัน แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถบอกแน่ใช่ได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปยังไง แต่เขาคิดว่าพวกมันแตกต่างจากเดิม   หานเซิ่นนั่งดูพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของช้าง จากนั้นเขาก็พยายามจะบันทึกภาพด้วยพลังสมอง   เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้มันจะกำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน เพราะฉะนั้นเขาต้องรีบจดจำรูปแบบพลังของช้างเอาไว้ให้หมด เขาคิดว่ารูปแบบพลังพวกนี้สักวันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาก็ได้   ช่วงที่ดอกไม้บานนั้นกินเวลาไปประมาน 2 สัปดาห์ ในช่วงนี้หานเซิ่นทำการจดจำรูปแบบพลังของช้างและลูกหมีเอาไว้   เมื่อดอกไม้ของต้นพีชเริ่มเหี่ยวเฉาและร่วงโรย จิ้งจอกสีเงินก็เอาหัวชนบริเวณกางเกงของหานเซิ่น เหมือนมันพยายามจะดึงให้เขาออกจากบริเวณนี้   หานเซิ่นเองก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติด้วยเช่นกัน ตอนนี้ดอกไม้เริ่มเหี่ยวเฉามากขึ้นเรื่อยๆ และมอนสเตอร์ก็เหมือนจะเริ่มสูญเสียความสงบของพวกมันไปทีละนิด   หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าแสงสีแดงบริเวณตาของช้างเริ่มกลับมาแล้ว ดูเหมือนสัญชาตญาณที่ดุร้ายป่าเถื่อนของมันกำลังจะกลับมาอีกครั้ง   หานเซิ่นไม่กล้าที่จะอยู่นาน ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจออกจากบริเวณนี้ไป ก่อนที่จะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น ถ้ามอนสเตอร์พวกนี้บ้าคลั่งขึ้นมา ไม่ทางเลยที่หานเซิ่นจะต้านทานพลังของพวกมันได้   ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หานเซิ่นเฝ้าฝึกศาสตร์ตงเสวียนอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเข้าใกล้ขั้นแรกของศาสตร์ตงเสวียนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือพยายามอีกนิดเพื่อที่จะปลดล็อคยีนของวิชานี้ให้ได้   ตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปี แต่หลังจากที่ได้ฝึกใต้ต้นพีชในช่วง 2 สัปดาห์ก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะประหยัดเวลาไปได้เยอะ ต้นพีชยักษ์ดูจะมีพลังที่มหัศจรรย์   ‘ถ้าดอกไม้ของต้นพีชยังมีพลังถึงขนาดนั้น แล้วถ้าเราเก็บผลของมันมากินจะเกิดอะไรขึ้น’ หานเซิ่นตัดสินใจว่าถ้าถึงฤดูที่ต้นพีชออกผลเมื่อไหร่ เขาจะกลับมาที่นี่เพื่อเก็บผลของมันไป ไม่ว่ามันจะเก็บได้ยากแค่ไหนก็ตาม แต่หานเซิ่นก็พอจะจินตนาการออก ช่วงที่มันออกผลป่าแห่งนี้คงจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์อย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแน่ ตอนนี้เหมือนจิ้งจอกดูจะรีบร้อนมาก มันต้องการพาหานเซิ่นออกจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด แต่หลังจากที่มันออกมาถึงขอบของป่าแล้วมันก็เริ่มลดความเร็วลง และมันก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของหานเซิ่น   ไม่นานเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของมอนสเตอร์ดังออกมาจากป่า เขาก็ไม่รอช้า เขารีบวิ่งหนีไปพร้อมกับซีโร่ทันที   เมื่อหานเซิ่นกลับมาที่เมืองปีศาจ เขาก็ไม่เจอช้างอีกเลย ดูเหมือนมันแค่ต้องการจะผ่านเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปที่ป่าลูกพีชเท่านั้น ซึ่งมันคงไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกพักใหญ่   หวังอวี่ฮังกลายเป็นคนมีชื่อเสียงภายในเมืองปีศาจไปเรียบร้อยแล้ว คนจำนวนมากตระหนักถึงการมีอยู่ของเมืองและกองกำลังเทพธิดา พวกเขายังรู้อีกด้วยว่าหวังอวี่ฮังคือขุนพลคนที่ 13 ถึงจะมีบางคนไม่ได้เชื่อเรื่องที่ว่ากองกำลังเทพธิดาแข็งแกร่งดั่งเทพเจ้า แต่ยังไงพวกเขาก็ยังรู้สึกขอบคุณที่หวังอวี่ฮังพาช้างออกไปจากเมือง   หลังจากไป 2 สัปดาห์ เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีก็ยังไม่เสร็จสิ้นการอัพเกรดเป็นเบอร์เซิร์ก ดูเหมือนวิญญาณอสูรขั้นสุดยอดจะใช้เวลาที่ยาวนานกว่าวิญญาณอสูรระดับอื่นค่อนข้างมาก หานเซิ่นคิดว่ามันน่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 สัปดาห์ถึงจะอัพเกรดสำเร็จ   หลังจากกลับมาที่สหพันธ์ดวงดาว หานเซิ่นก็ไปเลือกหาวิชาไฮเปอร์จีโนที่น่าจะเอาไปใช้กับเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีได้ เขาใช้เวลาหาอยู่นานมาก ซึ่งเขาก็พบว่ามันยากมากที่จะเลือกหาวิชาที่เหมาะกับอาวุธของเขา   เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีไม่ใช่ทั้งดาบใหญ่และหอก ซึ่งจะเอามันไปใช้เหมือนกับเป็นพวกค้อนหรือกระบองก็ไม่ได้ด้วย   ‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนขายถึงได้ขายถูกนัก มันเป็นอาวุธที่ไม่ได้รับความนิยมเลยจริงๆ!’ หานเซิ่นยังคงหาวิชาต่อไปอย่างมีความหวัง   หานเซิ่นไม่ได้หวังว่าจะใช้มันให้ได้แบบสมบูรณ์ 100% ขอแค่ใช้ได้สัก 70% ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว หลังจากนั้นเขาจะสามารถนำมันไปดัดแปลงให้เขากับเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีได้   หานเซิ่นเกือบจะค้นดูทุกวิชาในบรรดาวิชาระดับS ตั้งแต่วิชายอดนิยมไปจนถึงวิชาที่ไม่ค่อยมีคนต้องการฝึก   อาวุธที่แปลกประหลาดของหานเซิ่นดูเหมือนจะเป็นอาวุธที่หาได้ยากมาก มันเป็นอาวุธที่หนักมาก และจะต้องถือด้วยมือทั้ง 2 ข้างเท่านั้น ถ้าถือด้วยมือเดียวก็จะรับน้ำหนักไม่ไหวและใช้งานได้ลำบาก แต่ถ้าต้องการเอามันมาใช้เป็นดาบก็ควรจะถือมันให้ได้ด้วยมือเดียว   มันดูไม่เหมือนกับดาบเท่าไหร่ โดยปรกติดาบจะเป็นอาวุธที่กวัดแกว่งได้ค่อนข้างไว เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีเป็นอาวุธที่ออกแบบมาให้โจมตีได้อย่างหนักหน่วงและรุนแรง มันใช้ทำได้ทั้งฟันและแทง แต่มันไม่เหมือนกับดาบหรือหอกที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ฟันหรือแทงโดยเฉพาะ เร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีดูจะเป็นอาวุธที่ใช้ได้ยากทั้ง 2 จุดประสงค์เลย เนื่องจากมีความยาวถึง 2 เมตร ถ้าเอาไปใช้เป็นอาวุธมือเดียวได้จะเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก แต่น่าเสียดายที่มันกวัดแกว่งได้ยากมาก   สุดท้ายหานเซิ่นก็ต้องติดต่อไปหาศาสตราจารย์ไป๋อี้ซานแห่งสถาบันเซนท์ หานเซิ่นวาดรูปเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคี และเอามันให้ไป๋อี้ซานดู เพื่อที่เขาจะได้หาวิชาที่เหมาะกับอาวุธแบบนี้มาให้   “รอสักคู่” ไป๋อี้ซานเดินไปหาข้อมูล หลังจากนั้นอีก 30 นาที เขาก็กลับมาที่หน้าคอม “นี่เป็นอาวุธที่หายากมากๆ ฉันจำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยสร้างอาวุธที่ดูคล้ายๆกับมัน มันอาจจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่มันก็ค่อนข้างคล้าย มันเป็นอาวุธสำหรับใช้มือเดียวที่ออกแบบมาสำหรับแทงมากที่สุด แต่มันก็ยังใช้ฟันได้รุนแรงเช่นกัน ชายคนนี้คิดค้นวิชาที่เอาไว้ใช้กับมันด้วย แต่มันเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมเลย มันเป็นแค่วิชาระดับ A เท่านั้น ชื่อของมันก็คือ มังกรพิษทะยาน เธอลองไปดูได้ถ้าเธอสนใจ”   “ขอบคุณครับศาสตราจารย์ไป๋” หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น แม้จะเป็นวิชาระดับ A แต่จังหวะนี้เขาก็คงต้องยอมฝึก   หานเซิ่นล็อคอินเข้าไปในแพลตฟอร์มของสถาบันเซนท์อีกครั้ง และซื้อวิชาไฮเปอร์จีโนระดับ A มังกรพิษทะยาน หานเซิ่นอ่านรายละเอียดวิชาอย่างละเอียด ถึงมันจะเป็นแค่วิชาระดับ A แต่มันก็เหมาะกับเร็กซ์สไปร์เพลิงอัคคีจริงๆ มันเป็นวิชาที่มีทั้งกระบวนท่าแทงและฟันอย่างรุนแรง การแทงจะใช้เทคนิคการหมุนเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นเทคนิคที่หานเซิ่นถนัดอยู่แล้ว หลังจากอ่านรายละเอียดเสร็จ หานเซิ่นก็เริ่มฝึกทันที  

Super God Gene – ตอนที่ 659 ลูกของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด
Super God Gene – ตอนที่ 659 ลูกของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด

  ช้างยังคงนั่งอยู่ใต้ต้นพีชไม่ขยับไปไหน หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงดังมาจากป่าลึก ดูเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่างมาทางที่พวกเขาอยู่   ไม่นานนักงูตัวเล็กๆสีชมพูก็ปรากฏตัวออกมา จากนั้นมันก็เลื้อยตรงเข้าไปที่ต้นพีชยักษ์อย่างเงียบๆ   หลังจากนั้นไม่นานเสือตัวสีน้ำเงินก็ปรากฏตัวออกมาจากอีกด้าน ซึ่งมันก็เข้าไปนั่งใกล้ๆต้นไม้ด้วย   มีเสียงกระพือปีกดังจนหานเซิ่นได้ยิน ไม่นานนักนกกระเรียนสีแดงก็บินลงมาที่ใต้ต้นพีช   เท่านั้นยังไม่พอหมีตัวสีดำเองก็เพิ่งจะมาถึง มันพาลูกๆของมันมาด้วย พวกมันพากันไปนั่งที่ใต้ต้นพีชยักษ์   ในเวลาไม่นานเท่าไหร่ก็มีมอนสเตอร์หลายตัวมานั่งที่ใต้ต้นพีช หานเซิ่นช็อคเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าดูจากลักษณะและความพิเศษของมอนสเตอร์แต่ละตัวแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกมันจะเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดทั้งหมด   หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงได้มาอยู่ที่นี่ ต้นพีชต้นนี้มีอะไรที่ดึงดูดพวกมัน   ระหว่างที่หานเซิ่นกำลังสับสนอยู่นั้น จิ้งจอกสีเงินก็กระโดดออกจากอ้อมแขนของซีโร่ มันเองก็เข้าไปที่ใต้ต้นพีชเช่นเดียวกัน   หานเซิ่นงงเป็นไกตาแตก เขาคิดว่านี่เป็นปรากฏการที่แปลกประหลาด เขาคิดว่าต้นพีชต้นนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ มันถึงสามารถดึงดูดมอนสเตอร์ให้เข้าไปใกล้ๆได้ หลังจากที่จิ้งจอกสีเงินวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็หันกลับมามองหานเซิ่น จากนั้นมันก็พยักหน้าให้หานเซิ่น ราวกับว่ามันบอกให้เขาตามมันไป   แต่ถึงจะเห็นแบบนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกลังเล เนื่องจากที่ต้นต้นพีชตอนนี้มีมอนสเตอร์ที่ทรงพลังอยู่หลายตัว แล้วเขาจะกล้าเข้าไปได้ยังไง?   แต่จิ้งจอกก็ยังไม่ยอมเลิก มันยังคงพยักหน้าเรียกหานเซิ่น แม้มอนสเตอร์ทุกตัวจะดูทรงพลังมาก แต่หานเซิ่นก็ยังไม่เห็นพวกมันแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมากันเลย พวกมันแทบจะไม่มองตัวอื่นด้วยซ้ำ พวกมันแต่ละตัวเลือกพื้นที่และอยู่กันอย่างสงบมาก   หานเซิ่นกัดฟัน เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ต้นพีชยักษ์อย่างช้าๆ หานเซิ่นเดินอย่างระมัดระวังตัวที่สุด เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าถ้ามีมอนสเตอร์หันมามองเขา เขาก็จะได้วิ่งหนีทันที   แต่ทว่าซีโร่กับทำให้หานเซิ่นต้องประหลาดใจ เธอไม่ได้มีความกลัวเลย เธอเดินตามจิ้งจอกเข้าไป แม้ซีโร่และจิ้งจอกสีเงินจะเข้าไปถึงใต้ต้นพีชแล้ว พวกมอนสเตอร์ตัวอื่นก็ไม่ได้สนใจอะไร พวกมันยังคงนั่งอยู่อย่างสงบต่อไป   หานเซิ่นเดินตามจิ้งจอกสีเงินไปด้วยที่หัวใจเต้นรัว หลังจากที่เข้ามาถึงพวกเขาก็เลือกหาที่นั่งเหมาะๆ โดยเลือกจุดที่ห่างจากช้างและมอนสเตอร์อีก 2 ตัว   ถัดจากหานเซิ่นไป 2 เมตรมีหมีตัวสีดำอยู่ แม้ขนาดตัวของมันจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับช้าง แต่มันก็สูงเป็น 10 เมตร ถึงมันจะหมอบอยู่แต่มันก็ยังดูน่ากลัว เสียงลมหายใจของมันดังมาก   นี่เป็นครั้งแรกเลยสำหรับหานเซิ่นที่เข้ามาใกล้มอนสเตอร์หลายๆตัวแบบนี้โดยไม่มีการปะทะกัน มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกทึ้งมาก ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนเลยที่แสดงท่าทีว่าต้องการจะฆ่าเขาออกมา   มอนสเตอร์ที่มาอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ แม้พวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน แต่พอมาอยู่ที่นี่ก็ดูสงบมาก   จิ้งจอกสีเงินกำลังนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยกรีบดอกไม้ มันหลับตาลงและหายใจเข้าออกอย่างสงบ มันเป็นจังหวะที่นุ่มนวลมาก มันเป็นสิ่งที่หานเซิ่นเคยเห็นมาก่อน หลังจากที่เขาฝึกศาสตร์ตงเสวียน เขาก็เห็นจิ้งจอกสีเงินทำแบบนี้เป็นประจำ   มอนสเตอร์ตัวอื่นก็ไม่ได้ต่างกันมาก พวกมันนอนลงใต้ต้นไม้ จากนั้นก็หายใจเป็นจังหวะอย่างสงบ   ‘หรือว่าต้นพีชแปลกๆนี้จะช่วยทำให้สิ่งมีชีวิตฝึกฝนพลังได้ดีขึ้น?’ หานเซิ่นตั้งข้อสงสัย หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ตัดสินใจลองฝึกศาสตร์ตงเสวียนที่นี่มันซะเลย   หลังจากเริ่มเดินลมปราณ เขาก็รู้สึกว่ามีพลังที่พิเศษถูกร่างกายของเขาดูดซับเข้าไปโดยศาสตร์ตงเสวียน ความเร็วในการฝึกศาสตร์ตงเสวียนดูจะสูงขึ้นด้วย ราวกับว่ามันตอบสนองกับพลังงานแปลกประหลาดที่อยู่รอบๆ   ‘มันมีอะไรที่พิเศษจริงๆด้วย’ หานเซิ่นยังคงฝึกต่อไป ในที่สุดร่างกายของเขาก็ส่งกลิ่นหอมๆออกไป กลิ่นหอมๆของเขาเข้าไปรวมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ ทำให้บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆ   เมื่อหานเซิ่นฝึกศาสตร์ตงเสวียนครบ 1 รอบ เขาก็สังเกตว่าศาสตร์ตงเสวียนของเขาพัฒนาไปไกลยิ่งกว่าเดิมที่เขาเคยฝึกประจำ ซึ่งมันทำให้เขาประหลาดใจมาก   แต่เมื่อหานเซิ่นหันไปดูมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ เขาก็ต้องประหลาดใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมของเขาเข้าไปรวมกับกลิ่นของดอกไม้ หลังจากที่เขาลืมตาขึ้นมามองจิ้งจอกสีเงิน เขาก็สามารถมองเห็นกระแสพลังของมันได้จริงๆ ตอนนี้เขาเห็นว่ากลิ่นหอมๆยังไม่ถูกจิ้งจอกดูดไว้โดยสมบูรณ์   เมื่อหานเซิ่นหันไปดูมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ เขาก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่จิ้งจอกแต่ดูเหมือนมอนสเตอร์ทุกตัวบริเวณนี้ก็ดูดกลิ่นของศาสตร์ตงเสวียนกันหมดเลย แต่ที่แตกต่างกันก็คือวิธีการดูดซับพลัง   กลิ่นหอมๆภายในตัวของงูสีชมพู เสือสีน้ำเงิน นกระเรียนสีแดงและก็หมีตัวใหญ่สีดำดูพร่ามัว ซึ่งกลิ่นถูกร่างกายของพวกมันดูดซับเข้าไป   แต่สำหรับลูกหมีและช้าง หานเซิ่นเห็นว่าพลังงานกำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกมันตามจังหวะการหายใจ มันดูเหมือนกับชี่กงของมนุษย์   “แปลกๆ หมีตัวใหญ่กับลูกหมีน่าจะเป็นมอนสเตอร์ชนิดเดียวกัน แล้วทำไมมันถึงได้แตกต่างกัน?” หานเซิ่นช็อคเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น   ไม่นานหลังจากนั้น กลิ่นหอมของหานเซิ่นก็ถูกลูกหมีและช้างดูดซับไปจนหมด ส่วนนกกระเรียน เสือและงูยังคงดูดซับพลังของเขาต่อไปอย่างช้าๆ หานเซิ่นยังคงสัมผัสได้ถึงภายในตัวของพวกมัน   หานเซิ่นมองดูผลน้ำเต้าภายในมือ มันเองก็ดูดซับกลิ่นของหานเซิ่นเข้าไปหมดแล้ว   หานเซิ่นสังเกตมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตัวอื่นๆต่อไป ขณะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก   หานเซิ่นคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จิ้งจอกสีเงิน ลูกหมีสีดำ ผลน้ำเต้าในมือของเขาและก็ช้าง พวกมันน่าจะเกิดมาจากท้องแม่ของมัน ส่วนตัวอื่นๆมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะเกิดมาจากรังมอนสเตอร์   นี่ทำให้หานเซิ่นนึกไปถึงเรื่องของโกลเด้นโกรวเลอร์ เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับโกลเด้นโกรวเลอร์ตัวแม่ก็จริง แต่หลังจากที่มันตาย ตัวแม่ก็เหลือผลึกพลังชีวิตและก็เนื้อไว้ให้ด้วย   ‘ถ้าโกลเด้นโกรวเลอร์ตัวแม่กับช้างตัวนี้เกิดมาจากท้องแม่เหมือนกัน แสดงว่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่เกิดจากท้องแม้จะมีความพิเศษกว่าตัวอื่นๆ?’ นี่เป็นสมมุติฐานของหานเซิ่น   แต่สมมุติฐานนี้ก็นำไปสู่คำถามอื่นๆ ทำไมมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดบางตัวถึงให้เนื้อด้วย ส่วนตัวอื่นๆถึงให้แค่ผลึกพลังชีวิตล่ะ? หรือว่าจะต้องเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่เกิดจากท้องแม่เท่านั้นถึงจะให้เนื้อได้ แล้วดูเหมือนมันจะมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างจากแม่มันด้วย   ก็เหมือนกับลูกหมีตอนนี้ พวกมันเป็นลูกของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด แค่ดูจากการดูดซับพลังก็พอรู้แล้วว่ามันมีพลังพิเศษที่แตกต่างจากแม่ของมัน . . ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจด้วยครับ >>> SSG (ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอนที่ 2057 แล้วครับ)

Super God Gene – ตอนที่ 658 ต้นพีชศักดิ์สิทธิ์
Super God Gene – ตอนที่ 658 ต้นพีชศักดิ์สิทธิ์

  ใบของต้นพีชมีสีแดง เมื่อเข้าในป่าแห่งนี้จะรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่าประหลาด   เมื่อหานเซิ่นเดินเข้าไปในป่าพีช เขาค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ต้นพีชแต่ละต้นจะมีแมลงปอบินอยู่รอบๆ ดอกไม้สีชมพูที่ต้นพีชผลิออกมามีขนาดค่อนข้างใหญ่ ตลอดทางที่พวกเขาเดินมา พวกเขาเห็นดอกของต้นพีชล่วงโรยลงมา ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมาก   กลิ่นหอมจากดอกไม้พวกนี้กระจายไปไกล มันเป็นกลิ่นหอมที่ทำให้คนที่ดมเข้าไปต้องยิ้มออกมา ไม่ว่าใครก็ต้องชอบมันอย่างแน่นอน   ช้างเบอร์เซิร์กไม่สนใจอะไรที่ขวางหน้า มันยังคงวิ่งตรงเข้าไปในป่า แต่ทว่าหลังจากที่มันวิ่งเข้ามาในป่าแล้ว มันก็ลดความเร็วลง มันไม่ได้วิ่งอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงเหมือนที่ผ่านๆมา การเคลื่อนที่ของมันดูนุ่มนวลขึ้น มันเดินผ่านพวกต้นไม้ไปอย่างระมัดระวัง   เมื่อเห็นช้างลดความเร็วลง และพยายามเดินอย่างนุ่มนวลที่สุด หานเซิ่นและหวังอวี่ฮังก็รู้สึกประหลาดใจมาก เท่านั้นยังไม่พอตอนนี้มันเปลี่ยนกลับมาเป็นตัวสีขาวแบบเดิมแล้ว ซึ่งพวกเขายังไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนกลับมาจากสถานะเบอร์เซิร์กได้มาก่อนเลย   “ดูเหมือนช้างตัวนี้จะไม่ได้เข้าโหมดเบอร์เซิร์กจริงๆ มันอาจจะเป็นความสามารถพิเศษอะไรบางอย่างของมัน” หานเซิ่นพูด   “ดูเหมือนนายจะพูดถูก แต่พวกเราควรจะตามมันต่อไปดีไหม?” หลังจากก้าวเข้าป่ามาได้ไม่กี่ก้าว หวังอวีฮังก็ดูไม่อยากที่จะไปไกลกว่านี้แล้ว   “เอางี้เป็นยังไง อาเล็กคุณกลับไปรอพวกเราที่เมือง ผมขอเข้าไปสำรวจดูหน่อย” หานเซิ่นพูด เขาเองก็กลัวว่าจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นถ้าไปพร้อมกับหวังอวี่ฮัง   “แน่นอน!” หวังอวี่ฮังรีบเห็นด้วย เขาเองก็ไม่อยากเข้าไปอยู่แล้ว เขาหันหลังและเดินทางกลับไปที่เมืองปีศาจทันที หานเซิ่นคิดว่านี่มันดูแปลกๆ เขายังไม่เคยเห็นหวังอวี่ฮังว่าง่ายขนาดนี้มาก่อน แถมเขายังดูรีบร้อนมาก   เมื่อลองคิดเกี่ยวกับมันดู หานเซิ่นก็พอจะเข้าใจ หวังอวี่ฮังไปปรากฏตัวที่เมืองปีศาจมาแล้วครั้งหนึ่ง ตาหน้าต่อตาทุกคนราวกับเทพ เขาคงจะกลับไปเพื่อจบการแสดงโชว์ของเขา   เมื่อคิดได้แบบนั้นหานเซิ่นก็เอามือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก ‘ดูเหมือนอาของเหมียนเหมียนจะเป็นผู้ชายที่แปลก คนแบบเขาคงจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว’   “เธอต้องการกลับหรือว่าจะรอฉันอยู่ที่นี่?” หานเซิ่นหันไปมองซีโร่ ซีโร่ไม่พูดอะไร เธอเดินเข้ามาใกล้หานเซิ่นมากขึ้น เป็นการบ่งบอกว่าเธอจะตามเขาไป   หานเซิ่นไม่พูดอะไรอีก เขาเดินเข้าไปในป่าต้นพีชพร้อมกับซีโร่ ด้วยการมีจิ้งจอกสีเงินมาด้วย พวกเขาไม่น่าจะเจอกับอันตราย หรือถ้ามีมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีพวกเขาจริง พวกเขาก็แค่วิ่งหนีไปก็ได้   ตอนนี้ตัวช้างกลับมาเป็นกระดูกสีขาวทั้งตัวเหมือนกับตอนแรกแล้ว มันเดินช้ามา ราวกับว่ามันกลัวว่าต้นไม้พวกนี้จะได้รับความเสียหาย เนื่องจากมันเดินอย่างเชื่องช้า ทำให้หานเซิ่นกับซีโร่สามารถเดินตามมันได้อย่างสบายๆ   ป่าพีชมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะรู้ได้ว่าจริงๆแล้วมันใหญ่ขนาดไหน พวกเขาเดินตามช้างไปทั้งวัน แต่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ดอกไม้สีชมพูยังคงล่วงหล่นลงมาตามทางเดิน ซึ่งเปลี่ยนให้ทางเดินเป็นสีชมพู   ช้างยังคงเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า ราวกับว่ามันกำลังเดินอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ   หานเซิ่นมองไปรอบๆตัวตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้มีแค่ต้นพีช ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นพีช ดูเหมือนป่าต้นพีชนี้จะไม่ได้มีอะไรพิเศษ ซึ่งตลอดทางที่เดินมาเท่าที่ดูพวกเขาก็ยังไม่เจอมอนสเตอร์เลยสักตัว   แม้จะมีจิ้งจอกสีเงินอยู่ด้วย แต่พวกเขาก็น่าจะเห็นร่องรอยอะไรบ้าง ตลอดทางที่เดินมาพวกเขาเห็นแต่ป่า ช้างเป็นเพียงมอนสเตอร์ตัวเดียวที่พวกเขาเห็น   หานเซิ่นจะปลดล็อคยีนเป็นระยะ เขาใช้สัมผัสอันทรงพลังของเขาเพื่อตรวจดูรอบๆว่าจะมีอันตรายอะไรรึเปล่า แม้เขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังตรวจไม่พบอะไร   จิ้งจอกสีเงินก็ยังมีท่าทางที่สงบเหมือนปรกติ มันนอนอยู่เงียบๆในอ้อมแขนของซีโร่   ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน ซึ่งมีพระจันทร์ขึ้นบนท้องฟ้า ภายใต้แสงจันทร์ดอกไม้ในป่าลูกพีชก็ดูจะงดงามขึ้น เมื่อมีลมพัดมาดอกไม้ที่ล่วงลงมาก็ดูราวกับกำลังเต้นระบำ มันเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก   หานเซิ่นและซีโร่ขึ้นมานั่งบนหลังของโกลเด้นโกรวเลอร์ ขณะที่นั่งอยู่ฉากหลังของชีโร่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ล่วงลงมาราวกับสายฝน ทำให้ใบหน้าที่ดูน่ารักอยู่แล้วของเธอดูจะงดงามขึ้นไปอีก   เมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่หานเซิ่นจะหยิบดอกไม้มาใส่ไว้ที่ผมของเธอ ตอนนี้เธอดูสมบูรณ์แบบ มันเหมาะกับเธอมาก   “ตอนนี้เธอดูน่ารักขึ้นอีก” หานเซิ่นมองซีโร่ที่ดูเป็นหนึ่งเดียวกับดอกไม้มาก หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าความงามของดอกไม้ช่วยเพิ่มความงดงามให้กับซีโร่ หรือเป็นเพราะการปรากฏตัวของซีโร่ช่วยเพิ่มความงามให้กับดอกไม้พวกนี้กันแน่   ในตอนนี้พวกเขาตามโครงกระดูกช้างมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว หานเซิ่นรู้สึกว่าเขาหลงทางอยู่ในป่านี้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นพีชสุดลูกหูลูกตา แต่อยู่ๆเขาก็มองเห็นต้นพีชขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ลำต้นของมันมีขนาดใหญ่กว่าต้นอื่นๆ นอกจากนี้มันยังสูงราวกับว่าขึ้นไปถึงสวรรค์ ดอกไม้และใบไม้ที่อยู่บนยอดของมัน ดูเหมือนกับเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนโครงกระดูกช้างกำลังมุ่งหน้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้น   “ต้นพีชแปลกๆนั้นคืออะไร?” เมื่อหานเซิ่นเห็นต้นไม้ต้นนั้น เขาก็ไม่อยากจะเชื่อในความใหญ่โตของมัน   จนถึงตอนนี้หานเซิ่นก็ยังสัมผัสถึงอันตรายอะไรไม่ได้เลย จิ้งจอกสีเงินเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีถึงอันตรายอะไร มันเอาแต่จ้องมองไปที่ต้นพีชอย่างสงบ หานเซิ่นก็อยากจะรู้ว่าตอนนี้มันกำลังคิดอะไรอยู่   เนื่องจากอุส่าตามมาถึงที่นี่แล้ว หานเซิ่นก็อยากจะดูให้เห็นกับตาว่าช้างต้องการจะทำอะไร หานเซิ่นตามช้างไปในระยะที่ปลอดภัย เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้เกิน   โครงกระดูกช้างขนาดใหญ่กำลังมุ่งต้นไปที่ต้นไม้ขนาดมหึมา เมื่อมันเข้าไปใกล้ๆต้นพีชขนาดใหญ่ ขนาดตัวของมันก็ไม่ได้ดูใหญ่อีกต่อไป   หลังจากที่ช้างเดินเข้าไปใกล้ๆต้นไม้ยักษ์แล้ว มันก็คุกเข่าลง จากนั้นมันก็มอบคลานเข้าไปใกล้ๆต้นพีช มันก้มหัวต่ำลงราวกับว่ามันกำลังกราบไหว้หรือบูชาต้นพีช   หานเซิ่นอึ้ง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้เห็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดทำแบบนี้ การที่มอนสเตอร์ที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างช้างตัวนี้กับมากราบไหว้ต้นไม้แบบนี้ ดูไม่น่าเชื่อจริงๆ   “ต้นพีชต้นนี้มันยังไงกันแน่? มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดงั้นหรอ? ทำไมช้างถึงได้ดูจะเคารพมันถึงขนาดนั้น?” หานเซิ่นงง เขามองดูช้างที่หมอบอยู่หน้าต้นไม้เป็นเวลานาน   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันน่าตกใจยิ่งกว่าเก่า ภายใต้แสงจันทร์ ช้างมันลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆต้นไม้ในท่าเหมือนกับมนุษย์นั่งขัดสมาธ   กระดูกของช้างที่เป็นสีขาว ตอนนี้เริ่มที่จะดูเหมือนกับหยก มันดูมีออร่ามาก   ตอนนี้แสงสีแดงๆตรงตาของมันจางหายไปหมดแล้ว ราวกับว่ามันไม่มีจิตใจที่จะคิดฆ่าสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป   ตอนนี้ช้างดูราวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ “มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ยิ่งดูเท่าไหร่หานเซิ่นก็ยิ่งงง  

Super God Gene – ตอนที่ 657 ขุนพลคนที่ 13 ของกองกำลังเทพธิดา
Super God Gene – ตอนที่ 657 ขุนพลคนที่ 13 ของกองกำลังเทพธิดา

  ตอนนี้กองทัพของหลูฮุยเสียรูปขบวนไปหมดแล้ว โครงกระดูกช้างรวดเร็วเกินไป ทำให้พวกที่ขี่สัตว์อสูรไม่สามารถหลบได้ทัน มีคนจำนวนมากถูกมันเหยียบ พวกเขาแหลกเป็นชิ้นๆด้วยเท้าของช้าง   ตอนนี้ความกลัวเข้าไปฝังลึกอยู่ในหัวของทุกคน บางคนถึงขั้นควบคุมสติไว้ไม่อยู่ ความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของมอนสเตอร์ตัวนี้มันอยู่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเขา แค่มันก้าวเดินแต่ละก้าว พวกเขาก็รู้สึกเสียวสันหลัง   “รีบอพยพคนออกจากเมืองเร็วเข้า” หลูฮุยสั่งการอย่างเยือกเย็น   ถ้าพวกเขายอมทิ้งเมืองไปเลยตอนนี้จะมีเหยื่อที่ถูกช้างตัวนี้ฆ่าตายอีกจำนวนมาก การสั่งอพยพคนในเมืองถือเป็นเรื่องที่ถูก เพราะจะช่วยลดความสูญเสียลงได้ อย่างน้อยๆถึงเมืองจะพังก็ไม่มีคนตาย   คำสั่งของหลูฮุยถูกส่งมาถึงเมืองปีศาจอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนในเมืองก็อพยพกันทันทีโดยไม่รอช้า แต่โครงกระดูกช้างนั้นไวมาก มันมาถึงหน้าประตูก่อนที่คนกลุ่มหลักจะเก็บสัมภาระและหนีออกไปได้ทัน   ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถูกช้างตัวนี้เหยียบจะแหลกเป็นฝุ่นผง แม้แต่ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ยังเละไม่เหลือชิ้นดี หลังจากที่ถูกมันเหยียบ   ช้างดูจะบ้าคลั่งมาก ตลอดทางที่มันเดินมา มันฟาดงวงฟาดงาไปตลอดทาง ไม่ว่าต้นไม้หรือก้อนหินก็จะถูกบดขยี้จนเป็นชิ้นๆ เมื่อเห็นสิ่งที่น่ากลัวนี้หัวใจของทุกคนก็แทบจะหยุดเต้น พวกเขากลัวจนก้าวขาไม่ออก   หน้าของประชากรภายในเมืองซีดเหมือนกับกระดาษ ในขณะที่ช้างกำลังทำลายกำแพงเมือง พวกเขากลัวจนทำอะไรไม่ถูก   แต่ละก้าวที่มันเดินทำให้เกิดแผ่นดินไหว แม้แต่ตอนนี้ความเร็วของมันก็ยังไม่ได้ลดลง ด้วยขนาดที่ใหญ่เหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ มันไล่ชนกำแพงจนพังได้อย่างไม่ยากเย็น   “ไอ้ช้างยักษ์หน้าโง่! ฉันคือขุนพลคนที่ 13 ของกองกำลังเทพธิดา หวังอวี่ฮัง ทราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่แกจะไม่มีวันทำลายเมืองนี้สำเร็จ” ขณะที่ช้างกำลังจะใช้งวงของมันทำลายประตูเมืองก็มีชายคนหนึ่งบินอยู่บนท้องฟ้า เขาดูจะเป็นความหวังสุดท้ายของทุกคน เขากำลังกระพือปีกด้วยความเร็วสูง เขาตะโกนไปที่ช้างราวกับเขาเป็นเทพ   ไม่น่าเชื่อขณะที่ช้างกำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่ได้ยินเสียงของเขา มันก็หยุดทันที มันหันไปมองชายคนที่อยู่บนอากาศ   ทุกคนอึ้ง เพราะไม่มียอดฝีมือคนไหนหรือแม้แต่ตัวหลูฮุยที่สามารถดึงความสนใจของช้างตัวนี้ได้เลย ไม่ว่าพวกเขาจะทำยังไงมันก็ยังตรงเข้าไปที่เมือง แต่พอเจอกับคนคนนี้ช้างกับให้ความสนใจเขา   “ไอ้ช้างหน้าโง่ไม่ได้ยินรึไง? หัวหน้าของฉันไม่มีทางปล่อยให้แกทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในเมืองนี้เด็ดขาด ถ้าแกแน่จริงก็ตามฉันมา กองกำลังเทพธิดาเตรียมหลุมฝังศพไว้ให้แกแล้ว!” หวังอวี่ฮังตะโกนสุดเสียงเพื่อยั่วยุช้าง จากนั้นเขาก็กระพือปีกและบินหนีไป   ช้างส่งเสียงร้องออกมาทันที จากนั้นมันก็วิ่งตามหวังอวี่ฮังไป   ไม่มีใครอยากเชื่อสิ่งที่เห็น พวกเขาแทบไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนั้นเหมือนกับสามารถพูดคุยกับมอนสเตอร์ที่น่ากลัวขนาดนั้นได้ ทั้งๆที่มันไม่สนใจคนอื่นๆเลย แต่คนคนนั้นแค่พูดกับมันเท่านั้น เขายังไม่ทันได้โจมตีก็ทำให้มันวิ่งไล่ตามได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ   หลูฮุยและเหล่ยเฮิงหวู่ประหลาดใจ พวกเขารู้ดีว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น พวกเขายังรู้อีกด้วยว่าหวังอวี่ฮังใช้ประโยชน์จากความซวยผิดมนุษย์ของเขา แม้พวกเขาจะรู้ว่าสำหรับหวังอวี่ฮังแล้วเรื่องแบบนี้ไม่น่าแปลกอะไร แต่พวกเขาก็ยังประหลาดใจอยู่ที่ดีได้เห็นแบบนั้น และพวกเขาก็ไม่อยากเชื่อด้วยว่าหวังอวี่ฮังจะยอมเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อช่วยชีวิตคนในเมือง   “โอ้เหยดเข้! คนคนนั่นแม้งโคตรเจ๋งเลยว่ะ” “กองกำลังเทพธิดาคงจะต้องเป็นกองกำลังแห่งเทพแน่นๆ มันฟังดูทรงพลังมาก!” “พวกเขาคือเทพ!” “พวกเขาโคตรเท่ กองกำลังเทพธิดาจงเจริญ” “ถ้าขุนพลมีพลังถึงขนาดนั้น ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าหัวหน้าจะเก่งขนาดไหน?” “นายลืมไปแล้วหรอว่าเขาบอกว่าเขาเป็นขุนพลคนที่ 13 นั่นหมายความว่าก่อนหน้าเขายังมีขุนพลที่น่าจะเก่งกว่าเขาอีก 12 คน ส่วนหัวหน้าก็คงจะฉีกท้องฟ้าได้เลยมั้ง” “หวังอวี่ฮัง ฉันจะจำชื่อนี้ไว้” “กองกำลังเทพธิดาช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้”   หานเซิ่นมอบปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กให้กับหวังอวี่ฮัง ตอนนี้พวกเขาสามารถนำช้างออกไปห่างจากเมืองได้ แต่หานเเซิ่นไม่ได้คิดว่าหวังอวี่ฮังจะพูดอะไรแบบนั้นตอนที่ไปล่อช้างมา ซึ่งมันทำให้คนอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความซวยของเขาคิดว่าที่ช้างตามเขาไปก็เพราะมันเชื่อฟังคำพูดของเขา แต่ความจริงมันก็แค่ช้างคิดที่จะไล่ฆ่าชายผู้โชคร้ายคนนี้   หานเซิ่นและซีโร่บินล่วงหน้ามาก่อนแล้ว พวกเขาคิดว่าตอนนี้ช้างคงจะถูกหวังอวี่ฮังพาไปปล่อยไกลๆอยู่   แม้ช้างจะทรงพลังและเร็วมาก แต่ในเมื่อมันบินไม่ได้ มันจึงไม่ได้มีความอันตรายอะไร หลังจากที่พามันไปทิ้งไว้ไกลๆแล้ว หวังอวี่ฮังก็กลับมาพบกับหานเซิ่น   ช้างไล่ตามหวังอวี่ฮังไปไกลถึง 50 ไมล์ จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปสูงเสียดฟ้า หลังจากที่เขาหายตัวไปแล้ว ช้างก็วิ่งต่อไปโดยไม่สนใจเมืองปีศาจอีกต่อไป   “หัวหน้า ปีกนี่สุดยอดไปเลย สมกับเป็นปีกเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กจริงๆ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะยืมมันไปบินเล่นสัก 2-3 วัน?” หวังอวี่ฮังถามพร้อมกับยิ้ม   “อย่าพูดนู้นพูดนี่เลย รีบส่งมันคืนมา! แล้วผมไปขอให้คุณพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” หานเซิ่นเอาวิญญาณอสูรกลับมาพร้อมกับถาม   “ฉันแค่กำลังโปรโมทกองกำลังเทพธิดาให้อยู่ การโปรโมทที่ดีที่สุดก็ต้องพึ่งปากของชาวบ้านนี่แหละ ตอนนี้คนคงลือกันไปต่างๆนาๆแล้ว” หวังอวี่ฮังหัวเราะ   “แล้วไอ้ขุนพลคนที่ 13 นั่นมันอะไรกัน?” หานเซิ่นถาม   “ฉันคิดได้สดๆเลย! ลองคิดดูสิ ถ้าใครได้ยินแบบนั้น พวกเขาคงจะต้องคิดว่ากองกำลังของพวกเรายิ่งใหญ่มากแค่ไหน ถึงขนาดที่ต้องให้ขุนพลเก่งๆถึง 13 คนช่วยดูแล และถ้าฉันเป็นคนที่13 คนส่วนมากก็จะคิดว่ามีอีก 12 คนที่เก่งกว่าฉัน ตอนนี้พวกเราดังแล้ว” หวังอวี่ฮังอธิบายด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นและภาคภูมิใจ   หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไงดี แต่เขาก็เชื่อว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเมืองเทพธิดาและกองกำลังเทพธิดาเป็นที่รู้จัก การจะชวนคนเก่งๆเข้ามาร่วมด้วยก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป   หานเซิ่นยังไม่รู้ว่าเขาจะหาขุนพลอีก 12 คนได้ที่ไหน แต่จริงๆแล้วเขาไม่ต้องหาเลยก็ได้ เขาสามารถข้ามไปหาขุนพลคนที่ 14 ได้เลย ยังไงก็คงไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะมาสืบหาว่าใครคือขุนพลทั้ง 12   หานเซิ่นต้องการจะดูว่าช้างเบอร์เซิร์กต้องการจะไปไหน ดังนั้นเขาเลยตามมันไปห่างๆ   “อาเล็ก คุณรู้ไหมว่าข้างหน้าเราเป็นดินแดนแบบไหน?” หานเซิ่นถาม เขาต้องการจะตามช้างตัวนี้ไปให้ไกลที่สุด แต่ทางข้างหน้าเขาไม่คุ้นเคย   “อืมม ขอฉันคิดแปป…” หวังอวี่ฮังมองไปข้างหน้า จากนั้นสีหน้าของเขาก็ถอดสีทันที “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นป่าลูกพีช”   “ป่าลูกพีชมันเป็นป่าแบบไหน?” หานเซิ่นถาม   “มันเป็นป่าที่มีต้นพีชอยู่เป็นส่วนมาก แต่ละต้นมีความสูงอย่างน้อยๆก็ 100 เมตร ถ้าอยู่บนพื้นก็แทบจะมองไม่เห็นยอดไม้เลยล่ะ ซึ่งคนที่เข้าไปที่นั่นก็มีแนวโน้มว่าจะหลงทาง ยิ่งกว่านั้นที่นั่นยังมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก คนส่วนมากจึงเข้าไปแล้วมักจะไม่ได้กลับออกมา”   จากนั้นหวังอวี่ฮังก็หยุด เหมือนเขากำลังใช้ความคิด “แต่โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้บานพอดี ถ้าไม่ใช่ฤดูที่ลูกพีชออกผล มันก็ไม่น่าจะมีอันตรายมาก”   “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น” หานเซิ่นดูจะงงๆ   “ใช่ ช่วงฤดูที่ลูกพีชออกผลจะมีมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมาที่นี่เพื่อลิ้มรสลูกพีส มันจึงเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดในการเข้าไปในป่าต้นพีช” หวังอวี่ฮังอธิบาย   “สรุปตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้บานใช่ไหม? แล้วทำไมช้างมันถึงได้มุ่งหน้าไปทางนั้น?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว  

Super God Gene – ตอนที่ 656 มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดเบอร์เซิร์ก
Super God Gene – ตอนที่ 656 มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดเบอร์เซิร์ก

  ไม่นานหลูฮุยก็ตระหนักว่าช้างตัวนี้ทรงพลังมากจนพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาเรียกพลธนูออกมา และสั่งให้พวกเขายิงธนูไฟไปใส่มันจากอีกทิศทาง เพื่อเบนความสนใจของมันออกจากกองกำลังหลัก และยังพามันออกจากเส้นทางที่ตรงไปยังเมืองปีศาจด้วย ถ้ามันไปถึงเมืองได้เมื่อไหร่ เมืองจะต้องถูกทำลายแน่   พลธนูที่ขี่สัตว์อสูรช่วยกันยิงธนูใส่ช้างตามคำสั่งของหลูฮุย พวกเขายั่วยุช้างอย่างต่อเนื่อง รูปขบวนของพวกเขาเป็นตามหลักพิชัยสงคราม ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี   ใกล้ๆจุดที่หลูฮุยยืนอยู่ มีคนที่ทำหน้าที่โบกธงสัญญาอยู่ตลอดเวลา เพื่อสั่งการตำแหน่งของพวกทหาร   หานเซิ่นดูการต่อสู้อยู่บนยอดเขา เขาถอนหานใจและพูด “คนคนนี้สมกับเป็นผู้บัญชาการจริงๆ ถ้าเป็นเราแค่คุมคนสัก 10 คนก็ยากแล้ว แต่การต่อสู้นี้มีคนนับพัน ไม่มีทางที่เราจะทำได้แบบนี้ หลูฮุยไม่ธรรมดาจริงๆ!”   หานเซิ่นสังเกตการสั่งการของหลูฮุยอย่างใกล้ชิด ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกสนใจ   ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่เชื่อมต่อกันหมด ดังนั้นแค่วิธีเดียวก็สามารถใช้พลิกแพลงได้หลากหลายสถานการณ์   ศาสตร์การสั่งการของหลูฮุยเป็นสิ่งที่หานเซิ่นต้องศึกษาเอาไว้ หลังจากที่ได้เห็นหลูฮุย หานเซิ่นก็รู้สึกว่าเขาต้องเรียนรู้อีกมาก   ที่ผ่านมาเวลาจะสั่งการหานเซิ่นจะใช้การดูรายละเอียดต่างๆ เขาจะเพ่งสมาธิสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของคนที่เขาต้องสั่งการ เพื่อจะสามารถสั่งการให้เหมาะกับสถานการณ์ได้   แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ที่ใหญ่แบบนี้ มันมีจำนวนคนมากเกินกว่าที่เขาจะไล่สั่งทีละคนได้ หลูฮุยเหมือนกับวิทยากรที่อยู่หน้าวงออร์เคสตร้า คำสั่งของเขาไม่ได้ละเอียดเหมือนกับตอนที่หานเซิ่นสั่งการ แต่คำสั่งของเขาก็เหมาะสมกับสถานการณ์และมีความแม่นยำมากเช่นกัน ซึ่งทำให้หานเซิ่นตั้งใจดูเป็นอย่างมาก เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นการสั่งการที่ดูเล้าใจแบบนี้   “สมกับเป็นหัวหน้ากองกำลังสำรองของบูลบลัดจริงๆ ด้วยความสามารถในการสั่งการของเขา คนคนนี้ยิ่งกว่ามีพรสวรรค์ซะอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้ครอบครองดินแดนที่กว้างใหญ่และมีคนจำนวนมากแบบนี้ได้” หานเซิ่นชมเชยหลูฮุย   แต่หวังอวี่ฮังที่อยู่ใกล้ๆหานเซิ่นพูด “หลูฮุยคนนี้ครองดินแดนทางเหนืออยู่ ซึ่งถ้านายต้องการจะขยายอำนาจละก็ เขาจะต้องเป็นศัตรูที่น่ากลัวในอนาคต”   “อาเล็กพูดถูก ถ้าหลูฮุยเก่งถึงขนาดนี้เห็นทีว่าการขยายดินแดนมาทางเหนือคงจะเป็นเรื่องยากแล้ว” หานเซิ่นหยุดคิดชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “แต่ดินแดนของพวกเราถูกแบ่งแยกด้วยภูเขาปีศาจ การเคลื่อนทัพจึงเป็นเรื่องยากมาก ผมคิดว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะกังวลถึงเรื่องนี้”   ตอนนี้ทหารที่ขี่สัตว์อสูรกลุ่มใหญ่ได้กระจายกันเป็นกลุ่มย่อยๆ จากนั้นพวกเขาก็ยิงธนูไฟจากหลายทิศทางไปที่โครงกระดูกช้าง ธนูของพวกเขาสร้างความเสียหายให้ช้างไม่ได้เลย แต่เป็นการยั่วให้มันโกรธ ช้างเอาเท้ากระทืบพื้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดแผ่นดินไหว แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถเหยียบมนุษย์คนไหนโดนเลย   จริงอยู่ที่มันคือมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดที่แข็งแกร่งมากๆ แต่มันไม่ได้มีความเร็วและก็ไม่ฉลาดด้วย ง่ายมากที่มันจะถูกพวกนักธนูเบนความสนใจ พวกเขาพยายามยิงธนูใส่มัน และขี่สัตว์อสูรวนไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ช้างวิ่งวนไปวนมาเหมือนกับไก่ไร้หัว ถึงมันพยายามอย่างหนักที่จะไล่จับพวกเขา แต่มันก็จับใครไม่ได้เลยสักคน   ยิ่งหานเซิ่นดูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสนใจมากขึ้น เขาได้ความรู้มากจริงๆหลังจากที่ได้เห็นพวกเขาต่อสู้   แต่ทันใดนั้นอยู่ๆโครงกระดูกช้างก็ร้องออกมาเสียงดัง มันสะบัดให้ธนูที่กำลังลอยมาราวกับห่าฝนกระเด็นไป   “ตอนนี้หลูฮุยน่าจะลำบากแล้ว ช้างตัวนั้นมันตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่เมืองปีศาจ” หวังอวี่ฮังขมวดคิ้ว   แต่หลูฮุยไม่ได้ตื่นตระหนก เขายังสงบเหมือนปรกติ เขาเรียกลูกน้องที่ทำหน้าที่ให้สัญญาเข้ามา จากนั้นเขาก็สั่งการพวกเขา ไม่นานผู้วิวัฒนาการประมาน 4-5 คนที่อยู่ข้างๆเขาก็วิ่งตรงเข้าไปหาโครงกระดูกช้าง แค่ได้เห็นความเร็วของพวกเขา หานเซิ่นก็พอจะบอกได้เลยว่าคนพวกนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน พวกเขาน่าจะปลดล็อคยีนได้กันหมดแล้ว   หนึ่งในคนพวกนั้นมีเหล่ยเฮิงหวู่รวมอยู่ด้วย ในมือของเขาถือทวนขนาดใหญ่ ซึ่งห่อหุ้มด้วยประกายไฟฟ้า   พวกเขาเข้าไปล้อมโครงกระดูกช้างเอาไว้ พวกเขายังไม่มีกำลังพอที่จะฆ่ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้ แต่ภายใต้คำสั่งของหลูฮุย พวกเขาก็สามารถเบนความสนใจของมอนสเตอร์ได้อีกครั้ง   จิตใจของหูลฮุยยังคงสงบนิ่งอย่างเคย เขารู้ดีว่าจะให้มอนสเตอร์ตัวนี้เข้าไปใกล้เมืองไม่ได้ เขาต้องการล่อมันออกไปห่างๆเมืองและเริ่มสู้กับมันอย่างเต็มกำลัง   “เหล่ยเฮิงหวู่แข็งแกร่งจริงๆ” แม้หานเซิ่นจะได้ยินคำเล่าลือจากปากของหวังอวี่ฮังเกี่ยวกับชายคนนี้มาแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นวิชาทวนที่สุดยอดขนาดนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะประทับใจ   “เขาแข็งแกร่งแล้วมันมีประโยชน์อะไร? ตอนนี้เขาไปอยู่ทีมอื่นแล้ว!” หวังอวี่ฮังถอนหายใจ   หานเซิ่นยิ้มแต่เขาไม่ได้ตอบอะไร เขาก็แค่ชมเชยวิชาทวนของเหล่ยเฮิงหวู่เท่านั้น ส่วนพลังของเหล่ยเฮิงหวู่นั้นก็ไม่ได้สุดยอดอะไร สายฟ้าของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับของจิ้งจอกสีเงิน แม้ชายคนนี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่หานเซิ่นจะสนใจเขามาก   หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ในวันนี้ หานเซิ่นก็อยากที่จะหาสมาชิกที่เป็นนักธนูเข้ามาในทีมสักคน แม้หานเซิ่นเองจะสามารถทำหน้าที่เป็นนักธนูได้เช่นกัน แต่ถ้าเขาทำหน้าที่นั้น มันก็น่าเสียดายประสิทธิภาพของวิญญาณอสูรขั้นสุดยอดเร็กซ์สไปค์เพลิงอัคคีที่เขาเพิ่งจะได้มา ตอนนี้หานเซิ่นต้องต่อสู้อยู่แนวหน้าเท่านั้น ดังนั้นเขาเลยต้องการคนที่จะเข้ามาเติมเต็มทีมในตำแหน่งต่อสู้ระยะไกล   “โอ้พระเจ้า ดูเหมือนช้างตัวนั้นจะโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว!” หวังอวี่ฮังกรีดร้องด้วยความกลัว   หานเซิ่นมองดูอย่างละเอียด เขาเห็นว่าตาของช้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว จากนั้นก็มีหมอกสีแดงปรากฏขึ้นมารอบๆตัวของมัน และก็หมุนวนไปรอบๆตัวช้าง ไม่นานช้างก็เปลี่ยนเป็นสีแดง   “เวร! ดูเหมือนการต่อสู้ครั้งนี้จะจบไม่สวยซะแล้ว” หานเซิ่นช็อค   ถ้าโครงกระดูกช้างเปลี่ยนเป็นเบอร์เซิร์ก ด้วยความเร็วและความแข็งแกร่งที่มันจะได้รับเพิ่มขึ้น ยังไงก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะโจมตีไปถอยไปเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ได้ พวกเขาคงจะแหลกเป็นชิ้นแน่ ดูแล้วการต่อสู้นี้คงจะเป็นการต่อสู้ที่นองเลือด   หลูฮุยเองก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นเดียวกัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ตอนนี้มีออร่าสีฟ้าๆปรากฏขึ้นมาจากตัวเขา เขาเรียกวิญญาณอสูรหอกออกมา และก็ขว้างไปที่โครงกระดูกช้าง   ปัง! หอกที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้าไปปักอยู่ที่หูข้างหนึ่งของโครงกระดูกช้าง ทั้งหอกและกระดูกของช้างก็ไม่ได้หักหรือเสียหาย แต่ดูเหมือนโครงกระดูกช้างจะโกรธมาก มันส่งเสียงร้องออกมาและก็วิ่งเข้าชาร์จหลูฮุยทันที   หลูฮุยตะโกนสั่งกองทัพของเขา ให้ทุกคนช่วยกันล่อช้างตัวนี้เข้าไปในป่า   แต่ทว่าช้างวิ่งตามไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็เลิกตาม มันหันกลับไปทางเมืองปีศาจอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะสนใจอะไรบางอย่างที่อยู่ที่เมืองนั้น   ในตอนนี้กะโหลกของช้างเริ่มส่องแสงสีแดงออกมา มันไม่ใช่เลือด แต่เป็นแสงสว่างที่เกิดจากดวงตาสีแดงๆของมัน   “เวรแล้วไง! มันกลายเป็นเบอร์เซิร์กจริงๆ ตอนนี้เหมือนมันจะบ้าไปแล้ว มันไม่สนใจการโจมตีจากหลูฮุยแล้ว มันจะมุ่งไปที่เมืองท่าเดียว” หานเซิ่นขมวดคิ้ว   แม้เมืองปีศาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ยังไงเมืองนี้ก็มีคนอยู่นับล้าน หานเซิ่นก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เขาไม่ต้องการเห็นการสังหารหมู่ที่โหดร้ายขนาดนั้น   ร่างกายของหลูฮุยส่องแสงสีฟ้าออกมา เขาโจมตีโครงกระดูกช้างด้วยหอกของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามยังไง ช้างก็ไม่สนใจเขาเลย ตอนนี้ตัวของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะโดนกระหน่ำโจมตีมันก็ไม่สน   เหล่ยเฮิงหวู่และคนอื่นๆต่างก็ช่วยหลูฮุยโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไร้ผล ตอนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจของมันได้แล้ว แม้การโจมตีของพวกเขาจะดูรุนแรง แต่สำหรับมอนสเตอร์คงจะไม่รู้สึกเจ็บหรือคันเลยด้วยซ้ำ   ตอนนี้ความเร็วของช้างดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย ร่างกายของมันเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ ด้วยความเร็วของมันทำให้นักธนูที่คอยขี่สัตว์อสูรไล่ยิงไม่สามารถหนีออกจากใต้เท้าของมันได้ทัน ทำให้มีคนโดนเหยียบตายไปหลายคนแล้ว   หลังจากถูกเหยียบร่างกายของพวกเขาก็แหลกเป็นชิ้น ตอนนี้กองทัพของหลูฮุยดูบางลงถนัดตา ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัว . . ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจด้วยครับ >>> SSG (ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอนที่ 2041 แล้วครับ)  

Super God Gene – ตอนที่ 655 มอนสเตอร์จากภูเขาปีศาจ
Super God Gene – ตอนที่ 655 มอนสเตอร์จากภูเขาปีศาจ

  หานเซิ่นมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่แน่ใจว่าชายคนนี้พูดจริงจังแค่ไหน เงิน 7000 ล้านไม่ใช่เงินน้อยๆ ซึ่งโดยปรกติแล้วถึงจะเป็นคนที่รวยแค่ไหนก็คงจะไม่มีใครยอมจ่ายถึงขนาดนั้นเพื่อสัตว์เลี้ยงแบบนี้แน่นอน   “คุณแน่ใจใช่ไหม?” หานเซิ่นต้องถามอีกครั้ง   “แน่นอน ฉันแน่ใจ” ชายคนนั้นตอบอย่างมั่นใจ   “งั้นก็ส่งเงินมา และผมจะขายพวกมันให้คุณ” หานเซิ่นยิ้ม   “นายคิดจริงๆหรอว่าฉันเอาเงิน 7000 ล้านใส่กระเป๋ามาด้วยตอนนี้? ขอเบอร์ติดต่อหน่อย ไว้ฉันกลับไปที่สหพันธ์ดวงดาวเมื่อไหร่ ฉันจะรีบติดต่อนายเพื่อจ่ายเงินทันที” ชายคนนั้นพูด   “โอเค” แต่หานเซิ่นไม่ได้ให้เบอร์กับชายคนนี้ไป เขาให้แค่ไอดีที่เขามักจะใช้ในเน็ตเท่านั้น   จากนั้นพวกเขาทั้ง 2 คนก็กลับไปที่สหพันธ์ดวงดาว พวกเขาล็อคอินเข้ามาในเน็ตเพื่อพบกัน   หานเซิ่นไม่เชื่อว่าคนคนนี้จะมีเงินมากมายขนาดนั้น ซึ่งเขาก็คาดการณ์ไม่ผิดเลย หลังจากที่ได้มาพบกับชายคนนั้นทางเน็ต “เพื่อน ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดกับนาย?” ชายคนนั้นพูดด้วยสีหน้าแปลกๆ   “อะไร? นายไม่ได้ต้องการจะซื้อสัตว์เลี้ยงของฉันหรอ?” หานเซิ่นเกือบจะหัวเราะออกมา   “ไม่ นายคิดแบบนั้นจริงๆหรอ? ฉันมีข้อเสนออื่นมา ฉันจะให้นาย 50ล้านเพื่อขอเช่าสัตว์เลี้ยงของนายสัก 3 วัน นายคิดว่ายังไง? หลังจากครบ 3 วันแล้ว ฉันจะเอามันไปคืนให้เอง” ชายคนนั้นยิ้ม   “ดูเหมือน 50 ล้านจะไม่คู่ควรกับสัตว์เลี้ยงของฉัน อย่างต่ำๆนายต้องจ่าย 100 ล้าน แต่ฉันสามารถให้นายยืมได้แค่แมวสีดำเท่านั้น ส่วนสัตว์เลี้ยงตัวสีขาว ฉันจะไม่ให้ยืมไม่ว่ากรณีใด” หานเซิ่นรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้กำลังพยายามจะทำอะไร เพราะฉะนั้นเขาต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะ   “ฉันยอมตกลงก็ได้ แต่หลังจากกลับไปที่เมืองแล้วนายต้องเล่นไปตามน้ำ โอเคนะ?” ชายคนนั้นพูดกับหานเซิ่น   หานเซิ่นยอมตอบตกลง หลังจากนั้นชายคนนั้นก็โอนเงินมาให้หานเซิ่นแทบจะทันที และเขาก็พูด “ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวนายทีหลัง”   “แน่นอน พวกเราจะมากินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ได้ แต่นายต้องสัญญาว่าจะดูแลสัตว์เลี้ยงของฉันอย่างดี ฉันอยู่กับมันมานาน และฉันก็ผูกพันกับมันมาก” หานเซิ่นพูด   “เพื่อน ถ้านายไม่เชื่อว่า ฉันหลินเหมย คนนี้จะดูแลสัตว์เลี้ยงของนายได้ดีล่ะก็ อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อหลินเฟิง เขาคือน้องชายของฉันเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง” หลินเหมยเอามือตบที่หน้าอกของตัวเอง   “หลินเฟิง? ใครหรอ?” หานเซิ่นแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก พร้อมกับทำหน้างง   “นายไม่รู้จริงดิ?” ดูเหมือนหลินเหมยจะงงจริง หลังจากนั้นเขาก็ยิ้ม “เอ่อไม่เป็นไร ถ้านายไม่รู้จัก แค่รู้เอาไว้ว่าฉันไว้ใจได้ก็พอแล้ว โอเคนะ?”   “นายรู้จักถังเตียงลิ่วไหม?” หานเซิ่นถาม   “แน่นอนฉันรู้จักเขา เขาเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายฉันเอง พวกเขาแทบจะตัวติดกันเลย พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด นายรู้จักเขาด้วย?” หลินเหมยถามกลับ   “งั้่นพวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมเป็นเพื่อนของถังเตียงลิ่ว” หานเซิ่นพูด แต่ในใจของเขาคิด ‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลินเฉิงจะมีพี่แบบนี้ ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆรึเปล่าหรือว่าเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง’   “งั้นมันก็ไม่ถูก เอ่อถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ควรจะมีส่วนลดให้ฉันบ้าง ถูกไหม?”   “ไม่ ความสัมพันธ์ก็คือความสัมพันธ์ ธุรกิจก็คือธุรกิจ” หานเซิ่นปฎิเสธทันที   พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดอีกนิดหน่อย ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่ก็อตเเซงชัวรี่   พวกเขากลับไปในจุดที่พวกเขาเจอกันก่อนหน้านี้ เมื่อหลินเหมยไปถึง เขาก็รีบเข้าไปหาผู้หญิงที่มาด้วยกันทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้ามาหาหานเซิ่น “เฮ้! แบบนี้มันไม่เข้าท่าเลยนะ ตอนแรกนายบอกว่าสัตว์เลี้ยง 2 ตัวราคา 7000 ล้านไง! และตอนนี้นายจะมาขอขึ้นราคางั้นหรอ?”   “หลังจากที่ผมมาคิดดูอีกที สัตว์เลี้ยงพวกนี้ผมรักพวกมันมาก ถ้าคุณยังต้องการมันอยู่ ผมจะขายแมวสีดำให้คุณ 7000 ล้าน ส่วนตัวสีขาวไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ขาย”   “นั่นไม่ใช่ปัญหา สำหรับฉันเงินมันก็เหมือนกับน้ำธรรมดา ตกลงฉันยอมซื้อตัวสีดำ 7000 ล้าน และฉันก็จะซื้อตัวสีขาว 7000 ล้านด้วย มีแค่ความสุขของแฟนฉันเท่านั้นที่ฉันให้ความสำคัญ ดังนั้นไม่ว่าฉันจะต้องจ่ายเท่าไหร่ฉันก็ไม่สน”   “โอ้ที่รัก! คุณวิเศษที่สุดเลย” ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะพอใจมาก เธอจูบหลินเหมย   “ผมก็บอกไปแล้วว่าจะขายแค่ตัวสีดำ ตัวสีขาวไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ขาย” หานเซิ่นยังคงเล่นไปตามบทที่นัดแนะกันมา จากนั้นไม่นานหลินเหมยก็ยอมตัดใจซื้อแค่เหมียว ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเหมียวกลับไปด้วยสีหน้าที่มีความสุข   ไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกเล่าต่อๆกันไปทั่วพื้นที่แถบภูเขาปีศาจว่ามีชายคนหนึ่งยอมทำเพื่อคนรักของเขา ชายที่น่าสงสารต้องยอมซื้อสัตว์เลี้ยงที่ไร้ประโยชน์ไปด้วยราคา 7000 ล้าน   “น้องหาน คนที่ขายสัตว์เลี้ยง 7000 ล้านคือนายจริงๆหรอ?” หวังอวี่ฮัวอ้าปากค้าง เขามองที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ   “อีกฝ่ายบอกว่าเขามาจากตระกูลหลิน ชื่อของเขาคือหลินเหมย เขาบอกว่าเขาคือพี่ชายของหลินเฟิง ถ้าคุณไม่รู้จักแสดงว่าเขาโกหก” หานเซิ่นพูด   “หลินเหมย? เสือผู้หญิงคนนั้นน่ะหรอ? คนที่โง่ถึงขนาดยอมซื้อสัตว์เลี้ยงราคา 7000 ล้าน?” ตอนนี้หวังอวี่ฮังเริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราว   “ตระกูลหลินมีคนแบบนี้อยู่ในตระกูลด้วยหรอ?” หานเซิ่นประหลาดใจที่รู้ว่าหลินเหมยคือคนตระกูลหลินจริงๆ ในตอนแรกเขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง   หวังอวี่ฮังพยักหน้า “ใช่ เขาเป็นคนตระกูลหลินจริงๆ เขาคือลูกพี่ลูกน้องของหลินเฟิง แต่อายุของเขาก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ เขาน่าจะอายุพอๆกับหลินเว่ยเว่ย ก่อนที่หลินเว่ยเว่ยจะมีชื่อเสียงขึ้นมา หลินเหมยก็ถูกนับว่าเป็นอัจฉริยะเช่นกัน แต่ช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ไม่นาน ช่วงเวลาที่รุ่งที่สุดของเขาก็แค่ช่วงชีวิตวัยรุ่นเท่านั้น ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ไปติดผู้หญิงจนโงหัวไม่ขึ้น แต่ดูเหมือนพ่อของเขาจะมอบเงินให้เขาใช้อย่างไม่อั้น ด้วยเหตุนี้หลินเหมยจึงรวยมาก ฉันก็ไม่รู้สิ 7000 ล้านคงจะน้อยสำหรับเขาล่ะมั้ง ฉันก็ไม่ได้เห็นหน้าของเขามานานมากแล้ว เขาแทบจะไม่ไปปรากฏตัวในงานอีเว้นท์ของตระกูลเลย”   “แบบนี้นี่เอง” หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาเล่นละครไปตามบทของหลินเหมย   ขณะที่พวกเขา 2 คนกำลังเดินคุยกันไปตามถนนของเมือง พวกเขาก็เห็นเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจากระยะไกลๆ มีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาในเมือง   หวังอวี่ฮังรีบเข้าไปถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คำตอบที่ได้มาก็คือมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวมากกำลังอาละวาดในภูเขาปีศาจ มันทำลายเมืองไป 3 เมืองแล้ว ตอนนี้มันกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ หลูฮุยจึงมีคำสั่งให้คนของเขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่กำลังบุกมา   ผู้วิวัฒนาการภายใต้คำสั่งของหลูฮุยรีบไปรวมตัวกันบนกำแพงเมืองทันที ตอนนี้่หลูฮุยเรียกคนเก่งๆในทีมของเขามาหมดแล้ว แต่เขายังไม่ได้สั่งโจมตี   ‘ถ้าหลูฮุยดูเตรียมตัวอย่างเคร่งเครียดขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดแน่’ หานเซิ่นคิด จากนั้นเขาก็หันไปหาหวังอวี่ฮัง “พวกเราต้องไปเช็คดูหน่อยว่าข้างนอกมีเกิดอะไรขึ้น”   พวกเขารีบออกจากเมือง และเมื่อพวกเขาไปถึงจุดที่มีการสู้รบ พวกเขาก็เห็นผู้วิวัฒนาการนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน พวกเขาแต่ละคนที่เพิ่งมาถึงต่างก็ทำหน้าตาตื่นเต้นมีความสุข เหมือนพวกเขาคิดว่าถูกเรียกมาล่ามอนสเตอร์ที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก   หลังจากที่เดินทางไปเป็นสิบไมล์ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของช้าง หานเซิ่นคิด ‘หรือว่ามันจะเป็นโครงกระดูกช้างจากภูเขาปีศาจ?’   ตอนนี้หวังอวี่ฮังเองก็คิดอย่างเดียวกัน พวกเขาหันมามองหน้ากัน พวกเขาเห็นมากับตาว่าช้างตัวนี้แข็งแกร่งและน่ากลัวขนาดไหน มันสามารถกลืนมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กได้ในคำเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดระดับท็อปแน่ ด้วยขนาดตัวที่มหึมา การจะหยุดมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย   หลังจากที่พวกเขาเดินกันต่อไปอีกไม่กี่ไมล์ พวกเขาก็เห็นโครงกระดูกช้างสีขาวกำลังวิ่งตรงเข้ามา แต่ละก้าวของมันทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน มนุษย์ที่อยู่รอบๆมันดูไม่ต่างจากมด