Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 644 ทีเร็กซ์บุกเมือง
Super God Gene – ตอนที่ 644 ทีเร็กซ์บุกเมือง

  มอนสเตอร์ตัวนี้ดูเหมือนกับไทแรนโนซอรัส(ทีเร็กซ์) มันมีเกล็ดสีแดงห่อหุ้มเอาไว้ทั้งตัว และมันยังมีปีกที่ห่อหุ้มด้วยเพลิง 4 ปีก เขาบนหัวของมันมีลักษณะเป็นเกรียวๆและมีเปลวไฟถูกพ่นออกมาจากจมูกของมันตลอดเวลา   ตาที่ดูเหมือนกับเปลวเพลิงของมันกำลังจ้องมาที่หานเซิ่นและหวังอวี่ฮัง มันหายใจออกมาเป็นควัน เหมือนกับปล่องภูเขาไฟที่พ่นควันออกมา   “แยกกัน คุณไปทางซ้าย ส่วนผมจะไปทางขวา” หานเซิ่นตะโกน ก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่งหนี   มอนสเตอร์ตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก แม้หานเซิ่นจะเรียกหน้าไม้นกยูงออกมายิงมัน แต่ก็ไม่น่าจะทะลุผ่านผิวหนังหนาๆของมันได้   เมื่อหวังอวี่ฮังได้ยินที่หานเซิ่นพูด เขาก็รีบวิ่งไปทางซ้ายทันที มอนสเตอร์พ่นไฟออกจากปากของมัน ซึ่งมันเผาไหม้วิหารสปิริต สิ่งก่อสร้างพังทำลายลงมาภายใต้ความร้อน   มอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับทีเร็กซ์เลือกที่จะวิ่งไล่ตามหวังอวี่ฮังไป เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะถูกทีเร็กซ์กิน หวังอวี่ฮังจึงวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด พร้อมกับร้องตะโกนไปตลอดทาง มันช่างเป็นภาพที่น่าเวทนา   ตอนนี้เสื้อผ้าของหวังอวี่ฮังเริ่มที่จะติดไฟแล้ว หวังอวี่ฮังร้องลั่น ขณะที่เขากำลังวิ่งสุดฝีเท้า   หานเซิ่นเองก็วิ่งเร็วยิ่งกว่าสายลม เขาคิด ‘คนคนนี้เป็นคนที่ดวงซวยจริงๆ มอนสเตอร์ดันเลือกเขา ทั้งๆที่เขาอยู่ไกลกว่าแท้ๆ แต่เป็นแบบนี้ก็ถือว่าดีแล้วล่ะ’ ขณะที่หานเซิ่นกำลังพูดกับตัวเอง เขาก็มาถึงทางออกเมืองโลหะดำแล้ว   แต่เขาก็ได้ยินเสียงของหวังอวี่ฮังที่ดังมา ซึ่งหวังอวี่ฮังยังคงถูกทีเร็กซ์ไล่ตามอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนเขาไม่น่าจะหนีรอดไปได้ ถ้าหานเซิ่นไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย   ‘อย่าไปสน พวกเราพึ่งจะพบกันครั้งแรก ยังไงเรากับเขาก็ไม่ได้สนิทกัน’ หานเซิ่นพยายามจะทำใจให้ได้ แต่ขาของเขาไม่ยอมทำตาม   แม้หวังอวี่ฮังจะเป็นคนที่ดวงซวยมาก แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร เขาถือเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่สำคัญเขายังเป็นอาของหวังเหมียนเหมียนด้วย หานเซิ่นจะรู้สึกผิดมากถ้าทิ้งให้เขาตาย   ‘แต่เขาดวงซวยมาก ถ้าเราไปช่วยชีวิตเขา เขาก็จะไม่รอดพ้นจากความตายในอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าเขายังดวงซวยอยู่แบบนี้’ หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นเขาก็กัดฟันและหันหลังกลับไป เขาวิ่งลุยกองเพลิงเข้าไปในเมืองอีกครั้ง   หวังอวี่ฮังตระหนักถึงความซวยของตัวเองดี แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะวิ่งตามคำแนะนำของหานเซิ่น ซึ่งเขารู้ดีว่ายังไงมอนสเตอร์ก็วิ่งตามเขาแน่ เขาถือเป็นคนดีจริงๆ   ‘ไม่เป็นไร เราจะทำเท่าที่ทำได้ แต่เราจะไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง เราจะช่วยเขา แต่เขาก็ต้องพยายามด้วยตัวเองด้วย’ หานเซิ่นเรียกหน้าไม้นกยูงออกมาและใส่ขนอีกาลงไป จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าไปใกล้ๆมอนสเตอร์   ตอนนี้ทั้งเกาะลึกลับกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว แค่ลมหายใจของทีเร็กซ์ก็สามารถละลายสิ่งก่อสร้างในเมืองได้แล้ว ที่สำคัญมันยังวิ่งได้เร็วมากอีกด้วย หวังอวี่ฮังไม่สามารถสลัดมันหลุดได้เลย ตอนนี้ร่างกายของเขามีบาดแผลที่เกิดจากไฟเผาหลายแห่ง เสื้อผ้าของเขาขาดและมีรอยไหม้จำนวนมาก ผมของเขากระเซอะกระเซิง   แต่แม้หวังอวี่ฮังจะเป็นคนที่โชคร้าย แต่เขาก็เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมาก ถึงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนั้น แต่เขาก็ยังวิ่งได้เร็วพอที่จะหลีกเลี่ยงการโจมตีจากทีเร็กซ์ได้ เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่มีบาดแผลที่น่าจะเป็นห่วง   หานเซิ่นไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ดังนั้นเขาเลยต้องสำรวจพื้นที่แถวนี้ก่อน เพื่อหาวิธีช่วยที่น่าจะปลอดภัยที่สุด เขาจะไม่บุกเข้าไปลุยแบบโต้งๆ การช่วยจากระยะไกลดูจะปลอดภัยมากกว่า   เมื่อสังเกตเห็นสภาพตอนเขาโดนวิ่งไล่ หานเซิ่นก็ตระหนักถึงความโชคร้ายของหวังอวี่ฮัง เขาไม่รู้ว่าทำไมทีเร็กซ์ถึงได้ตัดสินใจไล่ตามหวังอวี่ฮังแบบนั้น ราวกับว่ามันล็อคเป้าไว้แล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวาง มันก็จะไล่หวังอวี่ฮังให้ถึงที่สุด   ‘คนคนนี้น่าจะเป็นตัวชนให้ทีมได้ เขาเป็นตัวล่อมอนสเตอร์ชั้นดีเลย!’ หานเซิ่นสังเกตการณ์จากระยะไกล   หลังจากสังเกตได้สักพัก หานเซิ่นก็ยังมองไม่เห็นจุดอ่อนของมอนสเตอร์ตัวนี้เลย ทั้งตัวมันมีเกล็ดสีแดงห่อหุ้มไว้หมด แค่ดูเขาก็พอจะบอกได้เลยว่าเกล็ดของมันแข็งมากแค่ไหน   แต่ถึงมอนสเตอร์ตัวนี้จะไว แต่มันก็ถือว่าค่อนข้างช้าถ้าเทียบกับมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดตัวอื่นๆ ไม่ต้องเทียบกับอีกาเพราะมันเร็วเกินไป แม้จะเทียบกับลาขี่เมฆสีแดง ทีเร็กซ์ัตัวนี้ก็ยังดูช้ากว่าพอสมควร   ‘ถ้ามันวิ่งได้เร็วแค่นั้น เราก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวตอนมันวิ่งไล่แล้ว ลองดูหน่อยว่าเราจะเบนความสนใจได้ไหม’ หานเซิ่นกำลังยืนอยู่บนหลังคาสิ่งก่อสร้างภายในเมือง เขายกหน้าไม้นกยูงขึ้นมาเล็งไปที่ดวงตาของทีเร็กซ์ เมื่อเขามั่นใจแล้ว เขาก็เหนี่ยวไก   ปัง! หานเซิ่นยิงหน้าไม้จากระยะ 50 เมตร ในระยะแค่นี้สำหรับหานเซิ่นแทบไม่มีโอกาสพลาด การันตีได้เลยว่ายังไงขนอีกาก็ต้องพุ่งเข้าไปที่ดวงตาของทีเร็กซ์อย่างแน่นอน แต่ในตอนที่ขนอีกากำลังจะปะทะกับดวงตา ทีเร็กซ์ก็กระพริบตา   ขนอีกาแทงทะลุเข้าไป แต่เปลือกตาของมันหนามาก ขนอีกาคาอยู่บนเปลือกตาของมัน มันไม่สามารถสร้างความเสียหายกับดวงตาได้เลย   เปลือกตาของทีเร็กซ์เป็นส่วนที่ไม่มีเกล็ดป้องกัน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นจุดที่อ่อนกว่าจุดอื่นในร่างกาย หลังจากถูกยิง มันก็ชะงักไปชั่วครู่ มันส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด และหันไปมองทางหานเซิ่น   หานเซิ่นเริ่มวิ่งออกตัวก่อนที่ทีเร็กซ์จะไล่ตาม เขารู้สึกราวกับว่ามีดอกไม้ไฟลูกใหญ่กำลังไล่ตามหลังเขามา มันกำลังเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ อากาศรอบๆตัวเขาเริ่มร้อนขึ้น เสื้อผ้าของเขาพร้อมที่จะลุกไหม้   “น้องหาน นายเป็นคนดีจริงๆ ฉันเกือบคิดว่านายจะทิ้งฉันให้เป็นอาหารของไดโนเสาร์นั่น!” หวังอวี่ฮังซาบซึ้งในน้ำใจของหานเซิ่นมาก เขาตะโกนข้ามฝากมา   “ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้น” หานเซิ่นตอบกลับไป “ถ้าคุณดึงความสนใจของมันได้อีกสักครั้ง มันจะดีมาก ผมต้องการดูว่าผมจะสามารถยิงเข้าไปที่ดวงตาของมันได้ไหม ด้วยโชคของผม งานนี้อาจจะจบดีกว่าที่เราคิดก็ได้”   “แน่นอน” หวังอวี่ฮังไม่ลังเลที่จะตอบรับหานเซิ่น   หานเซิ่นกะให้หวังอวี่ฮังเรียกวิญญาณอสูรธนูออกมา หรือไม่อย่างน้อยก็เป็นหอกสำหรับขว้างก็ยังดี เพื่อดึงความสนใจของมอนสเตอร์ไป   แต่ใครจะไปรู้ว่าหวังอวี่ฮังกับไปเก็บก้อนหินมาแบบสุ่มๆ และก็ขว้างไปทางมอนสเตอร์ที่กำลังไล่หานเซิ่น   ปัง! ก้อนหินถูกขว้างไปโดนเกล็ดของทีเร็กซ์ ความรุนแรงที่มันทำได้เกือบจะเป็น 0   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าเหลือเชื่อ มันดึงความสนใจของมอนสเตอร์ไปที่เขาอย่างน่าประหลาด มันเลิกไล่ตามหานเซิ่น และก็หันกลับไปหาหวังอวี่ฮังทันที   “ทางนี้ ไอ้ไดโนเสาร์หน้าโง่ ฉันอยู่ตรงนี้มาไล่ฉันเร็ว เนื้อฉันมันน่าอร่อยนะ!” หวังอวี่ฮังเรียกทีเร็กซ์ เขาถึงขั้นโน้มตัวมาข้างหน้าและกวักมือเรียกทีเร็กซ์ จากนั้นเขาก็เอามือตีก้นตัวเองเพื่อล้อเลียนทีเร็กซ์   ตอนนี้เสื้อผ้าของหวังอวี่ฮังไหม้ไปเกือบจะหมดแล้ว และหานเซิ่นก็สามารถมองเห็นก้นของเขาได้อย่างชัดเจน หานเซิ่นถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่หวังอวี่ฮังทำ   หานเซิ่นมองไปที่เขาอย่างสิ้นหวัง เขาคิด ‘หมอนี้บ้าไปแล้วหรอ? สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่ดึงความสนใจของทีเร็กซ์ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนั้นเลย แค่โจมตีและวิ่งไปเรื่อยๆก็พอ’   ทีเร็กซ์ดูจะโกรธจัด มันส่งเสียงคำรามดังจนไปถึงท้องฟ้า จากนั้นมันก็พ่นไฟไปทางหวังอวี่ฮัง   เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังอวี่ฮังก็เริ่มวิ่งหนีไม่คิดชีวิต โดยมีทีเร็กซ์วิ่งตามไปติดๆ   “เห้ย! มันได้ผลจริงๆ” หานเซิ่นเบิกตากว้าง ในตอนแรกเขาคิดว่าหวังอวี่ฮังทำอะไรโง่ แต่เขาก็ต้องโยนความคิดนั้นทิ้งไปทันที “น้องหาน ฉันขอให้นายรีบๆลงมือ ก่อนที่ฉันจะถูกย่างซะก่อน!” หวังอวี่ฮังวิ่งเร็วสุดเท่าที่เขาทำได้ ส่วนมือของเขาก็พยายามจะดับไฟที่ก้น   “ยื้อไว้ก่อนอาเล็ก” หานเซิ่นยกหน้าไม้นกยูงขึ้นมา และเล็งไปที่ดวงตาของทีเร็กซ์อีกครั้ง  

Super God Gene – ตอนที่ 643 เจ้าหญิงว่างเปล่า
Super God Gene – ตอนที่ 643 เจ้าหญิงว่างเปล่า

  เธอคือสปิริตสาวในชุดเกราะที่ดูเหมือนกับชุดเดรส ซึ่งมันทำให้ขาที่งดงามของเธอดูโดดเด่นขึ้นมา หูของเธอมีลักษณะเป็นหูแหลมๆ และปีกที่ด้านหลังของเธอดูเหมือนกับปีกผีเสื้อ สปิริตตนนี้ดูงดงามเหมือนกับพวกเอลฟ์   เมื่อหวังอวี่ฮังเห็นสปิริตที่มีรูปร่างเหมือนเอลฟ์ เขาก็ยิ้ม “ตอนนี้ฉันเริ่มเสียใจแล้วสิที่ไม่ได้บุกเข้ามาที่นี่คนเดียว ไม่งั้นฉันก็คงจะมีโอกาสเอาชนะหล่อน และอาจจะได้สปิริตที่งดงามขนาดนี้มาครอบครอง”   “ถ้าอาเล็กอยากจะแข่งกับผม งั้นพวกเราบุกเข้าไปพร้อมกัน แล้วมาดูว่าใครจะได้เธอไปครอบครอง”   “ไม่ ตระกูลหวังจะไม่ทำอะไรที่เป็นการหยามเกียรติตัวเอง ฉันบอกแล้วว่าทุกอย่างจะเป็นของนาย น้องหาน” หวังอวี่ฮังพูด   หานเซิ่นไม่รอช้า เขาวิ่งตรงไปที่กลางวิหารทันที เมื่อสปิริตเห็นหานเซิ่นกำลังวิ่งตรงเข้ามา เธอก็ไม่ลังเลที่จะวิ่งเข้าไปต่อสู้กับเขา   ตอนนี้มอนสเตอร์ตัวอื่นล่าถอยไปหมดแล้วเหลือแค่สปิริตตนนี้ ซึ่งมันดูเป็นการต่อสู้ที่สิ้นหวัง   หานเซิ่นไม่อยากจะลงมือด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาเลยเรียกเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยางออกมา เขาปล่อยให้สปิริตต่อสู้กันเอง ส่วนตัวเขาก็เดินตรงไปที่สปิริตสโตน   “โอโห! สปิริตฝาแฝดงั้นหรอ?!” เมื่อหวังอวี่ฮังเห็นเจ้าหญิงหยินเเละเจ้าหญิงหยาง ตาของเขาก็เบิกกว้าง   สปิริตที่รูปร่างเหมือนกับเอลฟ์ต้องการจะเข้าไปหยุดหานเซิ่น แต่เธอก็ถูกเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยางเล่นงานอยู่ ทำให้เธอไม่มีโอกาสจะหยุดเขาได้ ไม่นานนักหานเซิ่นก็เดินไปถึงที่ตั้งสปิริตสโตน เขาหยิบสปิริตขึ้นมาทันที   “ข้า เจ้าหญิงว่างเปล่า ขอสามิภักดิ์ต่อเจ้านายคนใหม่ ข้าจะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านนับจากนี้ไปจนนิรันดร์” สปิริตที่มีรูปร่างเหมือนกับเอลฟ์ยอมจำนน เธอคุกเข่าลงต่อหน้าหานเซิ่น   หวังอวี่ฮังช็อคเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้แต่ยืนมองหานเซิ่นวางสปิริตสโตนลงบนหน้าผากของเจ้าหญิงว่างเปล่า มีแสงส่องออกมาจากสปิริตสโตน จากนั้นเจ้าหญิงว่างเปล่าก็หายไป   “หานเซิ่น.. ไม่สิฉันควรจะเรียกว่าน้องหาน… นายมันน่าเหลือเชื่อมาก นายทำแบบนั้นได้ยังไง? นายสอนฉันหน่อยได้ไหมว่าฉันต้องทำยังไง ถึงจะมีสปิริตระดับเจ้าหญิงแบบนั้นบ้าง” หวังอวี่ฮังเดินเข้ามาหาหานเซิ่น สีหน้าของเขาตอนนี้เหมือนกับเด็กๆ   “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ” หานเซิ่นพูด   “โชคเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยมี ฉันเฝ้าสวดภาวนาทุกวัน โดยเฉพาะก่อนที่ฉันจะบุกเมืองสปิริต ฉันถึงขั้นไปอาบน้ำมนตร์ แต่สปิริตทุกตนที่ฉันเจอกับยอมทำลายสปิริตสโตนของตัวเองมากกว่าที่จะยอมจำนน” สีหน้าของหวังอวี่ฮังดูท้อแท้   “อาเล็ก ผมเสียใจจริงๆที่ผมคงจะช่วยอะไรคุณเกี่ยวกับเรื่องนี่ไม่ได้” หานเซิ่นทำหน้าเหมือนอยากจะช่วย แต่เรื่องนี้เห็นทีว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้จริงๆ   “จริงหรอ? งั้นนายสอนฉันหน่อยได้ไหมว่าฉันต้องทำยังไง? หรือถ้านายอยากจะขายสปิริตสักตน ฉันก็ยอมจ่ายในราคาสูง” หวังอวี่ฮังเกือบจะน้ำลายไหลออกมาในขณะที่เขากำลังพูด ตาของเขายังคงมองเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยาง เขาพูดต่อ “นายอยากจะขายเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย เรื่องเงินมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉันอยู่แล้ว”   “อาเล็ก แบบนี้เป็นยังไง? ครั้งหน้าถ้าคุณเจอสปิริต คุณก็มาเรียกผม เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปสัมผัสสปิริตสโตนให้เอง โชคของผมน่าจะดีกว่าคุณ ผมมั่นใจ 90%ว่าสปิริตจะยอมจำนน” หานเซิ่นรีบเรียกเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยางกลับ   หานเซิ่นทุ่มเทแรงและเวลาไปเยอะมากกว่าจะได้สปิริตคู่แฝดนี้มา ไม่มีทางเลยที่เขาจะขายพวกเธอ ยิ่งกว่านั้นเขามักจะเรียกพวกเธอออกมานวดไหล่ให้เขาบ่อยๆ บวกกับปราสาทคริสตัลมีขนาดใหญ่มาก การมีสปิริตคอยช่วยงานย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า   “แบบนั้นก็ฟังดูเข้าท่าดี ถ้าเป็นแบบนั้นความสุขในอนาคตของฉันก็อยู่บนบ่าของนายแล้ว” หวังอวี่ฮังเลียริมฝีปาก ตอนนี้เขาเหมือนพยายามจะซ่อนความผิดหวังที่ไม่สามารถซื้อสปิริตแฝดได้   แต่หวังอวี่ฮังก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก หลังจากที่ได้ยินว่าหานเซิ่นจะช่วยเขาในครั้งหน้า จากที่ได้เห็นเจ้าหญิงหยินและเจ้าหญิงหยางแล้ว บวกกับที่ได้เห็นหานเซิ่นได้ความภักดีจากเจ้าหญิงว่างเปล่าอีก หวังอวี่ฮังก็รู้สึกว่าเทพีแห่งโชคลาภเหมือนจะอยู่ข้างหานเซิ่นจริงๆ   “เอ่อ อาเล็ก นี่มันยุคไหนแล้ว? คุณยังเชื่อเรื่องโชครางอยู่อีกหรอ?” หานเซิ่นพูด   “น้องหาน นายไม่รู้ถึงความเจ็บและทรมานของคนที่ต้องอยู่โดยมีแต่โชคร้าย เดี๋ยวฉันจะให้นายได้เห็นว่าพี่ใหญ่คนนี้เป็นคนที่โชคร้ายแค่ไหน ความอับโชคมันติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิด รู้ไหมว่าสมัยที่ฉันอยู่โรงเรียน ห้องของฉันมีผู้ชาย 25 คน ผู้หญิง 23 คน ซึ่งที่นั่งจะถูกจับแบ่งกันเป็นคู่ชายหญิง และจะมีแค่ 1 คู่ที่เป็นชายทั้งคู่ รู้ไหมว่าทุกปี 1 ในชายผู้โชคร้าย 2 คนนั้นจะต้องเป็นฉัน ฉันไม่เคยได้นั่งกับผู้หญิงเลยตลอดเวลาที่เรียนอยู่” หลังจากหวังอวี่ฮังเล่าเรื่องความรันทดสมัยเรียนแล้ว ตาของเขาก็มีน้ำตาคลอ แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ หวังอวี่ฮังยังคงพูดต่อ “และตอนที่พวกเราเล่นเกม ฉันก็ต้องจับคู่กับผู้ชายที่นั่งข้างๆ แต่เขาดันมักจะไม่มีเรียน ฉันเลยต้องไปจับคู่กับคุณครูเกือบจะทุกวัน นายไม่รู้ถึงความเจ็บปวดของฉันหรอกน้องชาย! นายไม่เข้าใจ!”   “และหลังจากที่ฉันเรียนจบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ฉันก็ยังไม่เคยถูกล็อตล็อตตารี่เลย ฉันไม่เคยชนะเกมที่ต้องใช้ดวงเลยด้วย ถ้าฉันออกไปล่ามอนสเตอร์ตัวเล็กๆ ฉันขอรับประกันเลยว่าฉันจะเป็นตัวเรียกให้พวกมอนสเตอร์โหดๆเข้ามารุมยำ เมื่อฉันฆ่ามอนสเตอร์พวกนั้นได้ ฉันก็ไม่เคยได้วิญญาณอสูรเลยสักครั้ง แม้ฉันจะได้สปิริตสโตน แต่ฉันก็ไม่เคยได้ความภักดีจากสปิริตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันต้องทนทุกข์กับโชคชะตาจนกระทั่งทุกวันนี้ หลังจากที่ฉันได้พบนาย ก็เหมือนกับมีเทพมาโปรด” น้ำตาของหวังอวี่ฮังไหลออกมา ในขณะที่เขาเล่าเรื่อง เขากุมมือของหานเซิ่นเอาไว้ มันเป็นภาพที่เหมือนกับคนที่โสดมาตลอด 30 ปีได้พบผู้หญิงที่มีชะตาต้องกันเป็นครั้งแรก   “เอ่อ… อาเล็ก? ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าผมมี…งาน ใช่ๆผมมีงานที่จะต้องรีบไปจัดการตอนนี้เลย ไว้พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันวันหลังเป็นยังไง?” หานเซิ่นรู้สึกว่าไม่ควรอยู่ใกล้คนคนนี้   หวังอวี่ฮังคือคนที่ดวงซวยแบบโคตรซวย หานเซิ่นไม่เคยเห็นใครจะดวงซวยเท่านี้มาก่อน หานเซิ่นคิดว่าเขาควรจะรีบออกไปห่างๆชายคนนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่โชคของเขาจะถูกความซวยของคนคนนี้บดบังจนหมด   แต่หวังอวี่ฮังก็ยังคงจับมือของเขาแน่น ราวกับว่าเขาพบของล่ำค่า เขาอยากที่จะอยู่พึ่งพาหานเซิ่นไปทั้งชีวิต หานเซิ่นพยายามจะดึงมือของเขากลับไป แต่หวังอวี่ฮังไม่ยอม   เสียงคำราม! ทันใดนั้นอยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังมากจนทำให้พื้นสั่นสะเทือน หานเซิ่นรู้สึกวิงเวียนจากความดังของเสียง เขาเกือบที่จะล้มลงไป   “โอ้ไม่!” สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไปทันที ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงอันตราย แต่จิ้งจอกสีเงินก็ด้วย มันส่งเสียงขู่ไปทางที่เสียงคำรามดังมา   หานเซิ่นรีบออกจากวิหารสปิริตทันที หวังอวี่ฮังเองก็รีบวิ่งตามหานเซิ่นไปเช่นกัน   พวกเขา 2 คนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และสิ่งที่พวกเขาเห็นทำให้พวกเขาต้องหน้าซีด   หลังจากที่หานเซิ่นได้ความภักดีจากสปิริต มอนสเตอร์ทุกตัวในเมืองต่างก็หนีไปจนหมด แต่เหลืออยู่เพียง 1 ตัว มันกำลังพุ่งทะลุก้อนเมฆตรงมาที่เกาะลึกลับ   ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังถูกเปลวไฟเผา และอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็มีเงาขนาดใหญ่ล่อนลงมาที่เมืองโลหะดำ ซึ่งมันทำให้ทั้งเกาะสั่นสะเทือน ห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ 20 เมตร มีมอนสเตอร์ตัวหนึ่งกำลังจ้องมาที่พวกเขาด้วยดวงตาที่เหมือนกับเปลวไฟ  

Super God Gene – ตอนที่ 642 เข้าใจผิด
Super God Gene – ตอนที่ 642 เข้าใจผิด

  หานเซิ่นเดินเข้าไปในเมืองที่ทำจากโลหะสีดำ ซึ่งดูค่อนข้างน่ากลัว ทันใดนั้นก็มีเงาใครบางคนบินขึ้นมาที่เกาะลึกลับ หานเซิ่นขมวดคิ้วและพูดเสียงดัง “ฉันก็สั่งไปแล้วว่าอย่าขึ้นมาที่เกาะลึกลับ ใครมันกล้าขัดคำสั่ง?”   หานเซิ่นกำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองโลหะดำ เขาสังเกตเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังบินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เนื่องจากเขาไม่ได้มีจิ้งจอกสีเงินเหมือนกับหานเซิ่น ทำให้เขาถูกพวกมอนสเตอร์ไล่ตามมาเป็นฝูง   เขาต่อสู้ตลอดทางที่เขาบินผ่านมา ทั้งกระดูกและเลือดสาดกระจายเต็มท้องฟ้า ซากของมอนสเตอร์ล่วงลงไปนับไม่ถ้วน เขากำลังบินตรงมาที่เมืองโลหะดำ ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนหยุดเขาได้   เมื่อหานเซิ่นเห็นหน้าของเขาแล้ว หานเซิ่นก็พบว่าเขาเป็นคนที่หานเซิ่นไม่รู้จัก เขามีผมสีดำและสวมชุดเกราะสีดำ ดวงตาของเขาดูค่อนข้างเป็นมิตร เขาถือดาบสีทองแดงในมือ ทั้งระดับความแข็งแกร่งและฝีมือดาบของเขาดูไม่ธรรมดาเลย   “แปลก ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นหน้าคนคนนี้มาก่อนเลย?” ด้วยฝีมือระดับนั้นถ้าคนคนนี้อยู่ในทุ่งน้ำแข็ง เขาน่าจะต้องจำได้บ้าง   ชายคนนั้นพุ่งตรงเข้ามา เมื่อเขาเห็นหานเซิ่นยืนอยู่บนกำแพงสูง เขาก็ดูจะประหลาดใจมาก   หานเซิ่นกำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองสปิริต โดยที่ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหน เข้ามาใกล้เขาเลย จิ้งจอกสีเงินกำลังพักผ่อนอย่างสงบอยู่บนไหล่ของเขา ทั้งหานเซิ่นและชายอีกคนมองกันด้วยความประหลาดใจ   แต่ไม่รู้ว่าชายคนนั้นคิดยังไง อยู่ๆเขาก็บุกเข้ามาเปิดฉากโจมตีหานเซิ่นด้วยดาบของเขาทันที โดยไม่มีการเตือนใดๆ   หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เข้าใจอะไรผิดหรือว่าบ้าไปแล้วกันแน่ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ อยู่ๆเขาก็กระหน่ำโจมตีด้วยวิชาดาบอันร้ายกาจ เหมือนเขาพยายามจะฆ่าหานเซิ่นให้ได้   ด้วยกระแสพลังที่เคลือบตัวดาบ ขณะที่ดาบวาดผ่านอากาศทำให้เห็นเป็นลำแสง ดัวยพลังลักษณะนี้เห็นได้ชัดเลยว่าชายคนนี้่ปลดล็อคยีนได้แล้ว   หานเซิ่นคิดว่าชายคนนี้คิดจะแย่งสปิริตกับเขาอย่างแน่นอน หานเซิ่นตัดสินใจต่อสู้กับเขาโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน   หวังอวี่ฮังแปลกใจตั้งแต่เริ่มต่อสู้ เขาเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้มากกว่า 10 ปีแล้ว และเขาก็เคยบุกโจมตีเมืองสปิริตราชวงศ์มาหลายเมือง   หลังจากที่เขาปลดล็อคยีนได้ เขาก็ไม่เจอคู่ต่อสู้ที่พอจะต้านทานพรสวรรค์ของเขาได้เลย หลังจากปะทะดาบกับหานเซิ่นได้ไม่กี่วินาที ดาบทั้ง 2 ของหานเซิ่นก็กวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ   เขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เขาไม่คิดว่าสปิริตราชวงศ์จะแข็งแกร่งขนาดนี้   หานเซิ่นเองก็คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งไม่น้อยเลย เขาใช้ดาบคู่จนสุดฝีมือแล้ว แต่เขาก็ต้องการเวลามากพอสมควรเพื่อที่จะเอาชนะชายคนนี้ให้ได้   คู่ต่อสู้ไม่ใช่แค่คล่องแคล่วและแม่นยำ แต่เขายังมีความสามารถที่หลากหลายมาก ดูยังไงชายคนนี้ก็คืออัจฉริยะ ซึ่งเขาต้องเป็นคนจากตระกูลใหญ่แน่ หานเซิ่นคิดว่าชายคนนี้อาจจะแข็งแกร่งกว่าเสวียอี้ขวงซะอีก   “ฉันไม่อยากจะมั่วมาทะเลาะกับนาย แม้การครองเมืองสปิริตราชวงศ์จะเป็นเป้าหมายของนาย แต่การจะฆ่าฉันมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” หานเซิ่นเตรียมจะเอาหน้าไม้นกยูงออกมาฆ่าคนคนนี้ เพราะเขาไม่ต้องการจะเสียเวลากับการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาตัดสินใจจะแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด   “นายไม่ใช่สปิริตงั้นหรอ?” หวังอวี่ฮังได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด เขาดูจะประหลาดใจมาก เขารีบเก็บวิญญาณอสูรของเขาทันที เขามองมาที่หานเซิ่นด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ   “นายดูฉันผิดเป็นสปิริตเนี่ยนะ? นายเคยเห็นสปิริตแบบนี้มาก่อนหรอ?” หานเซิ่นถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าชายคนนี้จะมองเห็นเขาเป็นสปิริตไปได้   หวังอวี่ฮังสังเกตหานเซิ่นอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาโค้งคำนับหานเซิ่น “ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ต้องการจะทำร้ายนาย ฉันเห็นนายยืนอยู่บนกำแพงสูง และยังไม่มีมอนสเตอร์เข้ามาใกล้ๆเลย ไม่ว่าจะดูยังไงนายก็น่าจะเป็นผู้ครองเมืองนี้ ฉันจึงคิดว่านายน่าจะเป็นสปิริต ฉันต้องขอโทษอีกครั้ง ฉันขอทราบชื่อนายหน่อยได้ไหม?”   หานเซิ่นคิดว่าคำตอบของเขาดูจะสมเหตุสมผลอยู่ เขายิ้มและตอบกลับไป “ฉันหานเซิ่น ถ้านายอยู่ที่นี่ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของฉันมาบ้าง”   “นายเองหรอหานเซิ่น?” หวังอวี่ฮังประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ เขาถามต่อ “นายคือหานเซิ่น คนที่จบมาจากโรงเรียนทหารเหยี่ยวดำใช่ไหม?”   “ถ้าเหยี่ยวดำไม่มีหานเซิ่นคนที่ 2 ละก็ หานเซิ่นคนนั้นก็คือฉันเอง” หานเซิ่นตอบ   “มันจะเป็นไปได้ยังไง? นายเพิ่งจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้แค่ปีเดียวเอง ตอนนี้นายปลดล็อคยีนได้แล้วงั้นหรอ พระเจ้า บอกฉันมาว่านายทำได้ยังไง?” เมื่อได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด หวังอวี่ฮังก็ดูจะไม่สับสนอีก แต่เขาประหลาดใจแทน   “ผมคงจะต้องตอบว่ามันเป็นเพราะพรสวรรค์ล้วนๆ” หานเซิ่นเอามือสัมผัสจมูก บางทีเขาก็ยังรู้สึกไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าแค่ 1 ปีจะมาได้ไกลขนาดนี้   หวังอวี่ฮังอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นเขาก็พูด “สำหรับคนที่ปลคล็อคยีนได้ใน 1 ปี หลังจากที่เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 นี่มันยิ่งกว่าพรสวรรค์ นี่มันโคตรอภิมหาพรสวรรค์!”   หลังจากนั้นหวังอวี่ฮังก็เริ่มแนะนำตัว “ชื่อของฉันคือหวังอวี่ฮัง ฉันคืออาของหวังเหมียนเหมียน ก่อนที่ฉันจะเดินทางมายังดินแดนนี้ เหมียนเหมียนแนะนำให้ฉันลองมาหานายดู เธอให้ฉันมาดูว่านายต้องการความเชื่อเหลืออะไรไหม แต่ตอนนี้เห็นชัดๆเลยว่าคงไม่ต้อง”   “คุณคืออาของเหมียนเหมียนหรอเนี่ย?” ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายหานเซิ่นที่ประหลาดใจ   “ใช่ ฉันเป็นอาของเธอ เห็นหน้าฉันแบบนี้แต่ฉันแก่กว่าเธอ 20 ปี” หวังอวี่ฮังยิ้ม จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ถ้านายต้องการจะเรียกฉันว่าอาเล็กเหมือนที่เหมียนเหมียนเรียกก็ได้ แต่ถ้าคำว่าอาดูไม่เหมาะ งั้นก็เรียกว่าพี่หวังก็ได้ ”   “ผมขอเรียกว่าอาเล็กดีกว่า อาเล็ก ผมไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้เหมียนเหมียนฟังยังไงเกี่ยวกับการพบกันในวันนี้” หานเซิ่นไอขณะพูด ชายคนนี้แก่กว่าเขาถึง 20 แต่เขาพูดราวกับว่าชายคนนี้เป็นแค่เด็กหนุ่ม   “ตอนนี้พวกเราก็รู้จักกันแล้ว ซึ่งพวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล พวกเรามาสู้กันอย่างบริสุทธิยุติธรรม พวกเขาจะบุกเข้าไปในเมืองพร้อมกัน ใครที่โจมตีปิดฉากมอนสเตอร์ได้ ซากของมอนสเตอร์จะเป็นของคนคนนั้น แต่ไม่ว่ายังไงเมืองนี้จะต้องตกเป็นของนาย โอเคไหม”   “อาเล็ก ผมว่าคุณน่าจะเข้าไปข้างในคนเดียวดีกว่า ถ้าเข้าไปด้วยกันมันจะไม่ค่อยสะดวก” หานเซิ่นแนะนำ   “คอยเดี๋ยวน้องหาน นายคิดจะต่อให้ฉันงั้นหรอ?” หวังอวี่ฮังยิ้ม   หานเซิ่นชี้ไปที่จิ้งจอกสีเงินบนไหล่ จากนั้นเขาก็พูด “สัตว์เลี้ยงของผมตัวนี้มีพลังพิเศษ ตราบใดที่มันอยู่กับผมจะไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนกล้าเข้ามาใกล้ ถึงจะมีมอนสเตอร์มากมายราวกับคลื่นทะเล แต่ถ้าผมเดินเข้าไป มันก็จะเปิดทางให้ ถ้าพวกเราไปพร้อมกัน ผมกลัวว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย”   “สัตว์เลี้ยงแบบนั้นมีอยู่จริงหรอ? นี่มันน่าทึ่งมาก!” หวังอวี่ฮังช็อคอีกครั้ง เขามองจิ้งจอกด้วยความสงสัย ตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมรอบๆตัวหานเซิ่นถึงไม่มีมอนสเตอร์อยู่เลย   “ช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่มหัศจรรย์ ตัวแค่นี้แต่กลับมีพลังที่ยิ่งใหญ่ ถ้ามีจิ้งจอกตัวนี้อยู่ นายก็สามารถเข้าไปในวิหารสปิริตได้ง่ายๆเลยหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น นายสามารถยึดเมืองสปิริตได้มากตามที่ต้องการ” หวังอวี่ฮังสงสัย   “ความสามารถของมันจะใช้ได้ผลกับแค่มอนสเตอร์เท่านั้น น่าเสียดายที่มันใช้กับสปิริตไม่ได้ เพราะฉะนั้นยังต้องสู้กับสปิริตแบบปรกติอยู่” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องปกปิดข้อมูลอะไร   “อืมม แค่นี่มันก็ถือว่าดีเกินพอแล้ว งั้นก็เข้าไปข้างในกันดีกว่า แสดงให้ฉันดูหน่อยว่านายมีความสามารถอะไรซุกซ่อนอยู่” หวังอวี่ฮังจับแขนเสื้อของหานเซิ่น และก็เดินนำเข้าไปในเมืองสปิริตราชวงศ์ทันที   ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกที ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนกล้าเข้ามาขวางทางพวกเขา แม้จะต้องใช้เวลามากหน่อย แต่พวกเขาก็สามารถหาวิหารสปิริตเจอได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งมันทำให้หวังอวี่ฮังประหลาดใจมาก   “เป็นสัตว์เลี้ยงที่ทรงพลังจริงๆ!” หวังอวี่ฮังไม่สนใจเมืองสปิริตแล้ว ตอนนี้เขาเอาแต่จ้องมองจิ้งจอกสีเงิน ดูเหมือนเขาจะต้องการสัตว์เลี้ยงแบบนี้สักตัว   หานเซิ่นจ้องมองสปิริตที่อยู่ต่อหน้า ซึ่งมันทำให้เขายิ้มออกมาทันที  

Super God Gene – ตอนที่ 641 เมืองบนเกาะลึกลับ
Super God Gene – ตอนที่ 641 เมืองบนเกาะลึกลับ

  หลังจากกลับมาถึงเมือง หานเซิ่นก็ขอให้หยางม่านลี่รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่   เนื่องจากมีคนน้อยมากที่มีปีกระดับสูง เลยยังไม่มีใครกล้าที่จะขึ้นไปบนเกาะลึกลับ ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เริ่มโจมตีเมืองสปิริตราชวงศ์บนเกาะลึกลับเลย เนื่องจากพวกเขามีกำลังไม่มากพอ   มีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังบินขึ้นลงอยู่แถวเกาะ แต่กระนั้นยอดผู้บาดเจ็บล้มตายในทุ่งน้ำแข็งก็มีไม่มาก เนื่องจากพวกเขาสามารถฆ่าพวกมอนสเตอร์ที่บุกลงมาข้างล่างได้   แต่ช่วงนี้มอนสเตอร์ที่บุกลงมาเริ่มมีแต่มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้คนที่อยากจะออกไปล่าในทุ่งน้ำแข็งประสบความยากลำบากมาก พวกเขาจะต้องจับกลุ่มกันออกไปล่า เพื่อที่จะได้ไม่โดนพวกมอนสเตอร์บุกลงมาเล่นงาน   ส่วนเมืองสปิรตราชวงศ์บนเกาะลึกลับนั่นมีหน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่มีใครรู้ เนื่องจากยังไม่มีใครกล้าพอที่จะขึ้นไปข้างบน เลยยังไม่มีใครได้เห็นตัวสปิริตราชวงศ์   หยางม่านลี่และคนสนิทต่างก็ช่วยกันจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พวกเขาพยายามสังเกตการณ์มอนสเตอร์จำนวนมากที่บินอยู่แถวเกาะลึกลับ   “เอาไว้หารือเกี่ยวกับแผนการโจมตีเมืองสปิริตราชวงศ์กันวันหลงเถอะ ตอนนี้เธอไปพักได้แล้ว” หานเซิ่นรู้ว่าหารือไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ตอนนี้กองกำลังของทุ่งน้ำแข้งยังอ่อนแอ ที่นี่ขาดแคลนคนที่มีปีก ไม่ว่าจะพูดคุยหรือวางแผนกันยังไงก็แก้ปัญหาตรงจุดนี้ไม่ได้   แม้มันจะดูน่าเสียดาย แต่หานเซิ่นก็ต้องพาจิ้งจอกสีเงินขึ้นไปกับเขาด้วยเพื่อความปลอดภัย ถ้ามีจิ้งจอกสีเงินไปด้วย พวกมอนสเตอร์ที่บินได้ก็จะไม่เข้ามาโจมตีเขา และเขายังสามารถบุกไปถึงวิหารที่เป็นที่ตั้งของสปิริตสโตนได้อย่างไม่ยากเย็น จากนั้นเขาก็แค่จัดการสปิริตก็จบเรื่อง   แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะเมืองที่อยู่บนเกาะต้องเป็นเมืองขนาดใหญ่อย่างแน่นอน การจะหาที่ตั้งของสปิริตสโตนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ   “ลูกพี่ คุณฆ่าเฉินรันหรอ?” หลังจากที่ทุกคนออกไปกันแล้ว จูถิงก็เข้ามาหาหานเซิ่นและถามด้วยใบหน้าเศร้าๆ   “ฉันไม่รู้” หานเซิ่นไม่ยอมรับและก็ไม่ปฏิเสธด้วย   ไม่มีเหตุผลที่หานเซิ่นจะต้องปฏิเสธ เพราะลูกน้องของเฉินรันหลายคนก็หนีรอดไปได้ ยังไงคนพวกนั้นก็ต้องไปรายงานให้ตระกูลเฉินรู้อยู่แล้ว และอีกไม่นานจะต้องมีคนมาเอาเรื่องเขาอย่างแน่นอน   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังไม่อยากจะยอมรับ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาเป็นคนฆ่าเฉินรันตายกับตา และร่างของเฉินรันก็ถูกเผาไปแล้วด้วย   จูถิงดูจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เขามองหานเซิ่นและพูด “เฉินรันคือหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูล เขาคือผู้วิวัฒนาการที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว และเขายังเป็นคนที่มีจิตใจไม่ต่างจากปีศาจ การที่เขาตายด้วยมือคุณคงจะเป็นเรื่องที่ตระกูลเฉินช็อคมาก พวกเขาไม่กล้าที่จะมาทำอะไรคุณที่นี่ก็จริง เพราะคุณอยู่ภายใต้การป้องกันของกำแพงเมือง แต่ถ้าเป็นข้างนอกล่ะ? ในป่าล่ะ? คุณควรจะต้องหาทางรับมือ”   “ฉันไม่ได้ฆ่าเขา ถึงแม้ฉันจะทำจริง แล้วพวกเขาจะกล้าฆ่าทหารของสหพันธ์อย่างงั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่กลัวตระกูลเฉิน   หานเซิ่นยังคงเป็นสมาชิกของหน่วยพิเศษ เขามียศพันตรีและยังเป็นทหารบนยายแดฟเน่ด้วย ขณะที่ในก็อตแซงชัวขี่ เขาก็คือผู้ครองทุ่งน้ำแข็ง ไม่ว่าตระกูลเฉินจะยิ่งใหญ่แค่ไหน การจะฆ่าหานเซิ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย   “มันอาจจะยากสำหรับพวกเขาที่จะเล่นงานคุณ แต่ยังไงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉินก็มีคนมีฝีมือมากมาย เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้ แม้คนส่วนมากในตระกูลจะไม่อยากมายุ่งกับคุณ เพราะกลัวจะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลจีและตระกูลซิน แต่ก็ยังมีพวกส่วนน้อยที่พร้อมจะเคลื่อนไหว” จากนั้นจูถิงหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “เฉินรันมีพี่ชายแท้ๆอยู่ และเขาก็เป็นผู้เป็นเลิศ เขาคือหนึ่งในคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลเฉิน เขาเป็นคนที่มีแค้นแล้วต้องชำระ ถึงเขาจะไม่กล้าฆ่าคุณในที่สาธารณะ แต่มันก็ยังมีอีกหลายวิธีที่เขาจะใช้ได้”   “ยกตัวอย่างให้ฉันฟังหน่อย” หานเซิ่นพูด   “ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้วิธีอะไร แต่ก็ขอให้คุณระวังไว้ก็พอแล้ว” จูถิงส่ายหัว   “นายก็มาจากตระกูลเฉิน นายไม่กลัวหรือเสียใจเลยหรอที่ฉันฆ่าเฉินรัน?” หานเซิ่นมองจูถิงด้วยสีหน้าแปลกๆ   จูถิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาพูด “ผมก็เหมือนกับเป็นคนอื่น พวกเขายังมีเด็กเก่งๆอีกมากที่ต้องดูแล คนไม่เอาไหนอย่างผมไม่ถือว่าอยู่ระบบเดียวกับพวกเขา คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงต้องเรียนน้ำหอมสังหาร?”   หานเซิ่นมองจูถิงอย่างใจจดใจจ่อ เขารอให้จูถิงอธิบาย   “ในสมัยก่อนตั้งแต่ที่มนุษย์ยังไม่ออกจากดาวโลก ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ครอบครองประเทศ ซึ่งพระราชามักจะถูกมือสังหารลอบเล่นงานด้วยวิธีการสารพัด แต่ส่วนมากพวกเขาก็มักจะถูกฆ่าด้วยยาพิษ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงได้ฝึกผู้ทดสอบหรือชิมอาหารขึ้นมา คนพวกนี้จะมีหน้าที่ชิมอาหารก่อนพระราชาเพื่อยืนยันว่าไม่มีพิษ วิชาน้ำหอมสังหารถูกสอนให้กับคนที่จะต้องทำหน้าที่นั้น ถ้าสิ่งที่พวกเขากินเข้าไปมีพิษ ร่างกายของพวกเขาก็จะส่งกลิ่นหอมๆออกมา ถ้าพิษมันรุนแรงเกินไปสำหรับพวกเขา พวกเขาก็อาจจะตายได้”   “น้ำหอมสังหารเป็นวิชาที่ทรงพลัง มีพิษไม่กี่ชนิดที่สามารถผ่านการป้องกันของมันได้ไม่ใช่หรอ?” หานเซิ่นถาม   จูถิงส่ายหัว “พิษที่จะใช้ฆ่าพระราชานั้นไม่ใช่พิษธรรมดาๆ เหตุผลที่น้ำหอมสังหารเป็นวิชาที่ทรงพลังก็เพราะมันผ่านดัดแปลงจากประสบการณ์ตรง ทุกครั้งที่ถูกพิษชนิดใหม่ๆ น้ำหอมสังหารก็จะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น กว่าจะได้น้ำหอมสังหารอย่างทุกวันนี้ มีคนตายไปแล้วนับไม่ถ้วน” “มีแค่ผู้รับใช้ของตระกูลที่จะได้เรียนน้ำหอมสังหาร มีเพียงแค่สมาชิกจริงๆของตระกูลเฉินเท่านั้นที่จะได้เรียนวิชาลับของตระกูลอย่างเซเว่นทวิสต์ แล้วอย่างงี้คุณยังคิดว่าผมถือเป็นคนตระกูลเฉินอยู่ไหม?”   จูถิงถอนหายใจ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เฉินจิ่วหลิ่งสั่งผมมาว่าให้หาวิธีอะไรก็ได้ฆ่าคุณ แต่ผมรู้ว่าผมไม่มีทางทำได้ ดังนั้นผมจึงไม่มีวันได้กลับไปตระกูลเฉินอีกแล้ว ผมทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ ผมคงจะไม่กล้าออกไปนอกกำแพงอีก”   “ตอนนี้นายอยู่ที่นี่ ตราบใดที่นายอยู่ทุ่งน้ำแข็งจะไม่มีคนจากตระกูลเฉินคนไหนแตะต้องนายได้แม้แต่ปลายเล็บ” หานเซิ่นพูดด้วยความสงสาร แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่จูถิงพูดมาจะจริงมากน้อยแค่ไหน และหานเซิ่นก็ไม่รู้ด้วยว่าจูถิงเลือกอยู่ข้างเขาเพราะผลประโยชน์หรือไม่ แต่ถ้าเขาเลือกจะทำงานให้หานเซิ่น หานเซิ่นก็จะปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี   หลังจากจูถิงออกจากห้องไปแล้ว หานเซิ่นก็ออกจากเมือง เขาหาที่ลับตาคนและเรียกปีกวิญญาณอสูรออกมา จากนั้นเขาก็บินตรงขึ้นไปยังเกาะลึกลับทันที พร้อมกับจิ้งจอกสีเงิน   ด้วยการที่เขาพาจิ้งจอกสีเงินมาด้วย ทำให้มอนสเตอร์ไม่กล้าที่จะมาขวางทางเขา   เกาะลึกลับนี้มีขนาดใหญ่กว่าเกาะลึกลับที่เขาเคยเห็นในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 มาก จากระยะไกลหานเซิ่นมองเห็นเมืองที่ทำจากโลหะสีดำตั้งอยู่ตรงกลางเกาะ   ถึงมันจะเล็กกว่าเมืองสปิริตราชวงศ์ของเจ้าหญิงหยินกับเจ้าหญิงหยางมาก แต่ดูจากมอนสเตอร์ที่บินอยู่รอบๆเมืองแล้ว หานเซิ่นสามารถบอกได้เลยว่าเมืองสปิริตนี้แข็งแกร่งกว่าเมืองสปิริตอื่นที่เขาเคยเห็นมามาก   แต่ตอนนี้พวกมอนสเตอร์นั้นไม่ได้มีผลกับหานเซิ่นอีกต่อไป หานเซิ่นบินลงไปที่หน้าประตูเมืองอย่างสงบ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปข้างใน   บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเมืองนี้อยู่บนเกาะลอยฟ้า ทำให้มอนสเตอร์ทุกตัวที่อยู่บนเกาะนี้เป็นมอนสเตอร์ประเภทบินได้ทั้งหมด   มีนกยักษ์ เสือมีปีก มอนสเตอร์ที่มี 4 ปีก หรือแม้แต่งูยักษ์ที่มีปีกก็ยังมี พวกมันบินไปมาบนท้องฟ้า ราวกับเป็นหลังคาของเมือง  

Super God Gene – ตอนที่ 640 เหาะเหินเดินอากาศ
Super God Gene – ตอนที่ 640 เหาะเหินเดินอากาศ

  “น้องหาน ฉันบอกนายไปทุกอย่างแล้ว รีบมาช่วยฉันเร็วเข้า!” เฉินรันร้องขออีกครั้ง   “เฒ่าเฉิน ผมตั้งใจจะช่วยคุณจริงๆ แต่สิ่งที่คุณพูดมามันไม่เป็นความจริง คุณพยายามจะฆ่าผม” หานเซิ่นมองเฉินรันพร้อมกับถอนหายใจ   สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไปทันที “น้องหาน ทำไมนายพูดแบบนั้น ฉันพูดความจริงทุกอย่าง ในสภาพแบบนี้ฉันจะมีปัญหาไปฆ่านายได้ยังไง?”   “หลังจากผ่านทางเข้าแล้ว ผมควรจะขึ้นไป 9 ขั้นไม่ใช่ลง” หานเซิ่นพูดอย่างเยือกเย็น   สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไป แต่เขายังคงยืนกรานว่าเขาพูดความจริง “เป็นไปได้ยังไง? ฉันถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆว่าต้องลง 9 ขั้น”   “หลังจากประตูหยก ผมควรไปทางซ้ายและมุ่งหน้าขึ้นไป การป้องกันแห่งบทกวีควรจะเป็น 3 ไม่ใช่ 9 ผมพูดถูกใช่ไหม?” หานเซิ่นทำตาแคบลง ขณะมองเฉินรัน   “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! ไอ้จูถิง… ไม่… จูถิงไม่น่าจะรู้วิชาเซเว่นทวิสต์.. นาย… หานเซิ่น…” ตอนนี้เฉินรันมองหานเซิ่น เหมือนกับเห็นภูตผีหรือปีศาจ   มีคนจำนวนไม่มากในตระกูลเฉินที่รู้เคล็ดวิชาเซเว่นทวิสต์ เพราะพวกเขากลัวว่าวิชาจะหลุดไปภายนอก นั่นเป็นเหตุผลที่ศิษย์ของตระกูลเฉินส่วนมากจึงได้เรียนแค่ทรีทวิสต์   นอกเหนือจากทรีทวิสต์แล้วที่เหลืออีก 70% เฉินรันสอนหานเซิ่นไปแบบเสริมเติมแต่งทั้งหมด มันต่างจากวิชาฉบับดั่งเดิม แต่ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญวิชานี้จริงๆก็ยากที่จะแยกออกได้ว่าอันไหนของจริงหรือของปลอม   แม้จะถูกสอนวิชาเซเว่นทวิสต์แบบปลอมๆไป แต่ความแตกต่างของมันก็แค่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเป็นของจริง   ซึ่งถ้านำวิชาของปลอมไปฝึกอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะส่งผลให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนอาจจะเป็นบ้าได้ ดีไม่ดีก็ถึงตายได้เลย   เฉินรันไม่เข้าใจเลยว่าหานเซิ่นสามารถแยกแยะวิชาเซเว่นทวิสต์ของจริงได้ยังไง   “ฉันให้โอกาสแล้ว แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ยอมใช้มันให้คุ้มค่า” หานเซิ่นยกหน้าไม้นกยูงขึ้นมา และเล็งที่เฉินรัน   “ไม่…อย่าฆ่าฉัน…ฉันจะตายไม่ได้…ฉันตายไม่ได้…”   ปัง! เฉินรันเบิกตากว้าง ด้วยใบหน้าที่สิ้นหวังถึงขีดสุด ลำแสงสีดำพุ่งทะลุหัวของเขา   “คนอย่างแก ถือเป็นศัตรูของฉัน ฉันจะรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าปล่อยแกไว้” หานเซิ่นเรียกหน้าไม้นกยูงกลับ เขาไม่ต้องการปล่อยเฉินรันไปตั้งแต่แรกแล้ว   หานเซิ่นเผาร่างของเฉินรันตามแผนเดิม จากนั้นเขาก็เก็บขนอีกาทั้งหมดกลับมา และเดินทางไปยังทุ่งน้ำแข็งต่อ   เฉินรันนั้นไม่ได้รู้เลยว่าวิชาเซเว่นทิวสต์ของเขาไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ตั้งแต่ตอนที่เขาสูดกลิ่นหอมของหานเซิ่นเข้าไปเพื่อรักษาบาดแผล นี่เป็นความมหัศจรรย์ของศาสตร์ตงเสวียน มันเหมือนกับตอนที่เขาขโมยวิชาหมากล้อมสวรรค์จากควีน   แม้เขาจะได้วิชาเซเว่นทวิสต์มาแล้ว แต่เขาก็ต้องฝึกวิชาหมากล้อมสวรรค์เป็นพื้นฐานก่อน จากนั้นเขาถึงจะเริ่มฝึกเซเว่นทวิสต์จริงๆจังๆได้   แม้หานเซิ่นจะขโมยวิชาหมากล้อมสวรรค์มาจากควีนแล้ว แต่การจะฝึกมันให้สำเร็จจริงๆนั้นก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร   ตอนนี้หานเซิ่นยังอยู่ในช่วงกำลังฝึกศาสตร์ตงเสวียนและกายหยก ยากที่เขาจะหาเวลาไปฝึกวิชาอื่น   “สงสัยจริงๆถ้าเราใช้ศาสตร์ตงเสวียนเป็นพื้นฐานแทนหมากล้อมสวรรค์จะเป็นยังไง? แม้เทคนิคในศาสตร์ตงเสวียนจะไม่ได้แตกต่างจากหมากล้อมสวรรค์มาก แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้แทนกันได้ไหม” ภายใต้การปกป้องจากจิ้งจอกสีเงิน ทำให้การเดินทางของหานเซิ่นนั้นราบลื่นมาก ระหว่างการเดินทางหานเซิ่นก็เกิดความคิดที่จะใช้ศาสตร์ตงเสวียนเป็นพื้นฐานแทนหมากล้อมสวรรค์   แม้หานเซิ่นจะใช้ศาสตร์ตงเสวียนขโมยวิชาทั้ง 2 มาแล้ว แต่เขาก็ยังเข้าใจแค่หลักการเท่านั้น เขายังไม่ได้ผ่านการฝึกจริงๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับหานเซิ่น   เมื่อหมากล้อมสวรรค์และเซเว่นทวิสต์ใช้ผสานกันได้เมื่อไร เขาก็จะมีพลังที่น่ากลัวมาก   วิชาเซเว่นทวิสต์หลักๆแล้วจะมีทั้งหมด 7 กระบวนท่าในการเคลื่อนไหวบนอากาศ แต่การรวมเอาหมากล้อมสวรรค์เข้าไป การเคลื่อนไหวคงจะไม่ใช่ง่ายๆแน่   แต่ด้วย 2 วิชานี้ เขาจะไม่ต้องการปีกอีกต่อไป เขาสามารถต่อสู้บนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ ซึ่งปรกติแล้วจะมีเพียงผู้เป็นเลิศขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำแบบนั้นได้ แต่หานเซิ่นจะสามารถทำมันได้เลยถ้าเขารวมหมากล้อมสวรรค์และเซเว่นทวิสต์เข้าด้วยกัน แต่เขาก็ต้องมีพลังงานที่เพียงพอ เพื่อที่เขาจะสามารถบินบนอากาศได้เหมือนกับนก   เซเว่นทวิสต์จะไม่ใช่เพียงแค่วิชาที่ยืมพลังจากอากาศอีกต่อไป ผลลัพธ์ของมันจะยิ่งกว่านั้นมาก   เฉินรันบอกว่าเขาสามารถบินไปได้เป็นพันๆไมล์ แต่นั่นอาจจะเวอร์เกินไป แต่ยังไงมันก็คงใช้ต่อสู้บนอากาศได้อย่างอิสระแน่นอน ซึ่งแค่นี้มันก็เป็นวิชาที่วิเศษสุดๆแล้ว   แต่การบินได้ก็ต้องมีระดับความแข็งแกร่งและพลังงานที่เยอะมาก ซึ่งศาสตร์ตงเสวียนของเขาก็ยังพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะปลดล็อคยีนวิชานี้ได้   ระหว่างการเดินทาง หานเซิ่นฝึกศาสตร์ตงเสวียน หมากล้อมสวรรค์และเซเว่นทวิสต์ไปตลอดทาง   รูปแบบของหมากล้อมสวรรค์เป็นการเคลื่อนไหวตามแนวราบ แต่เมื่อรวมเซเว่นทวิสต์เข้ามา มันจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ ซึ่งมันจะทรงพลังขึ้นมาก   ด้วยการที่มีจิ้งจอกสีเงินอยู่ด้วย บวกกับแผนที่ที่เขาได้มาจากหวงฟูผิงชิง ทำให้หานเซิ่นมาถึงอีกด้านหนึ่งของภูเขาปีศาจได้อย่างปลอดภัย   พื้นที่บริเวณนี้เป็นของชายที่ชื่อหลูฮุย หานเซิ่นได้ยินมาว่าชายคนนี้คือหัวหน้ากองกำลังสำรองของหน่วยพิเศษบูลบลัด การที่เขาไปถึงตำแหน่งนั้นได้แสดงว่าคนคนนี้เป็นคนที่พิเศษจริงๆ   มีเมืองระดับราชวงศ์ถึง 3 เมืองอยู่ใต้การปกครองของหลูฮุย เขาคือผู้เป็นใหญ่ในแถบนี้ แม้ทางเหนือขึ้นไปจะมีคนอื่นๆปกครองดินแดนของตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะมาท้าทายเขา   หานเซิ่นเคยสืบข้อมูลเกี่ยวกับหลูฮุยมาบ้าง ซึ่งข้อมูลที่เขาได้มาก็ทำให้เขาช็อค ลูกน้องแต่ละคนของหลูฮุยล้วนแต่เป็นสุดยอดนักสู้ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าทหารในทุ่งน้ำแข็งมาก   มันเป็นโชคดีของหานเซิ่นที่มีภูเขาปีศาจขวางกั้นทางที่จะไปยังทุ่งน้ำแข็ง ไม่งั้นแล้วทุ่งน้ำแข็งก็คงจะถูกหลูฮุยยึดครองแน่   หานเซิ่นเดินทางผ่านภูเขาปีศาจมา และไม่นานเขาก็เห็นเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือทุ่งน้ำแข็ง   มีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังบินอยู่เต็มท้องฟ้ารอบๆเกาะลึกลับ ราวกับปีศาจที่กำลังจ้องจะจับเหยื่อ  

Super God Gene – ตอนที่ 639 ความลับของเซเว่นทวิสต์
Super God Gene – ตอนที่ 639 ความลับของเซเว่นทวิสต์

  “น้องหาน อย่างน้อยนายจะไม่ทำแผลให้ฉันหน่อยหรอ? ถ้าฉันไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ฉันอาจจะตายจริงๆก็ได้! แค่ฉันตายก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็จะไม่มีโอกาสได้ถ่ายทอดเซเว่นทวิสต์ให้กับคนที่คู่ควรอย่างนาย มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย..” เฉินรันถูกมัดติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ แผลของเขายังเปิดอยู่ มีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง   “โอเค ถ้าคุณไม่สามารถสอนผมให้จบได้ ยังไงก็ยังมีสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลอยู่ ถ้าคุณเกิดตายระหว่างการสอน ผมก็ยังสามารถไปหาคนอื่นๆมาสอนต่อจากจุดที่คนเริ่มไว้แล้วได้ มันจะดีกว่าถ้าคุณรีบสอนก่อนที่เลือดจะไหลออกมาหมดตัว เมื่อถึงตอนนั้นมันคงจะสายเกินไป แม้ผมจะอยากช่วยคุณก็ตาม” หานเซิ่นกำลังนั่งมองดูเฉินรัน   “ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะบอกนาย! แต่น้องหาน หลังจากที่ฉันบอกนายแล้ว นายต้องปล่อยฉันเป็นอิสระตกลงไหม?” เฉินรันพูด   “ถ้าคุณยังมั่วลีลาอยู่แบบนี้ ผมก็อาจจะช่วยคุณไม่ทัน ถึงผมจะอยากช่วยก็ตาม” หานเซิ่นพูดอย่างเยือกเย็น   “แสวงหาและขัดเกลาความสุขให้บริสุทธิ์ จากไฟแห่งความโกรธในจิตใจ บินและท่องไปบนท้องฟ้า” เฉินรันบอกหานเซิ่น หลังจากนั้นเขาก็เริ่มกัดฟัน   “โอเค หลังจากนั้นแล้วไงต่อ?” หลังจากที่หานเซิ่นเริ่มท่องวิชาเซเว่นทวิสต์แล้ว เขาก็ถามต่อทันที   “จากนั้นก็…” เฉินรันสอนหานเซิ่นต่อไป “ดีมาก ต่อไปเลย” หานเซิ่นยิ้ม เขาสอนและอธิบายให้หานเซิ่นฟังอยู่นานพอสมควร และหานเซิ่นก็ถามเกือบจะทุกจุด เขาพยายามดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เฉินรันสอนมานั้นเป็นเซเว่นทวิสต์ของจริงหรือเปล่า   แต่ไม่ว่าเขาจะถามอะไร เฉินรันก็สามารถตอบได้อย่างชัดเจนไม่มีความลังเล ดูเหมือนวิชาที่เขาสอนจะไม่มีปัญหาอะไร   “น้องหาน โปรดหยุดถามคำถามพวกนั้นสักที ชีวิตของฉันอยู่ในกำมือของนายแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องโกหกด้วย? โปรดช่วยฉัน! ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันได้ตายจริงๆแน่ และนายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ลองคิดเกี่ยวกับมันดีๆ ถ้าฉันตาย คนตระกูลเฉินก็จะมาเอาเรื่องนาย นายอาจจะไม่กลัวพวกเขา แต่ยังไงพวกเขาก็เป็นอุปสวรรค์ต่อชีวิตของนาย พอแค่นี้เถอะโปรดปล่อยฉันไป ฉันสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินนายอีกแล้ว และฉันจะไม่โผล่มาให้นายเห็นหน้าอีก” ตอนนี้เลือดยังคงไหลออกจากบาดเเผลของเฉินรันอย่างต่อเนื่อง หน้าของเขาเริ่มซีดเเล้ว   “คุณสอนเซเว่นทวิสต์ให้ผมแล้ว ตระกูลของคุณจะไม่ว่าอะไรหรอ?” หานเซิ่นลูบหัวจิ้งจอกสีเงินขณะพูด   “น้องหาน ทำไมนายถึงได้โง่ขนาดนี้? ฉันสอนเซเว่นทวิสต์ให้นายไปแล้ว ซึ่งมันถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปล่ะก็ พวกเขาคงไม่ปล่อยฉันไว้แน่ เพราะฉะนั้นฉันต้องปิดปากให้สนิท!” ตอนนี้สีหน้าของเฉินรันเหมือนคนจะร้องไห้   “อืมม ดูเหมือนคุณคงจะรอดยากแล้วล่ะ” หลังจากพูดจบ หานเซิ่นก็เอาเม็ดยาออกมาวางให้เฉินรันเห็น   “น้องหาน ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ยังไงฉันก็ไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอน! ปล่อยฉันไปเถอะ” เฉินรันขอร้องหานเซิ่นอีกครั้ง แต่ตอนนี้หานเซิ่นหลับตาไปแล้ว ดูเหมือนเขากำลังฝึกวิชาอยู่   “อย่าเพิ่งฝึกมัน มาช่วยฉันก่อน!” เมื่อเฉินรันเห็นหานเซิ่นเริ่มฝึกวิชา เขาก็ตะโกนอย่างตื่นตระหนก   หานเซิ่นไม่สนใจและเริ่มฝึกต่อไป ไม่นานหลังจากนั้นเฉินรันก็เริ่มได้กลิ่นหอมๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมาก เขาคิดว่ามันเป็นกลิ่นจากยาที่หานเซิ่นเอาออกมาวาง   เมื่อเห็นหานเซิ่นยังคงเพิกเฉย เฉินรันก็กัดฟัน เขาเริ่มทำสมาธิและพยายามรักษาแผลตัวเอง   หลังจากที่หายใจเอากลิ่นหอมๆเข้าไป ร่างกายของเฉินรันก็เริ่มสร้างกระแสลมและเมฆ มันหมุนไปรอบๆตัวของเขา ทำให้บาดแผลของเขาเริ่มที่จะสมานตัว   หลังจากที่หานเซิ่นฝึกศาสตร์ตงเสวียนครบ 1 รอบ เขาก็ลืมตาขึ้นมามอง และเห็นว่าเฉินรันกำลังตั้งใจทำสมาธิ   หลังจากนั้นหานเซิ่นก็หัวเราะอยู่ในใจ ‘ไอ้แก่นี่มันสอนวิชาเซเว่นทวิสต์ของปลอมให้เราถึง 70% ส่วนของจริงมีแค่ 30% ร้ายกาจมาก มันคิดจะให้เราฝึกวิชาที่อาจจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ มันกำลังเล่นลูกไม้กับเรา!’   ไม่นานหลังจากนั้นเฉินรันก็ลืมตาขึ้นมา และเขาก็เห็นหานเซิ่น เขาตะโกน “น้องหาน ฉันมอบทุกอย่างให้นายแล้ว! โปรดช่วยฉัน ฉันยังไม่อยากตาย!”   “คุณตายไปน่าจะดีกว่า คุณจะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คุณบริสุทธิ์” หานเซิ่นพูดขณะมองตาเฉินรัน   “นายคิดจะผิดสัญญาหรอ?” สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไปทันที   “ผมขอถามอะไรสักอย่าง จูถิงได้เรียนเซเว่นทวิสต์ด้วยใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม   “ใช่” เฉินรันตอบ   “แล้วทำไมเซเว่นทวิสต์ของจูถิงถึงไม่เหมือนกับของคุณ?” หานเซิ่นทำตาแคบลง   สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไปทันที เขารีบพูด “ไอ้คนทรยศนั่น! มันกล้าบอกเรื่องนี้กับคนนอกหรอ?”   “คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก คุณพยายามจะหลอกผม นี่มันแสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของคุณ ผมยังไม่เห็นเหตุผลที่ผมควรจะปล่อยคุณไป” หานเซิ่นยักไหล่   “ไม่ ไม่! ฟังฉันก่อน ฉันไม่ได้โกหก จูถิงก็แค่พวกปลายแถว เขาไม่มีคุณสมบัติจะได้ฝึกเซเว่นทวิสต์ของจริง สิ่งที่นายเรียนจากเขาก็คือทรีทวิสต์” เฉินรันพูดอย่างรวดเร็ว   “ทรีทวิสต์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเซเว่นทวิสต์หรอ? มันมีอะไรผิดตรงไหน?” หานเซิ่นถาม   “ผิดแน่นอน! เซเว่นทวิสต์คือสุดยอดวิชาชี่กง ซึ่งก็คือสิ่งที่ฉันเพิ่งจะสอนนายไป ถ้าไม่มีมันก็จะไม่สามารถเรียนเซเว่นทวิสต์ได้ ทรีทวิสต์คือส่วนแยกของวิชาหลัก มันยากที่จะเอามาเทียบกันได้” เฉินรันพูดต่อ “นายก็น่าจะรู้ว่าจูถิงก็ได้เรียนวิชาน้ำหอมสังหารด้วย ซึ่งมันก็ไม่ใช่ชี่กงที่เป็นส่วนหนึ่งของเซเว่นทวิสต์”   “สมมุติว่าที่คุณพูดมาเป็นความจริง งั้นคุณก็ลองบอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวิชาเซเว่นทวิสต์กับหมากล้อมสวรรค์มาหน่อย ถ้าคุณบอก ผมจะยอมปล่อยคุณไป” หานเซิ่นยื่นข้อเสนอ   เหตุผลที่หานเซิ่นอยากจะเรียนเซเว่นทวิสต์ นอกจากเหตุผลความชอบสวนตัวแล้ว มันยังเป็นเพราะคำพูดของเฉินรันที่บอกว่าถ้าหมากล้อมสวรรค์เป็นของตระกูลเฉิน เซเว่นทวิสต์ของพวกเขาจะไร้เทียมทาน   แม้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ยังไงมันก็ต้องมีความสัมพันธ์ระหว่าง 2 วิชานี้อย่างแน่นอน ไม่งั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เฉินรันจะต้องพูดแบบนั้นออกมา   เฉินรันลังเลอยู่สักพัก แต่ในที่สุดเขาก็พูด “หมากล้อมสวรรค์และเซเว่นทวิสกำเนิดจากคัมภีร์โบราณที่เป็นของบรรพบุรุษพวกเรา พวกมันคือวิชาที่ใช้คู่กัน การผสานพลังของทั้ง 2 วิชาเข้าด้วยกันจะทำให้ผู้ใช้มีพลังแห่งเทพ แต่พวกหวงฟูมันช่วงชิงหมากล้อมสวรรค์ไปจากเรา และก็เปลี่ยนมันจนเป็นวิชาที่ไม่สามารถเอามาใช้ร่วมกับเซเว่นทวิสต์ได้”   “หมากล้อมสวรรค์มาจากคัมภีร์ชีกงโบราณ ส่วนเซเว่นทวิสต์เองก็เช่นกัน แล้วพวกมันจะเอามาใช้ร่วมกันได้ยังไง? คุณคิดว่าผมเป็นเด็ก 3 ขวบรึไง? ถึงได้กล้ามาหลอกผมอีก?” หานเซิ่นแกล้งดุเฉินรัน   “น้องหาน ทำไมฉันจะต้องโกหก? หมากล้อมสวรรค์คือส่วนต้นของคัมภีร์ นายต้องเรียนหมากล้อมสวรรค์ก่อนแล้วค่อยเรียนเซเว่นทวิสต์ ถ้าฝึกสำเร็จและใช้ผสานกันได้ นายจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล นี่เป็นวิชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อไม่มีหมากล้อมสวรรค์ ตระกูลเฉินจึงได้ฝึกแค่ส่วนท้ายของคัมภีร์ ซึ่งก็คือเซเว่นทวิสต์”  

Super God Gene – ตอนที่ 638 ความภักดี
Super God Gene – ตอนที่ 638 ความภักดี

  เมื่อเฉินรันเห็นหานเซิ่นเอาหน้าไม้ออกมา เขาก็พูดอย่างดูถูก “ไอ้ฉันก็คิดว่าจะมีอาวุธลับอะไร ถ้าอยากจะยิงฉัน อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นปืนอันใหญ่ๆหน่อยไม่ใช่หน้าไม้”   เฉินรันอยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 มาเป็นเวลานานแล้ว เขาเคยเห็นอะไรต่างๆมามาก ถึงหน้าไม้ของหานเซิ่นจะเป็นวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิ แต่ถ้าต้องมาใช้กับเขา พวกมันก็ไร้ความหมาย   ถ้าเป็นธนูธรรมดาๆ เฉินรันยังจะมีความกังวลบ้าง เพราะโดยปรกติแล้วธนูจะยิงได้รุนแรงกว่าหน้าไม้ และธนูยังเป็นอาวุธที่ใช้เทคนิคได้หลากหลายมากกว่า การหลบธนูยากกว่าการหลบหน้าไม้พอสมควร   การยิงของหน้าไม้มีรูปแบบและความรุนแรงที่ตายตัว ที่สำคัญพลังของมันยังมีจำกัด ถึงจะเป็นระดับเลือดศักดิ์สิทธิ แต่ถ้าเอามาใช้กับยอดฝีมืออย่างเฉินรัน มันก็ถือเป็นของไร้ประโยชน์   เฉินรันยังคงกวัดแกว่งดาบอย่างรุนแรงและรวดเร็ว   ปัง! หานเซิ่นลั่นไก และขนอีกาก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้าสีดำ มันไปถึงหน้าของเฉินรันในชั่วพริบตา   สีหน้าของเฉินรันเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดว่าความเร็วของมันจะน่ากลัวถึงขนาดนี้ เนื่องจากเขาถูกยิงในระยะที่ใกล้มาก ถึงจะเป็นเขาก็ยากที่จะหลบทัน   แต่เฉินรันก็เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ แม้เขาจะหลบไม่ทัน แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ไวจนน่ากลัว เขายกดาบขึ้นมาป้องกันขนอีกา   เคร๊ง! ดาบวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กขาดครึ่งในทันที แต่มันก็สามารถลดความเร็วของขนอีกาลงจนเขาสามารถเอนตัวหลบได้ทัน แต่แรงจากการปะทะก็ทำให้ตัวของเขากระเด็นไปหลายเมตร   มีเลือดไหลออกมาจากปากของเฉินรัน เขามองไปที่หน้าไม้ในมือของหานเซิ่นด้วยความช็อค เขาไม่อยากเชื่อว่าจะมีหน้าไม้ที่ทรงพลังถึงขนาดนี้   หานเซิ่นเห็นว่าดอกแรกไม่สามารถฆ่าเฉินรันได้ ดังนั้นเขาเลยไม่ลังเลที่จะบรรจุขนอีกาลงไปและยิงอีกครั้ง ลำแสงสีดำพุ่งเข้าไปหาเฉินรันอีกครั้ง   เฉินรันคำรามออกมา ไม่นานก็มีเมฆก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา และห่อหุ้มตัวของเขาไว้ จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวหลบลูกธนูดอกที่ 2 ทันที   “เซเว่นทวิสต์ของตระกูลเฉินน่ากลัวจริงๆ” หานเซิ่นต้องยอมรับว่าเฉินรันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจริงๆ แต่กระนั้นมือของเขาก็ยังไม่หยุด เขาบรรจุขนอีกาและยิงไปอีกครั้ง เขาจะไม่ยอมให้เฉินรันหนีไปได้   หลังจากหลบลูกธนูดอกที่ 2 ของหานเซิ่นได้แล้ว เขาก็หนีทันที ลูกธนูมันทรงพลังจริงๆ เขาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอาวุธที่ทรงพลังแบบนั้น เขาไม่รู้ว่าอาวุธของหานเซิ่นเป็นยังไงกันแน่ ทำไมมันถึงได้มีพลังที่น่ากลัวแบบนั้น   แต่เขาไม่คาดคิดว่าหานเซิ่นจะยิงได้รวดเร็วแบบนี้ มันเหมือนกับปืนกล เฉินรันมองดูขนอีกาที่พุ่งเข้ามาด้วยความกลัว   ถ้าเกิดการร้องขอความเมตราจะทำให้หานเซิ่นหยุดยิงได้ เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะทำ แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ทันแล้ว   เฉินรันกัดฟัน ตอนนี้เขากำลังเหยียบอากาศและหนีอย่างสะเปะสะปะเหมือนกับนกที่ไร้หัว เขาไปซ้ายทีขวาที ด้วยการเคลื่อนไหวสุดแปลก ทำให้เขาสามารถหลบลูกธนูได้   แต่ไม่ว่าเขาจะคล่องแคล่วและรวดเร็วขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางที่จะหลบลูกธนูทั้งหมดที่พุ่งตรงไปหาเขาได้ หลังจากที่เขาหลบลูกธนูไป 3 ดอกแล้ว เขาก็ไม่สามารถหลบดอกต่อๆไปได้   ปัง!ปัง! เฉินรีนไม่สามารถหลบลูกธนุอีก 4 ดอกได้ทัน กระแสลมที่ห่อหุ้มตัวของเขาอยู่ปะทะกับขนอีกา เขากระอักเลือดออกมาทันที จากนั้นเขาก็ไม่สามารถทรงตัวต่อไปได้   อีกเสี้ยววินาทีต่อมา ขนอีกาก็พุ่งทะลุชุดเกราะวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิของเขาเข้าไป เหมือนกับมีดร้อนๆที่ตัดลงไปบนเนย   พลังที่รุนแรงของขนอีกาส่งเขากระเด็นไปไกลหลายเมตร เขากระเด็นไปติดอยู่บนหน้าฝาใกล้ๆ   ฮวงเมียนตะโกน หลังจากที่เขาตะโกนได้ไม่ถึง 1 วินาที หานเซิ่นก็หันและยิงขนอีกาไปทางเขาทันที   ปัง! ขนอีกาทำลายดาบใหญ่ของฮวงเมียนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่กระนั้นความเร็วของมันก็ยังไม่ลดลง มันพุ่งทะลุแขนขวาของเขา   ฮวงเมียนไม่สนใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลจากการขนอีกาเลย เขากระหน่ำชกใส่หานเซิ่นอย่างบ้าคลั่ง   “เฉินรันมันให้อะไรกับนาย ทำไมนายถึงได้ยอมสละตัวเองเพื่อเขาขนาดนี้?” หานเซิ่นขยับถอยหลังเพื่อหลบการโจมตีของฮวงเมียน   วิชาหมัดของฮวงเมียนด้อยกว่าวิชาดาบมาก ดังนั้นมันทำอะไรหานเซิ่นไม่ได้เลย   “เขาช่วยชีวิตฉัน ดังนั้นฉันจะต้องตอบแทนเขา!” ฮวงเมียนกัดฟันและเริ่มชกหานเซิ่นรวดเร็วมากขึ้น   “งั้นฉันจะให้นายได้ตอบแทน” หานเซิ่นใช้ฝ่ามือฟันไปที่หัวของฮวงเมียน ซึ่งทำให้เขาล้มลงไปทันที   ส่วนคนอื่นๆที่มากับเฉินรัน พวกเขาวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางเรียบร้อยแล้ว แม้แต่เฉินรันยังพ่ายแพ้ แล้วพวกเขาจะเหลืออะไร พวกเขาวิ่งหนีสุดชีวิตเท่าที่ขาของพวกเขาจะรับไหว   พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีหน้าไม้ที่น่ากลัวแบบนี้อยู่จริง มันเหมือนกับปืนที่มีพลังทำลายสูง พลังของมันน่ากลัวมาก   หานเซิ่นไม่สนใจจะไล่ตามคนอื่นๆที่เหลือ เขาเดินตรงไปหาเฉินรันที่ถูกตึงอยู่บนหน้าผา   ร่างกายของเฉินรันถูกขนอีกาที่ชุ่มไปด้วยเลือดปักยึดไว้กับหน้าผา แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ตาย เขาพยายามจะดึงขนอีกาออก แต่เขาไม่สามารถทำได้ ตอนที่มันพุ่งเข้าไปในร่างกาย ขนอีกาดูจะนุ่มมาก แต่ตอนที่ดึงออกมานั้นมันจะเหมือนกับใบมีดแข็งๆ ถ้าเขาพยายามจะดึงมันออกมา กระดูกและอวัยวะภายในจะเสียหาย   “เห็นไหมเฉินรัน ฉันก็เตือนแล้วว่าไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” หานเซิ่นยิ้ม ขณะยืนอยู่ใกล้ๆเฉินรัน ตาของหานเซิ่น เหมือนกำลังมองคนที่กำลังจะตาย   “หานเซิ่น แกกล้าฆ่าฉันหรอ? ไม่กลัวตระกูลเฉินจะแก้แค้นรึไง ชีวิตของแกจะต้องเจอแต่เรื่องเจ็บปวด!” เฉินรันพูดกับหานเซิ่นด้วยความโกรธ   แต่ก็มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพูด เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดทรมาน   “ถ้าคุณอยากจะรอด งั้นก็สอนวิชาเซเว่นทวิสต์มา” หานเซิ่นยื่นข้อเสนอ พร้อมกับยิ้ม   ตอนนี้ปากของเฉินรันเต็มไปด้วยเลือด เขาหัวเราะ “เด็กน้อย ตอนที่ฉันท่องไปทั่วดินแดนนี้ พ่อของแกยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ กล้าดียังไงมาทำแบบนี้กับฉัน?”   เฉินรันพ่นเลือดใส่หน้าหานเซิ่น จากนั้นเขาก็กัดฟัน ซึ่งมันทำให้เลือดในปากของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่นานชีพจรของเขาก็หยุดเต้น ดูเหมือนเขาจะตายแล้ว เพื่อความชัวร์หานเซิ่นจึงต้องสำรวจร่างกายของเขา   หานเซิ่นมองเฉินรันด้วยความช็อค เขาไม่คาดคิดว่าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้จะใช้ยาพิษฆ่าตัวตาย   “ดูเหมือนเราจะดูถูกคนตระกูลใหญ่มากเกินไป ความซื่อสัตย์และภักดีต่อตระกูลของพวกเขาน่ากลัวจริงๆ” หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก และเขาก็ตัดสินใจเผาร่างของเฉินรัน ถ้าคนจากตระกูลเฉินมาเจอศพเขาละก็ มันคงจะมีเรื่องไม่ดีตามมาอีกมากมาย เขาจึงตัดสินใจทำลายหลักฐาน   แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะจุดไฟบนร่างของเฉินรัน ร่างที่ไร้ชีวิตของเฉินรันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขากระโดดขึ้นมาและตระโกน “ไม่ไม่ไม่! หยุด! พวกเราสามารถคุยกันก่อนได้ นายบอกว่าอยากจะเรียนเซเว่นทวิสต์ใช่ไหม? ฉันสามารถสอนให้นายได้ ฉันจะสอนให้นายเอง!”   หานเซิ่นเบิกตากว้าง เขายืนมองเฉินรันอยู่สักพัก หลังจากที่ได้สติกลับมา หานเซิ่นก็คิด ‘ไอ้เราก็อุส่าคิดว่ามันจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลซะอีก ไอ้แก่นี่มันคงไม่มีคำว่าซื่อสัตย์อยู่ในหัวใจ’    

Super God Gene – ตอนที่ 637 มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
Super God Gene – ตอนที่ 637 มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

  หานเซิ่นไม่พูดอะไรอีกต่อไป ตอนนี้เขาพบว่าฮวงเมี่ยนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเฉินรัน คนคนนี้ต้องการฆ่าคนเพื่อแลกกับเงิน แต่กระนั้นที่หานเซิ่นไม่อยากจะฆ่าเขาก็เพราะไม่อยากจะให้เป็นไปตามแผนของเฉินรัน หานเซิ่นอยากเก็บพลังไว้สู้กับเฉินรัน ที่สำคัญเขายังไม่อยากจะเปิดเผยอาวุธลับที่เขาเตรียมไว้ใช้กับเฉินรัน   หานเซิ่นรู้ดีว่าเฉินรันเป็นคนที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก ถ้าหานเซิ่นเอาหน้าไม้นกยูงออกมาใช้ตอนนี้ ถึงเขาจะสามารถชนะฮวงเมียนได้ในพริบตา แต่มันก็คงจะใช้กับเฉินรันไม่ได้ผลอีกแล้ว   วิชาของตระกูลเฉินค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในสหพันธ์ดวงดาว หานเซิ่นไม่คิดว่าเขาจะรับมือกับจิ้งจอกเฒ่าคนนี้ได้ง่ายๆ   แต่ในเมื่อจิ้งจอกเฒ่าคนนี้กล้ามาท้าทายเขา หานเซิ่นก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆเช่นกัน   หานเซิ่นตระหนักว่าฮวงเมียนจะไม่ยอมเลิกราถ้าการต่อสู้ยังไม่รู้ผล ดังนั้นหานเซิ่นเลยไม่มีทางเลือก นอกจากต้องสู้กับเขาต่อไป   หานเซิ่นรู้เจตนาที่แท้จริงของเฉินรันดี เขารู้ว่าเฉินรันกำลังใช้ฮวงเมียนในการตัดกำลังของเขาก่อน หลังจากนั้นเมื่อเฉินรันมาสู้ด้วยตัวเอง หานเซิ่นก็จะไม่มีพลังพอที่จะตอบโต้เขาได้   แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับแผนของเฉินรันเลย เพราะเขาสำเร็จมนตรานอกรีตขั้นที่ 3 ยืดอายุและวิชาตะวันหยกแล้ว ดังนั้นเขาสามารถปลดล็อคยีนได้ยาวนานกว่าคนปรกติมาก และถึงเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการปลดล็อคยีนจริงๆ เขาก็ยังมีหน้าไม้นกยูงเป็นอาวุธลับอยู่   ไหนๆก็ต้องสู้กับฮวงเมียนแล้ว หานเซิ่นก็ไม่คิดที่จะรีบร้อนเผด็จศึก เขาใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้จากคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด หานเซิ่นสังเกตทุกรายละเอียดในการใช้ดาบของฮวงเมียน   แม้วิชาดาบของหานเซิ่นจะทรงพลังมากก็จริง แต่เมื่อมาเจอกับผู้เชี่ยวชาญดาบตัวจริง เขาก็พบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด แต่เขาก็ยังเชื่อว่าสามารถเรียนรู้ได้   ขณะที่ตั้งรับ เขาก็เฝ้าดูวิชาดาบของฮวงเมียน นี่คือประสบการณ์ที่ล้ำค่า หานเซิ่นตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการสังเกตการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ ในการต่อสู้ครั้งนี้หานเซิ่นหวังให้ฝีมือดาบของเขาพัฒนาขึ้นไปอีก 1-2 ขั้น   ขณะที่หานเซิ่นต่อสู้กับฮวงเมียนต่อไปเรื่อยๆ เฉินรันก็มั่นใจแล้วว่าหานเซิ่นคงจะไม่มีไม้เด็ดอะไรซ่อนไว้อีกแล้ว   ถ้าเขามีไม้เด็ดหรือมีความสามารถที่ซ่อนอยู่แล้วทำไมเขาถึงไม่รีบเอาออกมาเผด็จศึก? ถ้าเขายังสู้ต่อไปแบบนี้ แม้ในที่สุดเขาจะเอาชนะฮวงเมียนได้ แต่ยังไงเขาก็ไม่รอดจากการถูกเฉินรันจับอยู่ดี   เฉินรันยังไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว เขาเฝ้าดูการต่อสู้ไปเรื่อยๆ เขาต้องการจับหานเซิ่นแบบเป็นๆ ไม่มีปัญหาว่าเขาจะต้องรอนานแค่ไหน   1 ชั่วโมงหลังจากนั้น พลังของฮวงเมียนก็เริ่มตกลง ในการต่อสู้ที่เข้มข้นและดุเดือดแบบนี้ ผู้วิวัฒนาการจะไม่สามารถคงสภาวะปลดล็อคยีนได้นาน ฮวงเมียนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนล้ามาก แต่เขาก็ยังพยายามกวัดแกว่งดาบต่อไป   หานเซิ่นไม่ยอมให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไป เขากระหน่ำโจมตีฮวงเมียนหน่วงมากขึ้นเพื่อที่จะเอาชนะเขาให้ได้   เฉินรันสังเกตเห็นว่าฮวงเมียนกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเขาก็รู้สึกว่านี่น่าจะได้เวลาแล้ว เขารู้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของหานเซิ่นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะปลดล็อคยีน ตอนนี้กระแสลมเริ่มหมุนวนรอบตัวของเขา จากนั้นเขาก็เรียกดาบวิญญาณอสูรออกมา และก็พุ่งเข้าไปหาหานเซิ่นทันที   วิชาตระกูลเฉินทรงพลังสมคำล่ำลือ ถ้าเทียบกับจูถิงแล้ว เฉินรันดูเหนือกว่ามาก ตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากนกเลย เขาสามารถเคลื่อนไหวบนอากาศเกือบจะอิสระ มันยากที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขา   ตอนนี้หานเซิ่นต้องใช้ดาบทั้ง 2 เล่มรับมือฮวงเมียนและเฉินรัน ซึ่งมันถือว่าตึงมือมาก เขาเสียเปรียบอย่างหนัก การเคลื่อนไหวของเฉินรันแปลกมาก เขาไม่แม้แต่จะต้องสัมผัสพื้นเลยด้วยซ้ำ เขาดูเหนือมนุษย์ การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของเขาล้วนแต่เหนือความคาดหมาย   เคร๊ง! หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆหลังจากที่ดาบอสรพิษเนตรเงินปะทะกับดาบของเฉินรัน ดาบของเฉินรันถูกก้อนเมฆห่อหุ้มไว้ เป็นเหมือนกับสปริง หลังจากปะทะกัน ดาบของหานเซิ่นก็เด้งกลับมา ซึ่งมันทำให้เขาต้องถอยหลังไปหลายก้าว   “หานเซิ่น ถ้านายยอมจำนน ฉันจะไว้ชีวิตนาย ยังไงนายก็เป็นเพื่อนของจูถิง” เฉินรันพูดในขณะที่กำลังโจมตีอยู่ เพื่อทำลายสมาธิของหานเซิ่น   “เฒ่าเฉิน ถ้าหนีไปตอนนี้ฉันก็จะไว้ชีวิต ยังไงคุณก็เป็นญาติของจูถิง” หานเซิ่นไม่ได้เสียสมาธิเลย เขายิ้มและพูดสวนกลับไป   “ว่าไงนะ!” ดูเหมือนเฉินรันจะเป็นฝ่ายหัวร้อนซะเอง เขาเริ่มโจมตีรุนแรงขึ้น ตอนนี้ตาของเขาลุกเป็นไฟ   หานเซิ่นกำลังรับมือคู่ต่อสู้ 2 คน ถึงเขาจะเสียเปรียบอยู่ แต่คู่ต่อสู้ก็ยังไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เลย การเคลื่อนไหวของหานเซิ่นเหนือชั้นมาก แม้พลังในการต่อสู้จะเป็นรอง แต่ด้วยฟุตเวิร์คที่เหนือกว่า ทำให้หานเซิ่นรับมือยอดฝีมือทั้ง 2 โดยไม่เป็นร้อง   “แกฝึกหมากล้อมสวรรค์มาจริงๆหรอเนี่ย? ควีนสอนแกมางั้นหรอ? พวกมันกล้าดียังไง! ถึงกล้าผิดคำสาบานแล้วไปสอนคนนอก ดูเหมือนมันจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” เมื่อเห็นหานเซิ่นใช้หมากล้อมสวรรค์ เฉินรันก็ดูจะโกรธมาก เขาตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด   “ถ้าควีนสอนหมากล้อมสวรรค์ให้ฉันแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ? นี่มันคือวิชาลับของตระกูลหวงฟู พวกเขาสามารถสอนใครก็ได้ตามที่พวกเขาพอใจ” หานเซิ่นพูด   ดูเหมือนหมากล้อมสวรรค์จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิน ไม่งั้นแล้วทำไมเฉินรันถึงได้ดูโกรธขนาดนั้น? ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหานเซิ่นก็อยากจะรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ เขาก็สงสัยมาตลอดว่าทำไมถึงได้มีแค่ควีนคนเดียวที่ได้รับสืบทอดวิชานี้ ถึงมันจะเป็นวิชาที่ฝึกยากยังไงก็ตาม แต่ศิษย์ของสถาบันเอเรสก็น่าจะฝึกสำเร็จได้สักคน   “หะ! ตระกูลหวงฟูน่ะหรอเจ้าของวิชาหมากล้อมสวรรค์? ถ้ามันยังเป็นของตระกูลเฉิน คงจะไม่มีใครสามารถต่อทานเซเว่นทวิสต์ได้” เฉินรันพูด   “ใครๆก็รู้ว่าหมากล้อมสวรรค์เป็นของตระกูลหวงฟู มันไปเป็นของตระกูลเฉินตั้งแต่เมื่อไร? ไม่เอาน่าเฒ่าเฉิน อย่ามาหลอกกันดีกว่า” หานเซิ่นพูดยั่วยุเฉินรัน เพื่อที่เขาจะได้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น   แต่คนอย่างจิ้งจอกเฒ่าเฉินรันย่อมรู้ว่าหานเซิ่นต้องการอะไร เขาพูดอย่างเยือกเย็น “แกไม่ต้องมายั่วยุฉันหรอก ถ้าแกถูกจับเมื่อไหร่ ฉันจะไปถามหวงฟูสงเฉิงด้วยตัวเอง ฉันก็อยากจะรู้ว่ามันจะเอาเหตุผลอะไรมาอ้างที่จะไม่มอบวิชาหมากล้อมสวรรค์คืนให้เรา”   หลังจากนั้นทั้งกระแสลมและเมฆก็ก่อตัวขึ้นรอบๆเฉินรัน การโจมตีด้วยดาบของเฉินรุนแรงและรวดเร็วมากขึ้น เขาไม่ได้เล็งไปที่จุดอ่อนหรือจุดสำคัญของหานเซิ่น แต่เป็นแขนและขา เขาต้องการทำให้หานเซิ่นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้   หานเซิ่นสามารถรับมือการโจมตีจากฮวงเมียนได้ แต่สำหรับการโจมตีของเฉินรันที่อยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 มาเป็น 100 ปี ทั้งระดับความแข็งแกร่งและยีนของเขาทรงพลังมาก   แขนของหานเซิ่นเริ่มที่จะชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว เมื่อต้องรับการโจมตีของเฉินรันไปเรื่อยๆ ตอนนี้เขารู้สึกแน่นหน้าอก ราวกับจะกระอักเลือดออกมา   ‘บ้าเอ้ย ไอ้แก่นี่มันแข็งแกร่งจริงๆ’ หานเซิ่นเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว มันคงได้เวลาที่เขาจะต้องใช้อาวุธลับแล้ว   “เฒ่าเฉิน ถ้าไม่ยอมเลิกรา ก็อย่ามาตำหนิฉันเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น” หานเซิ่นพูด   “ฮาฮา ฉันก็อยากจะเห็นว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น” เฉินรันหัวเราะ เขาเชื่อว่าหานเซิ่นกำลังเข้าตาจน   “งั้นก็ได้” หานเซิ่นขยับถอยหลังและเรียกหน้าไม้นกยูงเนตรมรณะออกมา จากนั้นเขาก็รีบบรรจุขนอีกาเข้าไปทันที  

Super God Gene – ตอนที่ 636 เพลงดาบบูชายัญ
Super God Gene – ตอนที่ 636 เพลงดาบบูชายัญ

  หลังจากนั้นเฉินรันก็ทำสัญญาณมือ และลูกธนูก็พุ่งเข้าไปหาหานเซิ่นราวกับห่าฝน   หานเซิ่นเรียกโกลเด้นโกรวเลอร์กลับ จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวหลบลูกธนูอย่างรวดเร็ว ไม่มีลูกธนูแม้แต่ลูกเดียวสัมผัสโดนร่างกายของเขา   เฉินรันไม่คิดว่าลูกธนูมากขนาดนั้นจะทำอะไรหานเซิ่นไม่ได้ ถ้าเขาพาคนมาสัก 100 ก็มีความเป็นไปได้ที่จะยิงหานเซิ่นโดน แต่ด้วยจำนวนคนที่เขาพามายังไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้   เฉินรันส่งสัญญาณมืออีกครั้ง จากนั้นชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้าใส่หานเซิ่นทันที เขารวดเร็วมาก แค่ 3 ก้าวเขาก็ไปถึงหน้าหานเซิ่นแล้ว เขากวัดแกว่งดาบใหญ่ไปข้างหน้า ราวกับจะฉีกท้องฟ้าได้เลย   เฉินรันมองดูหานเซิ่นตาไม่กะพริบ เขาต้องการเห็นความสามารถที่แท้จริงของหานเซิ่น เขามีลูกน้องที่ปลดล็อคยีนได้ทั้งหมด 3 คน แต่ 2 คนได้ตายบนภูเขาเวหาไปแล้ว   นี่คืออีกคนที่เขาเหลืออยู่ แต่คนคนนี้ก็คือลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินรัน ถึงจะให้คนที่ปลดล็อคยีดได้อีก 2 คนรุมก็ไม่สามารถเอาชนะคนคนนี้ได้ คนคนนี้ชื่อว่า ฮวงเมียน   ฮวงเมียนไม่ใช่คนตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเขาไม่น่าจะได้ฝึกวิชาชี่กงระดับสูง ตระกูลฮวงไม่ได้มีชื่อเสียงเหมือนกับตระกูลเฉิน ชี่กงของพวกเขาไม่ได้มีประสิทธิภาพ   เมื่อฮวงเมียนมาถึงก็อตแซงชัวรี่เขต 2 เขาก็ถูกส่งมายังจุดที่ไม่มีคนในตระกูลเขาอยู่เลย และเขาก็ได้เจอกับเฉินรันโดยบังเอิญ เฉินรันดูแลเขาเป็นอย่างดี และในที่สุดเขาก็กลายเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่งของเฉินรัน   วิชาชี่กงของตระกูลฮวง ถึงจะไม่ใช่ชี่กงระดับแนวหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทรงพลัง หลายๆคนในสหพันธ์ดวงดาวจะรู้จักวิชา’ดาบบูชายัญ’ดี มันเป็นวิชาสำหรับผู้ใช้ดาบ แต่เป็นเพราะความลึกลับซับซ้อนของวิชานี้ หลังจากดัดแปลงมาเป็นวิชาไฮเปอร์จีโนแล้ว มันจึงฝึกได้ยากมาก   เด็กๆของตระกูลฮวงตั้งแต่หัดคลานจะอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยดาบ ดาบเล่มไหนที่เด็กสัมผัสเป็นอันแรกก็จะเป็นดาบที่เด็กคนนั้นพกติดตัวไปทั้งชีวิต   ดาบพวกนี้ไม่ได้เอาไว้สำหรับต่อสู้ แต่มันคือสัญลักษณ์ประจำตัวของพวกเขา มันคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ พวกเขาจะใช้มันเฉพาะตอนฝึกวิชาเท่านั้น   หลายคนเชื่อว่ายิ่งเวลาผ่านไปดาบประจำตัวของพวกเขาก็จะสะสมจิตวิญญาณ ตระกูลฮวงถือว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะใช้มันตลอดการฝึก จนกว่าพวกเขาจะสำเร็จวิชาดาบบูชายัญและปลดล็อคยีนได้   ฮวงเมียนคือสมาชิกคนแรกของตระกูลฮวงที่สามารถปลคล็อคยีนได้ตั้งแต่อยู่ก็อตแซงชัวรี่เขต 2 และดาบบูชายัญของเขาก็ทรงพลังอย่างมาก ถ้าวัดกันแค่เพลงดาบอย่างเดียว ยากที่จะมีคนเอาชนะเขาได้   หานเซิ่นเองก็ศึกษาวิชาดาบมาเยอะเช่นกัน ถึงเขาจะยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาก็ฝึกฝนและพัฒนาวิชาดาบคู่ของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเห็นการโจมตีของฮวงเมียน หานเซิ่นก็ได้รู้แล้วว่าวิชาดาบของจริงเป็นยังไง   มันไม่ได้หมายความว่าหานเซิ่นคิดว่ามันเป็นวิชาที่ทรงพลัง แต่เป็นเพราะมันให้ความรู้สึกว่าฮวงเมียนเป็นหนึ่งเดียวกับดาบจริงๆ ขณะที่เขากวัดแกว่งดาบ คนคนนี้ผูกพันกับดาบของเขาจริงๆ   เคร๊ง! ดาบมาสค็อตของหานเซิ่นแข็งแกร่งพอที่จะรับดาบของฮวงเมียนได้ หานเซิ่นเปิดโหมดปลดล็อคยีน ซึ่งมันทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่ออกมาจากการโจมตีของฮวงเมียน หลังจากรับดาบของฮวงเมียน หานเซิ่นก็ถอยหลังไปหลายก้าว   ฮวงเมียนสะบัดข้อมือ จากนั้นเขาก็ใช้ดาบแทงไปที่หานเซิ่นเหมือนกับสว่าน   หานเซิ่นไม่เคยเห็นใครใช้ดาบได้อย่างเป็นธรรมชาตอย่างนี้มาก่อน โดยปรกติแล้วในบรรดาวิชาดาบที่เขาเจอมา ถึงจะร้ายกาจแต่มันก็ยังเป็นแค่วิชา แต่ของฮวงเมียนนั่นต่างออกไป เขาคืออสูรตัวจริง ดาบของเขาราวกับมีชีวิต   ฮวงเมียนใช้ดาบได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ มันดูเป็นธรรมชาติมาก ดาบเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา จะบอกว่ามันเป็นเหมือนกับแขนที่ 3 ของเขาก็ไม่ผิด   ความแข็งแกร่งของหานเซิ่นมากกว่าฮวงเมียน แต่เมื่อหานเซิ่นถูกโจมตี หานเซิ่นจะใช้แค่เพียงดาบรับมือเท่านั้น มันต่างจากฮวงเมียนที่ใช้ทั้งร่างกายเคลื่อนไหว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ   หานเซิ่นสามารถหลบการโจมตีของฮวงเมียนได้ทั้งหมดก็จริง แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะโจมตีกลับไป ดาบของเขาก็จะปะทะกับดาบของคู่ต่อสู้ และเขาก็จะถูกฟันจนถอยหลังไป แม้วิชาดาบของพวกเขาจะสูสีกัน แต่หานเซิ่นก็ตกเป็นรองในการต่อสู้   ถ้าหานเซิ่นหานเซิ่นไม่ปลดล็อคยีนเข้าโหมดไร้อารมณ์ ป่านนี้เขาคงจะรู้สึกเกรงขามพลังของคู่ต่อสู้มาก   เคร๊ง! หานเซิ่นถูกต้อนจนต้องเรียกดาบวิญญาณอสูรอสรพิษเนตรเงินออกมา เขาใช้ดาบอสรพิษเนตรเงินป้องกันการโจมตีจากดาบใหญ่ของคู่ต่อสู้   ตอนนี้ 2 ดาบปะทะกับ 1 ดาบ หานเซิ่นใช้วิชาดาบคู่ แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังไม่ได้พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตอนนี้หานเซิ่นและฮวงเมียนยังถือว่าสูสีกัน   เฉินรันที่ยืนดูการต่อสู้อยู่รู้สึกช็อค เมื่อเห็นความเร็วและความแข็งแกร่งของหานเซิ่น มันเหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก และวิชาดาบที่เขาใช้ก็เหนือชั้นมากจนเฉินรันเองก็อยากจะรู้ว่ามันคือวิชาอะไรกันแน่   ถ้าเขาสามารถใช้ดาบ 2 เล่มคนละวิชากันได้ นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขามีพรสวรรค์สูงมาก เขาเหมือนกับมี 2 จิต นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว   แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือการที่หานเซิ่นสามารถใช้กระบวนท่ารุนแรงได้อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย   เมื่อเห็นความสามารถของหานเซิ่นตอนนี้แล้ว เขาก็คิดว่าเขาคิดถูกแล้วที่ส่งลูกน้องที่เก่งที่สุดไปสู้กับหานเซิ่น ถ้าส่งคนอื่นไปคงจะถูกฆ่าในชั่วอึดใจแน่ๆ   วิชาดาบบูชายัญของตระกูลฮวงสุดยอดสมคำล่ำลือ นี่เป็นวิชาดาบที่เป็นวิชาชี่กงโบราณ ดาบของเขากระหน่ำโจมตีหานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังไม่ถูกฟันแม้แต่ครั้งเดียว ดาบทั้ง 2 ของหานเซิ่นสามารถรับมือการโจมตีของฮวงเมียนได้ทั้งหมด   “หนุ่มคนนี้น่ากลัวจริงๆ แต่มันก็เท่านั้นแหละ” เฉินรันหัวเราะ   เฉินรันไม่ได้หวังให้ฮวงเมียนเอาชนะหานเซิ่นตั้งแต่แรกแล้ว เขาแค่จะให้ฮวงเมียนต่อสู้กับหานเซิ่นไปนานๆ เนื่องจากผู้วิวัฒนาการจะมีระดับความแข็งแกร่งที่ค่อนข้างต่ำ พวกเขาจะไม่สามารถเปิดโหมดปลคล็อคยีนได้เป็นเวลานานๆ ในที่สุดพวกเขาก็จะต้องเหนื่อยล้าจากการปลดล็อคยีนนานเกินไป   ตอนนี้เฉินรันแค่รอให้หานเซิ่นใช้พลังหมด ถ้าหานเซิ่นหมดพลังเมื่อไร ถึงตอนนี้เขาก็จะถูกจับได้ง่ายๆ เฉินรันต้องการจับหานเซิ่นแบบเป็นๆ เพื่อที่เขาจะได้ล้วงความลับได้   เฉินรันไม่ได้กลัวเรื่องที่หานเซิ่นจะไม่ยอมบอกความลับเลย เพราะเฉินรันมีวิธีการเป็นร้อยเป็นพันที่จะทำให้เขายอมเปิดปากพูดออกมา ที่สำคัญเขาเองก็อยากจะให้หานเซิ่้นดื้อดึงให้ถึงที่สุด เขาจะได้รู้สึกสนุกให้เต็มที่ในการทรมานหานเซิ่น   หานเซิ่นรู้สึกชื่นชมฮวงเมียนจริงๆ ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาด้อยกว่าหานเซิ่น และวิชาดาบของเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าวิชาดาบคู่ของหานเซิ่นด้วย แต่เขาก็ยังสู้กับหานเซิ่นได้ถึงขนาดนี้   “เพื่อนนี่เป็นเรื่องของฉันกับเฉินรัน ไม่จำเป็นที่นายจะต้องเสียสละชีวิตเพื่อคนอย่างเขา ถ้านายไม่ใช่คนตระกูลเฉินก็ไปจากที่นี่ดีกว่า” หานเซิ่นพูด   “ฉันรับเงินจากเฒ่าเฉินมาแล้วก็ต้องทำงานให้เขา” ฮวงเมียนกวัดแกว่งดาบต่อไป   เฉินรันยิ้มเยาะ เขาเชื่อว่าหานเซิ่นคงสู้ต่อไปได้อีกไม่นาน นี่เป็นเหตุผลที่เขาเลือกฮวงเมียนออกมาสู้กับหานเซิ่น  

Super God Gene – ตอนที่ 635 มอนสเตอร์ที่มีพรสวรรค์
Super God Gene – ตอนที่ 635 มอนสเตอร์ที่มีพรสวรรค์

  หลังจากที่หานเซิ่นเดินลมปราณเพื่อฝึกครบ 1 รอบ เขาก็ลืมตาขึ้นมา แต่เมื่อเขาเห็นผลน้ำเต้า เขาก็ต้องประหลาดใจ   หานเซิ่นสังเกตเห็นกระแสพลังแปลกๆกำลังวนไปรอบๆผลน้ำเต้า มันไม่ได้ต่างจากตอนที่ควีนใช้พลังของเขาเพื่อพัฒนาวิชาหมากล้อมสวรรค์เลย   “บ้าน่า ผลน้ำเต้านี่มันสามารถโคจรพลังได้ด้วยหรอ? อย่าบอกนะว่ามันกำลังดูดกลิ่นของเราเข้าไป?” หานเซิ่นมองผลน้ำเต้าด้วยความช็อค เขาสังเกตเห็นกระแสพลังอยู่รอบๆมันจริง   พลังของมันค่อนข้างเลื่อนลาง แต่มันก็ถือว่าเป็นกระแสพลังอยู่ดี พลังที่อยู่ภายในผลน้ำเต้ามหัศจรรย์มาก มันน่าจะดีพอๆกับหมากล้อมสวรรค์ของควีนเลย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกงงมาก มันยากที่จะอธิบาย   ขณะที่เวลาผ่านไป ผลน้ำเต้าก็พยายามกักเก็บกลิ่นเอาไว้ให้มากที่สุด และในตอนนี้หานเซิ่นก็มองไม่เห็นพลังที่ไหวเวียนไปรอบๆตัวมันแล้ว หานเซิ่นยื่นมือไปจับผลน้ำเต้า และเขาก็รู้สึกได้เลยว่าชีพจรที่เต้นอ่อนๆตอนนี้เริ่มเต้นแรงขึ้น   อยู่ๆหานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างได้ เขามองไปที่จิ้งจอกสีเงิน เขาจำได้ว่ามันเองก็สูดกลิ่นของเขาเข้าไป มันพยายามเข้ามาอยู่ใกล้ๆเขาทุกครั้งที่ฝึกศาสตร์ตงเสวียน ตอนแรกเขาก็คิดว่ามันแค่ชอบกลิ่นหอมๆเท่านั้น แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น   “จิ้งจอกสีเงินก็ต้องดูดกลิ่นของเราไปทุกครั้งที่เราฝึกศาสตร์ตงเสวียนแน่ แต่ที่เราไม่เคยสังเกตเห็นกระแสพลังรอบตัวมันน่าจะเป็นเพราะว่ามันดูดซับพลังเร็วเกินไป กว่าเราจะลืมตาขึ้นมา มันก็ดูดซับพลังไปหมดแล้ว” หานเซิ่นสันนิษฐาน   “หรือว่ามันเป็นเหตุผลที่จิ้งจอกสีเงินตามเรามา? และด้วยเหตุผลเดียวกันก็ทำให้ผลน้ำเต้ายอมหลุดจากเถาวัลย์ง่ายๆ? ทั้งหมดก็เพราะเราฝึกศาสตร์ตงเสวียนงั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขายังไม่แน่ใจเกี่ยวกับมันมากนัก   หานเซิ่นลองถือผลน้ำเต้า และเล่นกับมันอยู่สักพัก เขายังคิดเหตุผลอื่นที่พออธิบายเรื่องนี้ไม่ได้เลย ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจว่าจะแอบสังเกตจิ้งจอกในครั้งต่อไปที่เขาฝึกศาสตร์ตงเสวียน   วันรุ่งขึ้น หานเซิ่นก็ฝึกศาสตร์ตงเสวียนเหมือนปรกติ หลังจากที่เขาเดินลมปราณเสร็จรอบแรก เขาก็รีบลืมตาขึ้นมามองจิ้งจอกทันที   ครั้งนี้เขาเห็นได้ทันทีว่าจิ้งจอกกำลังดูดซับกลิ่นของเขาอยู่ มันดูดซับพลังได้ไวมาก แค่ชั่วครู่ก็หายไปจนหมด   จิ้งจอกสีเงินที่นอนอยู่ข้างๆเขาลืมตาขึ้นมา ครั้งนี้มันประหลาดใจที่เห็นหานเซิ่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ดังนั้นมันเลยรีบกระโดดเข้าไปซบอกของหานเซิ่น และเอาหัวของมันถูกับหน้าอกของเขา   “เจ้านี่แปลกมาก มอนสเตอร์โคจรพลังได้ด้วยหรอเนี่ย? เมื่อกี้เราเห็นชัดๆเลยว่ากระแสพลังหมุนรอบๆตัวมัน” หานเซิ่นลูบหัวจิ้งจอก ขณะที่กำลังครุ่นคิด   ครั้งต่อไปถ้าเขาฝึก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะสังเกตผลน้ำเต้าอย่างละเอียด การโครงจรพลังของผลน้ำเต้ามันต่างจากมนุษย์มาก เขาอยากจะรู้ว่าสามารถมันเอาไปประยุกต์ใช้ได้รึเปล่า   หลังจากนั่นอีก 2 วัน ควีนก็กลับมาที่เมือง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้อยู่นาน เธอแค่กลับมาบอกหานเซิ่นว่าเธอมีเรื่องยุ่งๆต้องไปจัดการที่สหพันธ์ดวงดาว จากนั้นเธอก็ออกไปเลย   หานเซิ่นตัดสินใจกลับไปที่ทุ่งน้ำแข็ง ตอนนี้มีเกาะลึกลับกำลังลอยอยู่เหนือทุ่งน้ำแข็ง   ในทุ่งน้ำแข็งมีคนไม่มากที่มีปีก ด้วยเหตุผลนี้ทำให้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปบนเกาะลึกลับได้ เนื่องจากไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่จะยึดเมืองบนเกาะลอยฟ้าได้ หานเซิ่นเลยต้องรีบไปจัดการด้วยตัวเอง   ถ้าเขาสามารถยึดครองเมืองสปิริตราชวงศ์บนเกาะลึกลับได้ เขาก็จะครอบครองเมืองระดับราชวงศ์ทั้งบนฟ้า บนบกและในน้ำ   เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับแล้ว ยังไงครั้งนี้เขาก็พลาดไม่ได้ ถ้าไม่มีใครยึดมันล่ะก็ เมื่อเวลาผ่านไปเกาะก็จะหายไปเองอย่างลึกลับ   หลังจากที่ได้รับแผนที่จากหวงฟูผิงชิงมา หานเซิ่นก็ไม่คิดจะรอช้า เขาเตรียมจะเดินทางกลับทุ่งน้ำแข็งทันที   ไม่นานหลังจากที่เขาเดินทางออกจากเมือง หานเซิ่นกำลังเดินทางตัดผ่านภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสถานที่ค่อนข้างลับตาผู้คน เขาสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจับตามองเขาอยู่ เขาหยุดเคลื่อนที่และก็ตะโกนเสียงดัง “คุณเฉิน เนื่องจากคุณมาถึงที่นี่แล้ว ทำไมไม่ออกมาให้ผมเห็นหน้าหน่อยล่ะ?”   ‘หมอนี่ประสาทสัมผัสดีจริงๆ’ เฉินรันเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่   ไม่เพียงแค่เฉินรันเท่านั้น ยังมีลูกน้องของเขาอีก 20 กว่าคนก็ปรากฏตัวออกมา และล้อมหานเซิ่นเอาไว้   พวกเขามีอาวุธครบมือ ราวกับพวกเขาเตรียมที่จะโจมตีได้ตลอดเวลา มีบางคนง้างธนูและเล็งมาที่หานเซิ่น ขอแค่เฉินรันสั่งคำเดียว พวกเขาก็พร้อมโจมตีหานเซิ่นทันที   “คุณเฉิน ที่คุณทำแบบนี้ก็เพราะผมปฏิเสธที่จะส่งวิญญาณอสูรให้คุณงั้นหรอ? มันถึงกับทำให้คุณคิดจะฆ่าผมเชียวหรอ?” หานเซิ่นยังคงอยู่บนหลังโกลเด้นโกรวเลอร์ ขณะที่พูด เสียงของเขาก็ยังดูสงบเยือกเย็นเหมือนปรกติ   เฉินรันยิ้ม “เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องรอง แค่เรื่องที่นายปฏิเสธ มันไม่เป็นผลกับฉันหรอก นายสนใจจะแลกเปลี่ยนกับฉันไหม หนุ่มน้อย ฉันแค่อยากจะถามคำถามนายสัก 2-3 ข้อ ถ้านายตอบได้ ฉันก็จะไม่ทำอะไรนาย”   “งั้นก็ถามมา คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะ?” หานเซิ่นยังไม่เคลื่อนไหว   คำถามแรกของเฉินรันก็ตรงเข้าประเด็นทันที “นายพึ่งจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้แค่ 1 ปี แล้วทำไมนายถึงสามารถปลดล็อคยีนและเก็บจีโนพ้อยได้มากขนาดนี้?”   เฉินรันจ้องหานเซิ่นตาไม่กระพริบ คำถามนี้บ่งบอกเลยว่าเฉินรันสืบข้อมูลของหานเซิ่นมาพอสมควร เขาคงจะช็อคกับข้อมูลที่ได้มาไม่น้อย   ในตอนที่หานเซิ่นอยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 เขายังมีซินเสวียนคอยช่วยอยู่ ซึ่งมันพอจะอธิบายได้ แต่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 เขาถูกส่งมาอยู่ทุ่งน้ำแข็ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตั้งตัวได้ยากลำบากมาก   ทรัพยากรก็มีจำกัด แถมยังถูกปิดกั้นทุกด้าน แต่เขากับมาได้ไกลขนาดนี้ เขาแข็งแกร่งถึงขั้นปลดล็อคยีนได้ เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปสำหรับเฉินรัน เขาคิดว่าหานเซิ่นจะต้องกำความลับอะไรไว้อย่างแน่นอน   เฉินรันคิดว่าถ้าล่วงข้อความลับจากหานเซิ่นได้ เขาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เขาอาจจะสามารถเอาชนะมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้ และกลายเป็นผู้วิวัฒนาการที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์   เขาอยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 มาเกือบ 100 ปีแล้ว และนั่นคือจุดมุ่งหมายในชีวิตของเขา แต่ไม่ว่าเขาจะฝึกหนักแค่ไหน เขาก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดได้   ตอนนี้หานเซิ่นอาจจะกำความลับที่จะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องเอามันมาให้ได้   เฉินรันเชื่อว่าหานเซิ่นมีพรสวรรค์ที่สุดยอด เพราะเขาปลดล็อคยีนได้หลังจากที่เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้แค่ปีเดียว เขายังเชื่ออีกว่าหานเซิ่นจะต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างที่ทำให้เขามีถึงจุดนี้ได้   “ผมก็คิดว่าคุณจะถามคำถามที่มันสำคัญซะอีก แต่มันกับเป็นคำถามที่ไร้สาระ ไม่เห็นจำที่คุณจะต้องพาคนมาขนาดนี้เพื่อถามคำถามนี้เลย” หานเซิ่นหัวเราะ   “งั้นก็บอกฉันมา!” เฉินรันเหมือนจะไม่ตลกด้วย เขามองหานเซิ่นด้วยแววตาที่ดุดัน   “การที่ผมมีจีโนพ้อยเยอะและปลดล็อคยีนได้ก็เพราะเหตุผลง่ายๆ” หานเซิ่นพูด   “เหตุผลอะไร?” เฉินรันถามพร้อมกับเบิกตากว้าง   “นั่นก็เพราะว่าฉันคืออัจฉริยะ” หลังจากพูดจบ หานเซิ่นก็หัวเราะเสียงดัง . . ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจด้วยครับ >>> SSG (ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอนที่ 2023 แล้วครับ)