Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 574 บุกเดี่ยวเข้าเมืองสปิริต
Super God Gene – ตอนที่ 574 บุกเดี่ยวเข้าเมืองสปิริต

  “จิ้งจอกเงินดูฉันสิ! ฉันน่าสงสารแค่ไหน แค่ฉันจะเลี้ยงตัวเองก็ยากมากพออยู่แล้ว ฉันไม่มีอาหารมากพอ ตอนนี้ฉันไม่สามารถหาอาหารมาเลี้ยงนายได้ นายรู้ตัวใช่ไหมว่านายกินมากเกินไป ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้นายกินเยอะๆ อย่าพึ่งเข้าใจฉันผิด แต่นายก็คงอยากให้คนอื่นกินอิ่มเหมือนกันใช่ไหม? นายออกไปล่าปลาให้ฉันสัก 3-4 ตัวได้ไหม ถ้านายทำแบบนั้น ฉันจะช่วยเอามันมาทำเป็นอาหารให้เอง ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ?” หานเซิ่นยิ้ม ขณะที่เขากำลังพูดกับจิ้งจอกสีเงิน   ซีโร่มองหานเซิ่นด้วยสายตาเหยียดหยัน สายตาที่เธอมองเขา มันราวกับว่าเธอกำลังเห็นเขาพยายามหลอกลักพาตัวเด็กไม่มีผิด   จิ้งจอกสีเงินเอียงคอของมัน มันมองที่หานเซิ่นด้วยความสงสัย “ปลา..นู้นตรงนู้น… นาย…ไปจับมันมา…แล้วพวกเรา..จะเอามันมาทำเป็นอาหาร!” หานเซิ่นชี้ไปยังปลาที่กำลังว่ายน้ำอยู่นอกหน้าต่างปราสาทคริสตัล เขาพยายามทำท่าทางให้จิ้งจอกเข้าใจ   แต่เมื่อมันมองผ่านหน้าต่างออกไป มันก็หันกลับมามองหานเซิ่น เมื่อหานเซิ่นปล่อยมันลง มันก็เดินไปที่ขาของหานเซิ่น และก็ใช้หางของมันลูบขาของหานเซิ่นเหมือนปรกติที่มันชอบทำ   “นายเป็นลูกของมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด นายควรจะมีเกียรติและศักดิ์ศรีบ้างนะ นายจะทำตัวน่ารักอย่างเดียวไม่ได้ โลกนี้มันโหดร้ายกว่าที่นายคิด นายต้องมีความสามารถในการต่อสู้ด้วย ถ้านายอยากจะอยู่รอดให้ได้ นายเข้าใจใช่ไหม?” หานเซิ่นพยายามจะอบรมจิ้งจอก เขาชี้ไปที่หน้าต่างอีกครั้ง “ไปจับปลามาให้ฉัน ไม่งั้นคืนนี้นายจะไม่ได้กินอาหาร”   จิ้งจอกสีเงินยังคงทำหน้าตาไร้เดียงสา มันใช้หัวของมันถูกับขาของหานเซิ่น   ไม่นานหานเซิ่นก็ยอมแพ้ เขาหมดหวังที่จะใช้จิ้งจอกไปจับมอนสเตอร์ให้แล้ว เขาอุ้มจิ้งจอกขึ้นมาและพูด “นายทำตัวไร้ประโยชน์มาก” หานเซิ่นตำหนิจิ้งจอกสีเงิน   ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แม้เขาจะไม่สามารถสั่งให้จิ้งจอกไปล่ามอนสเตอร์ได้ แต่ตอนนี้เขามีความคิดดีๆอย่างหนึ่ง   “โอเค ถ้านายไม่ยอมไปล่าก็ไม่เป็นไร! ฉันแค่พานายไปที่เมืองสปิริตก็พอ ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมอนสเตอร์ในเมืองจะวิ่งหนีกันหมดไหมนะ? ถ้ามันวิ่งหนีกันหมด ฉันก็จะไปถึงศูนย์กลางของเมืองได้ไม่ยาก แต่อย่างหนึ่งที่ฉันยังไม่แน่ใจก็คือสปิริตมันจะหนีไปด้วยรึเปล่า ถ้ามันหนีไปฉันก็เอาสปิริตสโตนมาได้ง่ายๆ ฮาฮา! ฉันเป็นอัจฉริยะจริงๆ” หานเซิ่นยิ้มจนหน้าบาน ถ้ามันเป็นไปตามที่เขาคิด เขาจะสามารถเอาสปิริตสโตนมาได้อย่างง่ายดาย   “มาจิ้งจอกน้อยน่ารัก ฉันจะทำสเต็กปลาให้นายกิน นายอยากจะลองไหมล่ะ?” หานเซิ่นมีความสุขมาก หลังจากที่เขาคิดวิธีนั้นออก เขาก็กระโดดไปในน้ำ เพื่อไล่จับปลามาทำเป็นอาหารให้จิ้งจอก   เมื่อเห็นจิ้งจอกสีเงินกินสเต็กปลาอย่างช้าๆ หานเซิ่นก็ยิ้ม แต่ตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย “ดีมากเด็กดี! กินให้มากๆ เมื่อนายอิ่มเมื่อไหร่ พวกเราจะออกไปทำงานกัน”   หานเซิ่นล่ามอนสเตอร์กลายพันธ์ในจำนวนที่เพียงพอสำหรับ 1 เดือน จากนั้นเขาก็ให้เจ้าหญิงเงือกขับปราสาทคริสตัลกลับไปที่ทุ่งน้ำแข้งทันที   หลังจากที่เขากลับขึ้นมาบนบกแล้ว เขาก็อุ้มจิ้งจอกสีเงิน และวิ่งตรงไปที่เมืองสปิริตราชวงศ์ทันที ไม่นานเขาก็ไปถึงที่นั่น   เมืองสปิริตราชวงศ์ยังคงตั้งอยู่อย่างสงบเหมือนปรกติ มีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังเดินอยู่รอบๆ หานเซิ่นหันมามองหน้าจิ้งจอกสีเงินในมือ เขากระซิบกับมัน “นี่เป็นเวลาของพวกเราแล้ว”   หานเซิ่นยังคงถือจิ้งจอกอยู่ในมือ เขาวิ่งตรงเข้าไปในเมืองสปิริตราชวงศ์ทันที มันเป็นเหมือนที่เขาคาดเอาไว้ มอนสเตอร์ทั้งหมดวิ่งหนีออกไป ไม่มีมอนสเตอร์สักตัวเข้ามาขวางทางเขา พวกมันหนีไปก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้ซะอีก   “ฮาฮา! งานนี้ฉันรวยเละแน่” หานเซิ่นรู้สึกดีมากที่เขาเข้ามาในเมืองสปิริตราชวงส์โดยไม่เจอมอนสเตอร์สักตัว เขาสงสัยมากว่าพวกมันไปที่ไหนกัน แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องไปให้ถึงวิหารที่เก็บสปิริตสโตน   หานเซิ่นเข้าไปในวิหารได้อย่างราบลื่น แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด เพราะเขาเห็นสปิริต 2 พี่น้องกำลังยืนอยู่ภายในวิหาร พวกมันไม่ได้วิ่งหนีไปไหนอย่างที่เขาหวังเอาไว้   เมื่อเห็นสปิริตผมเงินและผมบรอนด์ชักดาบออกมา หานเซิ่นก็เรียกวิญญาณอสูรชุดเกราะและกรีฟการ์กอยออกมาทันที จากนั้นเขาก็เรียกวิญญาณอสูรมาสคอตและอสรพิษเนตรเงินออกมา   เคร็ง! เคร็ง! เคร็ง! สปิริต 2 พี่น้องบุกเข้ามาโจมตีหานเซิ่นเหมือนกับสายฝนกระหน่ำ กระบี่ของพวกเธอกระหน่ำโจมตีเข้ามาจากทุกด้าน ราวกับว่าพวกเธอกำลังพยายามทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนที่หนีไปไหนได้ เขาจะต้องตั้งรับอย่างเดียว   แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจมากก็คือ วิชาดาบของพวกเธอยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ พวกเธอเร็วยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขาเคยสู้ด้วย การฟันแต่ละครั้งหนักขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าคงต้านต่อไปได้อีกไม่นาน   สปิริตผมเงินฟันถูกไหล่ของหานเซิ่นจนมีเลือดไหลออกมา แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่จุดสำคัญ ทำให้หานเซิ่นไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่นัก   หานเซิ่นรู้ว่าวิชาดาบของเขายังไม่สมบูรณ์ 100% และมันยังมีจุดอ่อนบางจุด แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เขาต่อสู้กับสปิริต 2 พี่น้องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เขาถูกโจมตีหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ต้องเรียกปีกวิญญาณอสูรออกมาและบินหนี   สปิริต 2 พี่น้องไม่สามารถบินได้ และมอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็ไม่กล้าเข้าใกล้หานเซิ่นด้วย เพราะตอนนี้เขามีจิ้งจอกอยู่ด้วย ดังนั้นพวกมันได้แต่มองดูหานเซิ่นบินหนีไป   “ไว้ฉันจะกลับมาอีกครั้ง!” หานเซิ่นตะโกนไปที่สปิริต 2 พี่น้อง ขณะที่เขากำลังบินหนี   “นายมันจิ้งจอกไร้หัวใจ ฉันให้อาหารนายทุกวัน ฉันปฏิบัติกับนายเหมือนกับลูกชาย แล้วดูสิ่งที่นายทำสิ นายเห็นฉันบาดเจ็บใช่ไหม? แล้วทำไมนายถึงไม่ช่วยฉัน? นายมันจิ้งจอกตาขาว!” หานเซิ่นโวยใส่จิ้งจอกสีเงินทันที หลังจากที่เขาหนีออกมาได้   ตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าถ้าเขาถูกสปิริตแฝดทำร้าย จิ้งจอกสีเงินจะต้องโกรธและเข้ามาปกป้องเจ้านายอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่มันทำก็แค่ยืนเกาะอยู่บนไหล่ของเขาเฉยๆ มันไม่ได้ขยับแม้แต่นิ้วเดียว   จิ้งจอกสีเงินทำเหมือนกับว่ามันไม่ได้เห็นอะไร แต่กระนั้นมันก็ยังเลียแผลของหานเซิ่น ขณะที่เขากำลังบินหนี เหมือนที่มันเคยทำมาก่อน เกือบจะทันทีหลังจากที่แผลของหานเซิ่นถูกน้ำลายของจิ้งจอก มันก็หายเกือบจะสนิท   แม้จะหงุดหงิดอยู่ แต่หลังจากที่ได้เห็นจิ้งจอกรักษาแผลให้ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรมันต่อ เขายิ้มและลูบหัวของจิ้งจอกสีเงิน   แต่กระนั้นความพยายามของหานเซิ่นก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะไม่ว่าเขาจะฝึกวิชาดาบคู่หนักแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ มันถูกออกแบบมาเพื่อสู้กับสปิริตแฝดโดยเฉพาะ การที่เขาได้มีโอกาสทดสอบใช้งานกับพวกเธอจริงๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้เขาจะกลับไปแก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้   เขายังรู้อีกว่าตอนนี้เขาสามารถบินเข้าออกเมืองสปิริตได้อย่างสบายๆ เขาสามารถเข้าไปสู้กับสปิริตแฝดเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ ถ้าเขากลับมาสู้กับเธออีกสัก 3-4 ครั้ง เขาก็คงจะเอาชนะพวกเธอได้ในที่สุด   “ไม่เป็นไร ถ้าครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ เราก็จะลองทำมันอีกสัก 10 ครั้ง และถ้ายังไม่สำเร็จ เราก็จะมาลองเป็น 100 ครั้ง” หานเซิ่นตัดสินใจแน่วแน่ หลังจากที่เขาพักฟื้นพลังแล้ว เขาก็วิ่งกลับเข้าไปที่เมืองสปิริต พร้อมกับจิ้งจอกสีเงินอีกครั้ง   ทุกครั้งที่เขาสู้กับสปิริต 2 พี่น้อง เขาจะแพ้ แต่กระนั้นในการต่อสู้แต่ละครั้ง วิชาดาบคู่ของหานเซิ่นก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ   หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ลองพยายามทั้งหลอกล่อและยั่วยุสปิริต แต่พวกเธอก็ไม่ยอมออกมาจากวิหารที่เป็นที่เก็บสปิริตสโตนเลย พวกเธอกลัวว่าถ้าพวกเธอออกไป หานเซิ่นอาจจะแอบเข้ามาทำลายสปิริตสโตน   วิชาดาบของหานเซิ่นค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ เขากลับมาสู้กับสปิริตทุกๆ 2 วัน เมื่อเขาแพ้ เขาก็จะกลับไปรักษาตัว และนั่งคิดว่าทำไมเขาถึงได้แพ้ การที่เขาพยายามแก้ไขจุดผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทำให้เขาค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ   หานเซิ่นเชื่อว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป วิชาดาบคู่ของเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะสปิริตได้ภายใน 1 เดือน  

Super God Gene – ตอนที่ 573 มันก็แค่แมว
Super God Gene – ตอนที่ 573 มันก็แค่แมว

  “คุณหาน ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้พบคุณ!” ในเมืองแบล็คก็อตชายหนุ่มจับมือทักทายกับหานเซิ่น พร้อมกับแสดงความนับถือเขา   หานเซิ่นยิ้มให้ชีซิวเหวิน ซึ่งเขาดูเป็นหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดีเลยทีเดียว แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจคนละลาย แต่ความรู้สึกที่หานเซิ่นได้รับจากหนุ่มคนนี้มันคล้ายกับความรู้สึกที่เขาได้รับจากหนิงเยวี่ย เพียงแค่ชีซิวเหวินดูหนุ่มกว่าเท่านั้น   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังรู้สึกว่าหนิงเยวี่ยน่ากลัวกว่าคนคนนี้มาก แม้ตอนนี้ชีซิวเหวินจะยังดูด้อยกว่าหนิงเยวี่ย แต่ในอนาคตหนุ่มคนนี้จะต้องสร้างชื่อให้ตัวเองได้แน่   หานเซิ่นสังเกตชีซิวเหวินอย่างละเอียด หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ไม่คิดจะสนใจเขา เพราะดูยังไงหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะมาเป็นศัตรูกับเขาได้ ในทุ่งแข็งแห่งนี้ไม่มีใครเลยที่เก่งพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ตอนนี้หานเซิ่นมองไปถึงดินแดนกว้างใหญ่ภายนอกแล้ว   “พี่หาน ผมคงต้องพึ่งพาคุณอีกมาก ผมเพิ่งจะเข้ามาก็อตแซงชัวรี่และมาถึงเมืองนี้หมาดๆ คุณพอจะหาเนื้อกลายพันธ์และวิญญาณอสูรให้ผมได้ไหม? มันจะดีมากถ้าเป็นระดับเลือดศักดิ์สิทธิ!” ชีซิวเหวินพูดอย่างสุภาพ เขาทำตัวเหมือนเด็กใหม่จริงๆ   “ไม่มีปัญหา” หานเซิ่นตอบ   ชีซิวเหวินรู้สึกมีความสุขมาก เขาพูดอย่างพอใจ “งั้นผมก็คงต้องพึ่งคุณแล้ว พ่อบอกให้ผมเรียนรู้จากคุณให้มาก ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ครั้งหน้าถ้าคุณออกไปล่าพาผมไปด้วยได้ไหม?”   “แน่นอน” หานเซิ่นตอบ   หานเซิ่นบอกให้หยางม่านลี่ขายเนื้อและวิญญาณอสูรให้ชีซิวเหวิน ถ้าเขาสามารถหาเงินมาจ่ายได้ก็ไม่มีเหตุผลที่หานเซิ่นจะต้องปฏิเสธ   “คุณชี ทำไมคุณถึงไปนอบน้อมกับหานเซิ่นถึงขนาดนั้นล่ะ? ในเมืองแบล็คก็อตนี้มีแต่คนของเรา แค่สั่งคำเดียว พวกเขาก็สามารถยึดอำนาจจากเขาได้ทันที” ผู้วิวัฒนาการคนหนึ่งพูดกับชีซิวเหวิน หลังจากที่หานเซิ่นไปแล้ว   ชีซิวเหวินพูดอย่างเยือกเย็น “มันไม่ง่ายเหมือนที่นายคิด หานเซิ่นไม่ใช่คนธรรมดา การไล่เขาออกไปไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา นายแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และอย่าไปต่อต้านเขา ฉันจะอยู่ใกล้ชิดเขาสักระยะ แล้วหลังจากนั้นพวกเราค่อยมาหาวิธีกันทีหลัง”   “ทำไม?” ผู้วิวัฒนาการหลายคนมองชีซิวเหวินด้วยความรู้สึกที่ไม่เห็นด้วย   “ถ้าเราต้องการเอาชนะใครสักคน มันจะง่ายกว่าถ้าเราเข้าไปใกล้ชิดคนคนนั้น” ชีซิวเหวินพูดอย่างสงบ …   หยางม่านลี่รู้สึกสับสน เธอคิดว่าหลังจากที่ชีซิวเหวินมาถึงเมืองแบล็คก็อต มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่ แต่ผลปรากฏว่าทุกอย่างยังคงสงบเรียบร้อยดี ทุกคนยังคงฟังคำสั่งของหานเซิ่น และทำหน้าที่ตัวเองเหมือนปรกติ   แต่กระนั้นชีซิวเหวินก็ตามติดหานเซิ่นไปทุกที่เหมือนกับเงา เหมือนกับว่าเขานับถือหานเซิ่นเป็นลูกพี่ใหญ่   แต่หยางม่านลี่ก็รู้สึกไม่ดีกับชีซิวเหวิน ถึงเขาจะแสดงออกว่าเขาเคารพหานเซิ่นมาก แต่หยางม่านลี่ก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างอดไม่ได้ เหมือนกับเงาแห่งความชั่วร้ายกำลังก่อตัวขึ้น   “ฉันคิดว่าชีซิวเหวินมีอะไรชอบมาพากล โปรดระวังเขาให้มาก อย่าให้เขาเข้าใกล้นายมากไปกว่านี้จะดีกว่า” หยางม่านลี่เตือนหานเซิ่น   “ฉันเข้าใจ” หานเซิ่นตอบ แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย เมื่อชีซิวเหวินถามอะไร หานเซิ่นก็จะสอนและอธิบายให้เขาฟัง   หยางม่านลี่เตือนหานเซิ่นทุกอย่างแล้ว แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย   “ฉันคิดว่าเราต้องคุยกันเกี่ยวกับเรื่องชีซิวเหวินอย่างจริงจังแล้ว” หยางม่านลี่ก็เดินเข้ามาหาหานเซิ่นอีกครั้ง เธอมาขวางทางเขา ตอนที่เขากำลังจะออกไปล่า   “ไม่มีปัญหา พูดมาได้เลย” หานเซิ่นยิ้ม เขานั่งลงพร้อมที่จะรับฟังหยางม่านลี่   “ชีซิวเหวินเป็นคนที่อันตราย ตอนนี้ดูเหมือนเขาพยายามจะหว่านล้อมคนที่ใกล้ชิดนายให้ไปอยู่ข้างเขา คนคนนี้เหมือนกับงูพิษ” หยางม่านลี่พูดไปตรงๆ เธอหวังให้หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น   “เรื่องนั้นฉันรู้” หานเซิ่นพูด   “ถ้านายรู้แล้ว ทำไมนายถึงยังทำตามทุกอย่างที่เขาขอ?” หยางม่านลี่มองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไรอยู่   หานเซิ่นหยุดคิดอยู่ชั่วครู่ เขาเอียงหัวและพูด “ม่านลี่ เธอเคยมีสัตว์เลี้ยงไหม?”   “นี่ฉันกำลังพูดเรื่องซีเรียสอยู่นะ!” หยางม่านลี่เริ่มหงุดหงิดแล้ว   “ฉันดูเหมือนไม่จริงจังงั้นหรอ? ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอเคยเลี้ยงสัตว์บ้างไหม?” หานเซิ่นยิ้มพร้อมกับถาม   “ไม่” แม้หยางม่านลี่จะไม่พอใจ แต่เธอก็ตอบคำถาม   “ฉันเคยรู้จักเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เลี้ยงแมว มันเป็นคู่หูและเพื่อนที่ดี และเพื่อนบ้านของฉันก็ดูจะหลงรักมันจริงๆ เขาแปรงขนมันทุกเส้น และป้อนอาหารที่หรูหราให้กับมัน เท่านั้นยังไม่พอเขายังสร้างบ้านราคาแพงให้มันอยู่” หานเซิ่นยิ้มและพูดต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเดินผ่านบ้านของเขา ฉันก็มักจะมองเข้าไป และเห็นแมวนอนอาบแดดอยู่ในลานบ้านเหมือนกับราชา มันทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านซะเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่มันหงุดหงิด มันก็จะไปกัดรองเท้าของเจ้าของบ้าน และเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าของมันไม่สนใจ มันก็จะไปฉีกหนังสือที่เขากำลังอ่าน”   ตาของหยางม่านลี่เป็นประกายขึ้นมา ราวกับว่าเธอตระหนักถึงเรื่องบางอย่างได้ จากนั้นเธอก็มองหานเซิ่น   “ฉันก็สงสัยมากจนฉันต้องเข้าไปถามเจ้าของว่าทำไมเขาถึงเลี้ยงแมวนิสัยเสียแบบนั้น” หานเซิ่นพูด   “แล้วเขาตอบว่ายังไง” หยางม่านลี่ถามด้วยความอยากรู้   หานเซิ่นถอนหายใจ “เจ้าของบ้านทำตาแคบลง เขาบอกว่า ‘เธอไม่รู้หรอว่ามันก็แค่แมวตัวหนึ่ง? โลกของมันก็แค่โลกเล็กๆ ขณะที่ฉันคือเจ้านายมัน ฉันมีทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงในสายตาของมันจะคิดว่าตัวมันยิ่งใหญ่และครอบครองทุกสิ่ง แต่ในมุมมองของเรา มันก็แค่แมวตัวหนึ่ง”   หลังจากที่เขาพูด เขาก็จับไหล่ของหยางม่านลี่ “เธอไปทำหน้าที่ของเธอได้แล้ว โลกของเธอไม่ได้มีแค่นี้”   เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินออกจากห้องไป หยางม่านลี่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่มันก็มีความรู้สึกที่เด่นชัดออกมา ซึ่งก็คือความรู้สึกช็อค   “งั้นแสดงว่าเขาไม่ได้เห็นชีซิวเหวินอยู่ในสายตาเลย สำหรับแล้วเขาแค่ได้ครอบครองทุ่งน้ำแข็งทั้งหมดก็ยังไม่ใช่โลกที่เหมาะสมกับเขาอีกงั้นหรอ?” หยางม่านลี่รู้สึกสับสน เธอพูดกับตัวเอง “สำหรับนาย ชีซิวเหวินก็คงเป็นแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นสินะ”   หลังจากที่หานเซิ่นออกจากเมืองไป เขาก็ดำน้ำลงไปที่ปราสาทคริสตัลทันที เขาต้องการจะออกล่ามอนสเตอร์กลายพันธ์เพื่อเก็บจีโนพ้อยเพิ่ม เนื้อมอนสเตอร์กลายพันธ์ที่เขาล่ามาก่อนหน้านี้ถูกกินไปจนหมดแล้ว ตอนนี้จีโนพ้อยกลายพันธ์ของเขามี 76 จีโนพ้อย มันใกล้ที่จะเต็มเข้าไปทุกที   แม้จะมีมอนสเตอร์กลายพันธ์มากมายใต้ทะเล แต่เนื่องจากพวกมันตัวใหญ่จึงต้องใช้เวลากินนาน มอนสเตอร์กลายพันธ์ขนาดเล็กนั้นหาได้ยากมาก   จิ้งจอกสีเงินนั่งอยู่บนไหล่ของหานเซิ่นอย่างสงบ มันกระดิกหางของมันตลอดเวลา ขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังปลาที่กำลังว่ายน้ำอยู่ข้างนอก   ‘ดูเหมือนมอนสเตอร์ที่อยู่นอกปราสาทคริสตัลจะไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของจิ้งจอกสีเงิน บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเรา’ หานเซิ่นคิด  

Super God Gene – ตอนที่ 572 มีปัญหาแล้ว
Super God Gene – ตอนที่ 572 มีปัญหาแล้ว

  หลังจากที่แอนนี่กลับไปถึงห้องของเธอ เธอก็โหลดข้อมูลจากกล้องสังเกตการณ์ ซึ่งเป็นวิดีโอการฝึกซ้อมของหานเซิ่น จากนั้นเธอก็ส่งมันไปให้ใครบางคน   ในเวลาเดียวกันในออฟฟิตแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนเปิดวิดีโอ หลังจากที่ดูมันเสร็จ เขาก็หลับตาและเอนหลังพิงเก้าอี้ เหมือนกับว่าเขากำลังจะพักผ่อน แต่เมื่อเขาลืมตา เขาก็ดูวิดีโอนั้นอีกครั้ง   “1 จิต ควบคุม 2 มือได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือทาญาติของหานจิงจื่อจริงๆงั้นหรอ? คำทำนายของหานจิงจื่อกำลังจะเป็นจริงขึ้นมาแล้วงั้นหรอ?” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะใช้ความคิดหนักจริงๆ   ไม่นานเสียงคอมบนโต๊ะของเขาก็ดังขึ้น เขามองดูเบอร์คนที่โทรมาและเขาก็ยิ้ม เขากดรับสาย จากนั้นภาพโฮโลแกรมของสาวสวยก็ปรากฏขึ้นมาบนจอ   “เหยียนหรัน ในที่สุดลูกก็หาเวลาโทรหาชายแก่คนนี้ได้แล้วหรอ? นึกว่าพอมีเวลาว่างจะอยู่แต่กับแฟนซะอีก” ชายวัยกลางคนพูด   จีเหยียนหรันหน้าแดง “พ่อกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พ่อก็น่าจะรู้นี่ว่าหนูก็คิดถึงพ่ออยู่ตลอด”   “พ่อรู้ว่าลูกคิดถึงพ่อ เพราะงั้นอย่างกังวลเลย แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าลูกจะมีเวลาติดต่อกับพ่อน้อยลงเรื่อยๆ ลูกมีเวลาก็ติดต่อไปหาแม่เขาบ้าง เห็นแบบนั้น แต่แม่เขาก็คิดถึงลูกมากกว่าใคร” ชายวัยกลางคนพูด   “หนูรู้ค่ะพ่อ หนูก็พึ่งจะคุยกับแม่มา แต่แม่ก็เอาแต่บ่นหนูตลอดเลย” จีเหยียนหรันพูด   “ไว้รอให้หานเซิ่นเสร็จจากการรับใช้กองทัพตามเกณฑ์ก่อน และลูกก็แนะนำเขาให้แม่เขารู้จัก พวกลูกก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พวกลูกก็ควรจะรีบแต่งงานกัน พ่อคนนี้อยากจะเห็นหน้าหลายไวๆ”   “พ่ออยากให้หนูแต่งงานมากขนาดนั้นเลยหรอ?” จีเหยียนหรันหน้าเเดง แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขที่รู้ว่าพ่อของเธอเห็นดีด้วย   “หรือลูกจะบอกว่าหนุ่มที่ชื่อหานอะไรนั่นไม่ดีพอสำหรับลูกล่ะ? ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อจะสั่งให้แอนนี่โยนเขาลงที่ดาวดวงไหนสักดวง ลูกจะได้ไปหาคนที่ลูกชอบ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม   ลูกสาวมักจะรู้ความคิดของพ่อตัวเองเสมอ และจีเหยียนหรันก็รู้ว่าพ่อของเธอกำลังคิดอะไร เธอหัวเราะ “เลิกล้อเล่นแค่นี้เถอะพ่อ ไว้รอให้เขารับใช้กองทัพเสร็จเมื่อไหร่ หนูจะพาเขากลับไปพบพ่อกับแม่ ถ้าพ่อกับแม่ไม่พอใจในตัวเขา หนูนี่แหละที่จะโยนเขาทิ้งเอง!”   “ดูเหมือนลูกจะมั่นใจในตัวเขามากนะ เหมือนลูกสาวของพ่อจะหลงเขาเข้าจริงๆแล้ว เมื่อคิดว่าลูกสาวที่เลี้ยงดูมา 20 กว่าปีจะต้องมาถูกพรากจากไป ใจพ่อก็….” “พ่อ เลิกแกล้งหนูเล่นสักทีเถอะ พูดแบบปรกติดีกว่า!”   แต่หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จ รอยยิ้มของชายวัยกลางคนก็จางหายไป เขาอ่านข้อมูลที่แอนนี่ส่งมาอย่างละเอียด พร้อมกับดูวิดีโอ ตอนนี้เขากำลังนั่งเอานิ้วเคาะโต๊ะ ขณะอ่านข้อมูลไปด้วย เขาไม่พูดอะไรเลยจนกระทั่งอ่านจบ   “หานจิงจื่อ ถึงจะตายไปแล้ว คุณก็ยังสร้างเรื่องยุ่งๆไว้อีกนะ” หลังจากเงียบอยู่นาน ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ปิดคอมของเขา   การดวลกับแอนนี่ หานเซิ่นต้องใช้พลังงานทั้งด้านจิตใจและพลังกายสูงมาก หลังจากวันนั้นหานเซิ่นก็ต้องหยุดพักไป 12 วันเต็มๆ เขาไม่ได้ฝึกซ้อมวิชาดาบคู่ต่อ เขากลับไปที่ห้องของเขา และล้มตัวลงนอนบนเตียง จากนั้นเขาก็อ่านข่าวในเน็ต   ตอนนี้หลายๆสถานีกำลังทำข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ที่กำลังจะมาถึง นี่เป็นงานใหญ่ของสหพันธ์ ผู้สมัครแต่ละคนกำลังหาเสียงของตัวเองอยู่   ในรายชื่อผู้สมัครลงเลือกตั้งครั้งนี้มีชื่อที่หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจ “ถ้าจียัวเจินได้เป็นผู้นำคนใหม่…” หานเซิ่นอ่านข่าวไปแล้วก็ถอนหายใจ ตอนนี้สีหน้าของเขากำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน   จากนั้นเขาก็อ่านข่าวในหัวข้ออื่นๆ เช่นเรื่องเกี่ยวกับเมืองในก็อตแซงชัวรี่ เรื่องของเด็กอัจฉริยะที่วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิก่อนอายุ 20 ผู้เป็นเลิศที่ฆ่ามอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิได้ กึ่งเทพที่ใช้หมัดของเขาทำลายยานรบของชูร่า ฯลฯ แม้จะเป็นหัวข้อใหม่ๆที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อ เพราะมีแต่ข่าวแบบเดิมๆ   “ถ้าเราไม่ได้เป็นกึ่งเทพ มันก็คงยากที่เราจะขึ้นไปมีอำนาจเหมือนคนอื่นๆได้” ตาของหานเซิ่นเป็นประกายขึ้นมา เขามั่นใจมากว่าด้วยความสามารถของเขา วันหนึ่งเขาจะได้เป็นกึ่งเทพ แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องทำให้พื้นฐานของเขาสมบูรณ์ซะก่อน ถ้าไม่อย่างงั้นแล้วมันก็ยากที่เขาจะไปถึงก็อตแซงชัวรี่เขต 4   ตอนนี้ยังไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถไปยังก็อตแซงชัวรี่เขต 5 ได้ ทำให้ยังไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นยังไงกันแน่   หานเซิ่นไม่ได้ต้องการจะครองความยิ่งเหนือทั้งสหพันธ์ดวงดาว เขาต้องการอิสระ เขาไม่ต้องการอยู่ใต้การปกครองของผู้ใด เขาไม่อยากให้ใครมาห้ามนู้นห้ามนี่ เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ   การตายของพ่อเขายังเต็มไปด้วยปริศนา ถ้าเขาไม่มีอำนาจมากพอ เขาก็จะไม่มีวันรู้ความจริงเรื่องนี้ได้   ขณะที่หานเซิ่นกำลังใจลอยก็มีเสียงคนโทรเข้ามา ซึ่งก็คือหยางม่านลี่ หานเซิ่นรู้ว่าหยางม่านลี่จะไม่โทรมา ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญ ดังนั้นเขาจึงรีบรับสาย ภาพของเธอปรากฏบนจอทันที   “ฉันกลัวว่านายจะมีปัญหาแล้ว” หยางม่านลี่พูด   “เป็นปัญหาแบบไหน?” หานเซิ่นถามแบบสบายๆ ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาไหนที่เขาลงมือทำเองแล้วแก้ไม่ได้   “หน่วยพิเศษมอบภารกิจให้เราคุ้มกันคนคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้ามาก็อตแซงชัวรี่เขต 2” หยางม่านลี่อธิบาย   “เขามาที่เมืองเทพธิดาของเรางั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม   “ไม่ตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองสตาร์วีล” หยางม่านลี่พูด   “คนคนนี้พิเศษยังไง?” หานเซิ่นไม่คิดว่าหยางม่านลี่จะเรียกคนอื่นว่าตัวปัญหา ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาๆ   “เขาคือตงเซิน ลูกชายของตงลี่” หยางม่านลี่พูด   หานเซิ่นค่อนข้างช็อค “ช่างบังเอิญจริงๆ!” ตงลี่คือคนที่อยู่เบื้องหลังแบล็คก็อต ซึ่งคอยเป็นแบล็คอัพให้เขาจนสามารถครอบครองเมืองบนทุ่งน้ำแข็งได้หลายเมือง   “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงบอกว่านายเจอปัญหาแล้ว ชายคนนั้นคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ และคนที่ติดตามนายอยู่ส่วนมากก็ยังฟังคำสั่งของตงลี่ ถ้าลูกชายของเขามาอยู่ที่นี่ มันก็ยากที่เราจะรักษาอำนาจในเมืองแบล็คก็อตได้” หยางม่านลี่พูด   “เหมือนพวกเขาจงใจให้เรากลายเป็นผู้คุ้มกันในฐานะคนของหน่วยพิเศษ และเหมือนว่าเราจะไม่สามารถปฏิเสธได้ซะด้วย” หานเซิ่นพูดพร้อมกับยิ้ม   “นายยังยิ้มได้ทั้งๆที่เจอสถานการณ์แบบนี้น่ะหรอ?” หยางม่านลี่ไม่เข้าใจ ถ้าเธออยู่ในตำแหน่งเดียวกับหานเซิ่น แล้วเจอปัญหาเหมือนตอนนี้ เธอคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่หานเซิ่นกลับยิ้มออก   หานเซิ่นยิ้มอีกครั้ง “ทำไมฉันถึงจะยิ้มไม่ได้ล่ะ? ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการแบบไหน การให้ลูกที่อ่อนแอมาเอาเมืองคืน เขาคงคิดง่ายไป และยิ่งกว่านั้นยังมีสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งพวกเขายังต้องปฏิบัติตาม ไม่มีทางที่ตงลี่จะยึดอำนาจจากเราได้”   “บางทีที่นายพูดมาอาจจะถูก แต่ถ้าคนอื่นๆไม่ฟังนาย และหันไปเชื่อฟังลูกของเขาแทน ถึงตอนนี้นายจะทำยังไง?” หยางม่านลี่คิดว่าหานเซิ่นคิดอะไรง่ายเกินไป   “สำหรับฉันมันไม่มีปัญหา ตราบใดที่ฉันยังปกครองเมืองแบล็คก็อต มันก็จะคงตั้งอยู่แบบนั้น แต่ถ้าฉันไม่ได้ปกครองมันเมื่อไหร่ มันก็จะถูกทำลาย” หานเซิ่นพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย   เมื่อหยางท่านลี่ได้ยินที่เขาพูด เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ภายใต้เสียงที่เยือกเย็นและสงบของหานเซิ่น หยางม่านลี่กับรู้สึกได้ถึงความรุนแรงและชั่วร้าย มันเป็นความรู้สึกที่เธอยังไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่รู้จักหานเซิ่นมา   หยางม่านลี่สูดลมหายใจเข้าลึก “เขาต้องการพบนาย”   “งั้นฉันจะไปพรุ่งนี้ วันนี้มันดึกมากแล้ว” ตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกอ่อนล้ามาก เขาไม่อยากจะเดินทางไกลในวันนี้ เขาคุยกับหยางม่านลี่ต่ออีกสักพัก ก่อนที่จะวางสายไป  

Super God Gene – ตอนที่ 571 ดาบคู่
Super God Gene – ตอนที่ 571 ดาบคู่

  หลังจากที่แอนนี่ยืนแอบดูการฝึกซ้อมของหานเซิ่น ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไป เธอไม่ได้สนใจความแข็งแกร่งหรือความเร็วของเขา แต่เธอกำลังสังเกตวิชาที่เขาใช้ ซึ่งมันทำให้เธอช็อค   เธอเห็นว่ามือซ้ายของหานเซิ่นกำลังถือดาบบางๆสีเงิน มันเป็นดาบที่ดูปราดเปรียว และถ้าดูจากประกายแสงในขณะที่ฟัน ดูเหมือนดาบนั้นจะถูกเคลือบด้วยพิษ แขนของเขาแหวกว่ายในอากาศ มันทั้งรวดเร็วและเดาทางได้ยาก แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดาได้ว่าเขาจะโจมตีมาทางไหน   ส่วนมือขวาของเขา ถือดาบสีเงินสลับแดง มันเป็นดาบที่ดูหนักแน่นและรุนแรง การฟันแต่ละครั้งของเขานั้นทรงพลังเหมือนขุนเขา   จังหวะของดาบในมือแต่ละข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย ถ้าแอนนี่เห็นเขาใช้ทีละวิชา เธอก็คงจะไม่แปลกใจ แต่ทว่าตอนนี้เขากำลังทำมันพร้อมๆกัน ซึ่งมันทำให้เธอทึ้งมาก   มือแต่ละข้าง การฟันแต่ละครั้ง ล้วนแต่มีจังหวะที่แตกต่างกัน มันยากมากที่จะเชื่อว่าจะมีใครที่สามารถใช้มือทั้ง 2 ข้างได้มีประสิทธิภาพถึงขนาดนี้   ยิ่งแอนนี่ดูมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งช็อคมากขึ้น นี่จะต้องไม่ใช่วิชาดาบคู่ธรรมดาๆอย่างแน่นอน ไม่มีวิชาดาบคู่ไหนที่ทั้ง 2 มือจะมีสไตล์ที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ ในสหพันธ์ดวงดาวมีผู้วิวัฒนาการน้อยมากที่จะสามารถทำได้เหมือนกับหานเซิ่น   การจะใช้วิชาที่หานเซิ่นกำลังใช้อยู่ ผู้ใช้จะต้องมีพรสวรรค์ที่สูงมาก ผู้ใช้ต้องมีสมาธิ และความสามารถในการควบคุมมือแต่ละข้างแยกจากกัน ถ้าไม่มีความสามารถนี้ ผู้ใช้ก็จะรู้สึกสับสน และสูญเสียความต่อเนื่อง   แม้แต่ละระดับผู้เป็นเลิศเองก็ยังมีน้อย ผู้เป็นเลิศบางคนหลังวิวัฒนาการมาแล้ว พวกเขาจะมี 2 บุคลิก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถควบคุมมือแต่ละข้างได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาสามารถใช้วิชาดาบ 2 วิชาพร้อมกันได้ แต่ในหมู่ผู้วิวัฒนาการ คนที่จะทำแบบนี้ได้หาได้ยากมาก   แอนนี่เข้าใจดีว่าการจะต่อสู้กับคนที่ใช้วิชาแบบนี้ เป็นเรื่องที่ยากมาก เหมือนกับการถูก 2 รุม 1 เลยทีเดียว   หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แอนนี่ก็เดินตรงไปที่ห้องฝึกซ้อมที่หานเซิ่นกำลังใช้อยู่   ภายในห้องฝึกซ้อม หานเซิ่นกำลังคล่ำเคร่งกับการฝึกวิชาดาบคู่ หานเซิ่นไม่ได้มี 2 บุคลิก ถึงการมี 2 จิตใจจะสามารถควบคุม 2 มือได้ง่ายกว่ามาก แต่การที่หานเซิ่นจะสามารถทำแบบนี้ได้ สมาธิของเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา   ทันใดนั้นอยู่ๆประตูห้องก็เปิด เงาของใครบางพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ หานเซิ่นไม่เห็นหน้าของคนคนนั้น แต่กระนั้นเขาก็ยกดาบขึ้นมาป้องกันการโจมตีที่เข้ามา   เคร๊ง! เมื่อดาบของทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกัน หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายคือแอนนี่ “แอนนี่ เธอกำลังทำอะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว   แอนนี่ไม่ตอบ เธอใช้ดาบยาวของเธอฟันไปที่หานเซิ่นอย่างรวดเร็ว มันเร็วมากพอที่จะขัดจังหวะจากการพูดคุย ตอนนี้สิ่งที่หานเซิ่นทำได้ก็มีเพียงแค่พยายามป้องกันมัน   มันเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่หานเซิ่นจะใช้ดาบเล่มเดียวป้องกันได้ ดังนั้นหานเซิ่นเลยต้องใช้ดาบทั้ง 2 เล่มป้องกัน แต่ถึงจะสำเร็จ แขนของหานเซิ่นก็ชาไปเลย   “แอนนี่ เธอบ้าไปแล้วหรอ เธออยากจะฆ่าคนรึไง?” หานเซิ่นพยายามที่จะสงบเยือกเย็นไว้ และถามแอนนี่   แม้จะถามไปแบบนั้น แต่ในใจของหานเซิ่นก็รู้อยู่แล้วว่าเเอนนี่ไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขา ถ้าเธอต้องการจะฆ่าจริงๆ เขาคงไม่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่ดาบแรก   แอนนี่ยังคงนิ่งเงียบ การโจมตีของเธอเป็นสไตล์รวดเร็วและรุนแรง การฟันแต่ละครั้งของเธอรวดเร็วดั่งสายฟ้า สำหรับผู้วิวัฒนาการแล้ว ความเร็วของเธอน่ากลัวมาก มีผู้วิวัฒนาการไม่มากที่จะรับความเร็วขนาดนี้ได้   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังสามารถรับการโจมตีของเธอได้ทั้งหมด ตอนนี้แอนนี่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าหานเซิ่นกำลังใช้วิชาดาบ 2 วิชาโดยมือแต่ละข้าง เขาใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่พลาดเลย ซึ่งมันทำให้เธอประหลาดใจ   “นายใช้วิชาดาบ 2 วิชาได้โดยที่มีบุคลิกเดียวงั้นหรอ?” แอนนี่พูดด้วยความประหลาดใจ   หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขมาก เขาสามารถรับมือการโจมตีของแอนนี่ได้ วิชาดาบของแอนนี่รวดเร็วมาก มันเร็วกกว่ากระบี่ของสปิริตแฝดซะอีก นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกซ้อม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้กับสปิริตแฝด   แอนนี่คือผู้เป็นเลศ ถึงเธอจะลดความเร็วลงเพื่อมาต่อสู้กับหานเซิ่นแล้วก็ตาม แต่ยังไงเธอก็เร็วกว่าผู้วิวัฒนาการคนไหนๆ ผู้วิวัฒนาการทั่วๆไปอย่าหวังว่าจะรับมือการโจมตีของเธอได้เลย   แอนนี่แค่อยากจะเข้ามาทดสอบดูให้แน่ใจว่าหานเซิ่นใช้วิชาดาบ 2 วิชาจริงรึเปล่า หลังจากที่เธอรู้แน่ชัดแล้ว เธอก็เตรียมตัวจะกลับ แต่ทว่าหานเซิ่นกับตะโกนและวิ่งตรงไปหาเธอ พร้อมกับดาบทั้ง 2 เล่มในมือ   “เธอมาที่นี่เพื่อมาแสดงความเท่ และก็จะออกไปเฉยๆแบบนี้น่ะหรอ? ฉันไม่ยอมให้เธอออกไปได้ง่ายๆแบบนั้นหรอก” หานเซิ่นกวัดแกว่งดาบทั้ง 2 เพื่อที่จะทำให้แอนนี่ไม่สามารถออกจากห้องฝึกซ้อมนี้ได้   แอนนี่ประหลาดใจกับพฤติกรรมของหานเซิ่น เธอยกดาบยาวของเธอขึ้น และวิ่งเข้าไปหาหานเซิ่น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเอาชนะเขาให้ได้ก่อนที่จะออกไป   เธอไม่ได้เพิ่มความเร็วดาบขึ้น เธอยังคงใช้ความเร็วระดับเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่กระนั้นดูเธอจะสู้จริงจังกว่าตอนแรก ถึงแอนนี่จะไม่ได้เพิ่มความเร็ว แต่เธอก็เร็วและแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่น   วิชาดาบคู่ของหานเซิ่นแปลกประหลาดมาก แต่แอนนี่ก็ยังคิดว่าสามารถเอาชนะเขาได้ไม่ยาก   เคร๊ง! ดาบของแอนนี่ปะทะกับดาบในมือข้างซ้ายของหานเซิ่น เธอหวังจะทำให้มันกระเด็นหลุดมือไป เพื่อที่เธอจะได้โจมตีต่อเนื่อง และทำให้หานเซิ่นพ่ายแพ้ไป แต่เมื่อดาบทั้ง 2 ปะทะกัน ดาบของหานเซิ่นกับไม่ได้รับแรงกระแทกอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าพลังที่เธอใส่เข้าไปในดาบกลับมาที่ดาบของเธอเอง   ‘วิชาดาบนี่น่ากลัวจริงๆ’ แอนนี่รู้สึกสงสัยมากว่าทำไมดาบของเธอถึงไม่สามารถทำให้ดาบของหานเซิ่นกระเด็นหลุดมือไป   หลังจากฟันต่อไปอีก 3-4 ครั้ง เธอก็มั่นใจแล้วว่าดาบในมือซ้ายของหานเซิ่นเคลือบไปด้วยพลังหยิน เมื่อดาบของเธอปะทะกับดาบในมือซ้ายของเขา เธอก็รู้สึกว่าดาบของเธอถูกดูดซับพลังบางส่วนไป ถึงเธอจะใช้พลังในระดับที่ไม่น่าจะมีผู้วิวัฒนาการคนไหนทำได้แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้ดาบในมือซ้ายของหานเซิ่นกระเด็นไปได้   ‘งั้นคงต้องเล่นงานดาบในมือขวาแทน’ แอนนี่เปลี่ยนเป้าหมาย ครั้งนี้เธอเล็งไปที่ดาบวิญญาณอสูรมอทคอตแทน   เคร๊ง! ดาบยาวของแอนนี่ปะทะกับดาบมอทคอต ทันทีที่ปะทะเธอก็รู้สึกว่ามีแรงมหาศาลดันกลับมา ถึงพลังมันจะไม่ได้ส่งผลรุนแรงกับเธอ แต่มันก็เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ดาบของเขาหลุดมือไป   ‘ทำไมเขาถึงทำได้ขนาดนี้?’ แอนนี่อึ้ง   วิชาดาบคู่ของหานเซิ่นถูกสร้างขึ้นมาโดยประยุกต์จากวิชาคลื่นหยินหยางด้วย การรักษาสมดุลของหยินและหยางจะช่วยให้วิชาดาบของเขาสมบูรณ์แบบมากขึ้น   แม้ตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกว่าเขายังไม่ได้ฝึกจนถึงระดับที่เขาพอใจ แต่มันก็ยังทำให้แอนนี่ช็อคมากแล้ว   ความประหลาดใจของแอนนี่มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิชาดาบของหานเซิ่นดูจะเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้เห็นผู้วิวัฒนาการที่มีพลังถึงขนาดนี้ ซึ่งมันทำให้เธอช็อคจริงๆ   ปัง! สายฟ้าไหลออกมาจากตัวแอนนี่ จากนั้นการโจมตีครั้งต่อไปของเธอก็รวดเร็วและรุนแรงขึ้นมาก ดาบทั้ง 2 ของหานเซิ่นถูกฟันจนกระเด็นไป พวกมันพุ่งไปปักบนกำแพงที่ทำจากโลหะอย่างรุนแรง   แอนนี่มองหน้าหานเซิ่นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเธอก็หันหลัง และเดินออกจากห้องฝึกซ้อมไป  

Super God Gene – ตอนที่ 570 พบเซินเทียนจื่ออีกครั้ง
Super God Gene – ตอนที่ 570 พบเซินเทียนจื่ออีกครั้ง

  ขณะที่เซินเทียนจื่อกำลังช็อคอยู่นั้น หิมะเจ้าเสน่ห์ก็ยกหอกของเธอขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มีนกที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันดูเหมือนกับนกฟินิกซ์ ตอนนี้เปลวเพลิงของมันกำลังปกคลุมไปทั่วสนามประลอง   “หืม! ถึงขนาดเอาวิญญาณอสูรออร่าให้สปิริตใช้เลยหรอเนี่ย?” เซินเทียนจื่อช็อค โดยปรกติแล้ววิญญาณอสูรออร่ามักจะถูกเอามาใช้สำหรับการต่อสู้ด้วยคนจำนวนมาก เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าของจะเอาวิญญาณอสูรออร่ามาให้สปิริตขุนนางใช้ ยิ่งกว่านั้นรัศมีการทำงานของมันกว้างมาก ดูยังไงก็น่าจะเป็นระดับเลือดศักดิ์สิทธิ ตอนนี้ใบหน้าของเซินเทียนจื่อเริ่มถอดสี   การคาดการของเซินเทียนจื่อนั้นไม่ผิด เพราะรัศมีทำการของออร่าที่เป็นวิญญาณอสูรขั้นสุดยอดของก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิของก็อตแซงชัวขี่เขต 2 เลย ที่แตกต่างก็แค่ผลการเพิ่มพลังเท่านั้น   ตอนนี้เดม่อนกำลังถูกไล่ต้อน ไม่สำคัญว่ามันจะมีวิญญาณอสูรมากแค่ไหน เพราะระดับพลังของวิญญาณอสูรที่หิมะเจ้าเสน่ห์ใช้มีมากกว่า   แม้จะไม่มีวิญญาณอสูรนกทะเลทราย แต่แค่วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิชุดเกราะกับกรีฟเบอร์เซิร์กที่เธอใช้ก็เกินกว่าที่เดม่อนจะสู้ได้แล้ว   หิมะเจ้าเสน่ห์แทบไม่ต้องสนใจการโจมตีของอีกฝ่าย เธอโจมตีสวนกลับไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ หลังจากที่ถูกโจมตีไปหลายๆครั้ง เดม่อนก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด   “มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!” “ถ้าฉันมีวิญญาณอสูรแบบนั้น ฉันก็คงแข็งแกร่งเหมือนกันแหละ” “นี่มันไม่การประลองแล้ว มันเหมือนเป็นการอวดความรวยมากกว่า” “ใช่ เจ้าของหิมะเจ้าเสน่ห์ต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน” “ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่ดูแล้วเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเซินเทียนจื่อเลย” …   เซินเทียนจื่อใบหน้าบิดเบี้ยว เขารู้สึกอึดอัดมากที่ต้องมองดูสปิริตของเขาหมดหนทางชนะ หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจโยนผ้าขาวขอยอมแพ้ ถึงเขาจะไม่อยากทำก็ตาม แต่ถ้าเขาปล่อยให้เดม่อนถูกฆ่า วิญญาณอสูรทุกดวงที่เขามอบให้เดม่อนก็จะหายไป แม้แต่คนอย่างเซินเทียนจื่อ ถ้าต้องเสียหายมากขนาดนี้ เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน   “ไปพาเขามาพบฉัน ฉันต้องการพบคนๆนี้” เซินเทียนจื่อกัดฟัน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาเสียหน้ามาก   จางเซี่ยงรีบไปหาหานเซิ่นทันที “คุณหาน เจ้านายของผมต้องการจะพบคุณ” จางเซี่ยงไม่กล้าที่จะเรียกหานเซิ่นว่า’น้อง’อีกต่อไป หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ของหิมะเจ้าเสน่ห์ เขาก็คิดว่าหานเซิ่นคงไม่บุคคลธรรมดาแน่ “เซินเทียนจื่องั้นหรอ?” “ใช่ครับ” จางเซี่ยงพูด   หานเซิ่นพูดแบบสบายๆ “ถ้าเขาต้องการพบฉัน ก็บอกให้เขาลงมาหาฉันที่นี่ ฉันไม่มีเวลาและก็ไม่สนใจที่จะขึ้นไปหาเขา”   “งั้นโปรดรอสักครู่” หลังจากได้ยินที่หานเซิ่นพูด มันทำให้เขาอึ้งมาก คนที่ต้องให้เจ้านายของเขาลงมาหาเองจะต้องใหญ่ถึงขนาดไหนกัน เขารีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปรายการเซินเทียนจื่อ   “ไม่เป็นไร ฉันจะลงไปดูเองว่าเขาเป็นใครกันแน่” หลังจากที่ได้ยิน เซินเทียนจื่อก็ต้องปิดกั้นความโกรธไว้ก่อน เพราะเขายังเกรงว่าอีกฝ่ายก็คงจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหมือนกัน   ในตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป และมองเห็นหานเซิ่น อยู่ๆตัวของเขาก็แข็งทื่อไปเลย เขาอยู่ยืนหน้าประตูไม่ยอมเดินเข้าไปข้างใน   เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหิมะเจ้าเสน่ห์เป็นหานเซิ่นจริงๆ เขาคิดตลอดว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่หานเซิ่น คนที่เพิ่งจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้ไม่นาน ไม่มีทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้   ‘เป็นไปได้ยังไง?’ สีหน้าของเซินเทียนจื่อเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน   จางเซี่ยงที่ยืนอยู่ข้างหลังมองดูด้วยความช็อค เขาอยู่กับเซินเทียนจื่อมานานแล้ว ปรกติเจ้านายของเขาจะเป็นคนที่หยิ่งยโส และทำอะไรไม่เกรงกลัวใคร นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นเซินเทียนจื่อมีอาการแบบนี้   ‘เขาไม่กล้าเข้าไปข้างในงั้นหรอ? พระเจ้านี่มันเกิดอะไรขึ้น? หนุ่มแซ่หานคนนี้เป็นใครกันแน่? ถึงทำให้เซินเทียนจื่อกลัวได้ขนาดนี้?’ จางเซี่ยงคิด เขาสังเกตสีหน้าของเซินเทียนจื่อ แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด   เซินเทียนจื่อไม่ได้กลัวหานเซิ่น แต่เป็นเพราะตระกูลของเขาสั่งห้ามทุกคนในตระกูลไม่ให้ไปทำอะไรให้หานเซิ่นไม่พอใจ ในตอนที่เซินเทียนจื่อเห็นหานเซิ่น เขาก็ช็อค เขาไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไง   แม้เขาจะเกลียดคนคนนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไร และเขาก็ไม่คิดจะเป็นสหายกับหานเซิ่นด้วยเช่นเดียวกัน   “นายบอกว่าอยากพบฉันไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงเอาแต่ยืนอยู่แบบนั้น จะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกขำที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของเซินเทียนจื่อ   “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” เซินเทียนจื่อยังวางตัวไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี เขาไม่เคยก้มหัวให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของเขามาก่อน ไม่มีทางที่เขาจะเรียกหานเซิ่นว่า’คุณ’อย่างแน่นอน การพบกันโดยไม่คาดฝัน ทำให้เซินเทียนจื่อรู้สึกอึดอัดมาก   “ฉันได้ยินว่าถ้าชนะจะได้วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเป็นรางวัล ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะรับมัน ตอนนี้ฉันขอวิญญาณอสูรปักษาอัสนี 4 ปีกไปเลยได้ไหม?” หานเซิ่นยิ้มขณะพูด   เซินเทียนจื่อพูดอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก “จางเซี่ยง มอบวิญญาณอสูรปักษาอัสนี 4 ปีกให้เขาไป”   จางเซี่ยงไม่เคยเห็นเซินเทียนจื่อเป็นแบบนี้มาก่อน แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่ง เขาโอนวิญญาณอสูรให้กับหานเซิ่น   “อืมม ดูเหมือนฉันจะได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ตอนนี้ฉันว่าฉันควรจะไปได้แล้ว ไว้เจอกันวันหลัง” หานเซิ่นรับวิญญาณอสูรมา และเขาก็เตรียมเดินทางออกจากที่นี่ทันที   สีหน้าของเซินเทียนจื่อดูอึดอัดมาก ปากของขยับขยับ แต่เขาไม่พูดอะไร เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ   หานเซิ่นเดินทางออกจากเมืองเดม่อนทันที ถึงพื้นที่แถบนี้จะเป็นบริเวณที่มีเมืองมนุษย์ที่เจริญมากอยู่ แต่การล่าแถวนี้ก็ยากกว่าทุ่งน้ำแข็ง   ที่นี่มีคนอยู่มากเกินไป ถ้าไม่ไปบุกยึดเมืองสปิริต ก็ยากจะหามอนสเตอร์ล่าได้ เพราะคนในเมืองส่วนมากก็จับจองพื้นที่ในการล่าใกล้ๆเมืองกันหมดแล้ว   หลังจากกลับมาที่ปราสาทคริสตัล หานเซิ่นก็เทเลพอร์ตกลับไปที่สหพันธ์ดวงดาวทันที   ตอนนี้เขาได้ดาบมา 2 เล่มแล้ว เขาเหลือแค่ต้องทำให้วิชาดาบคู่สมบูรณ์เท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถไปบุกยึดเมืองสปิริตได้ตามที่ต้องการ   หลังจากกลับมาที่สหพันธ์ดวงดาว หานเซิ่นก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกดาบคู่ทุกวัน เขาจะฝึกจนกระทั่งรู้สึกว่าเขาเชี่ยวชาญมัน   เนื่องจากวิญญาณอสูรไม่สามารถเอาไปใช้ในการต่อสู้ผ่านเน็ตได้ หานเซิ่นจึงต้องฝึกในห้องฝึกซ้อมบนยานแดฟเน่ ขณะที่เขาฝึกวิชาดาบคู่ เขาก็ทำความคุ้นเคยกับดาบทั้ง 2 เล่มไปด้วย   ตอนนี้แอนนี่กำลังหงุดหงิด เพราะหานเซิ่นจองห้องฝึกที่ดีที่สุดบนยานแดฟแน่ เขาใช้มันทั้งวันทั้งคืน   วันนี้แอนนี่ก็มาเพื่อฝึกซ้อมเหมือนกับทุกวัน และเธอก็เห็นว่าห้องฝึกซ้อมระดับสูงถูกหานเซิ่นใช้งานอยู่ เธอกัดริมฝีปาก และต้องการจะเดินไปใช้ห้องธรรมดา แต่กระนั้นวันนี้เธอก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าหานเซิ่นกำลังฝึกอะไรอยู่ ถ้าหานเซิ่นตั้งใจฝึกซ้อมจริงๆ เธอก็จะปล่อยให้เขาฝึกไป แต่ถ้าเขาเข้าไปนั่งเฉยๆไม่ได้ฝึกซ้อมอะไร เธอก็จะโยนเขาออกมาจากห้อง   ในฐานะบอดี้การ์ดของจีเหยีนหรัน เธอมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น เธอได้รับอนุญาตให้เข้าฝึกซ้อมที่ห้องไหนก็ได้   “กำลังฝึกวิชาดาบงั้นหรอ?” แอนนี่มองดูหานเซิ่นที่กำลังฝึกซ้อมโดยการใช้วิญญาณอสูรดาบ 2 ดวง  

Super God Gene – ตอนที่ 569 ใครคือเจ้าของหิมะเจ้าสเน่ห์
Super God Gene – ตอนที่ 569 ใครคือเจ้าของหิมะเจ้าสเน่ห์

  การต่อสู้ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว หานเซิ่นโอนวิญญาณอสูรให้กับหิมะเจ้าเสน่ห์หลายดวง เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะให้เธอ   รายชื่อวิญญาณอสูรที่หานเซิ่นมอบให้เธอมีวิญญาณอสูรชุดเกราะเกล็ดโลหิตเลือดศักดิ์สิทธิที่หานเซิ่งเพิ่งจะได้มาจากแลกเปลี่ยน วิญญาณอสูรกรีฟการ์กอย โกลเด้นโกรวเลอร์ ร็อคเวิร์ม ชุดเกราะสัตว์เลี้ยงเลือดศักดิ์สิทธ์ ปีกไนท์แมร์ วิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างหญิงสาวหิมะและก็วิญญาณอสูรนกทะเลทราย หิมะเจ้าเสน่ห์สามารถใช้วิญญาณอสูรทั้งหมดเพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบในการต่อสู้   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ไม่มีวิญญาณอสูรอาวุธดีๆให้เธอใช้ เนื่องจากหิมะเจ้าเสน่ห์ถนัดใช้หอก แต่เขาไม่มีวิญญาณอสูรหอก นั่นหมายความว่าเธอจะต้องพึ่งพาอาวุธประจำตัวของเธอ แต่กระนั้นคู่ต่อสู้ก็เป็นสปิริตระดับขุนนางเหมือนกัน ยังไงหอกของเธอก็น่าจะสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้   ตอนนี้เดม่อนยืนรออยู่ในสนามประลองแล้ว มันคือนักรบที่สูงกกว่า 2 เมตร มันสวมชุดเกราะดำและถือดาบใหญ่ ดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นอาวุธธรรมดาๆ ดูยังไงก็น่าจะเป็นวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิ   เมื่อเดม่อนเข้าไปในสนามประลอง ก็ได้รับการต้อนรับจากเสียงเฮของผู้ชมทันที ในที่สุดความหวังที่ทุกคนจะได้ดูการต่อสู้ระหว่างสปิริตขุนนางก็เป็นจริงสักที   “น้องหาน หิมะเจ้าเสน่ห์พร้อมที่จะลงสนามประลองรึยัง?” จางเซี่ยงถามหานเซิ่น   หานเซิ่นพยักหน้า การเตรียมตัวของเขาเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นหิมะเจ้าเสน่ห์ก็เดินเข้าไปในสนามประลอง   เมื่อหิมะเจ้าเสน่ห์ปรากฏตัว เสียงกองเชียร์ก็ระเบิดออกมาทันที พวกเขาโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง “มันคือสปิริตสาวจริงๆ หล่อนงดงามมาก!” “โห สปิริตระดับขุนนางแถมยังน่ารักขนาดนี้” “ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสปิริตตนนี้ เขาคนนั้นจะต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ” …   เมื่อเห็นหิมะเจ้าเสน่ห์ปรากฏตัวออกมา เซินเทียนจื่อก็เบิกตากว้างทันที จริงๆเขาก็ไม่ได้กังวลว่าเดม่อนจะแพ้ เขาไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร แต่เมื่อเห็นความงามของหิมะเจ้าเสน่ห์ เขาก็ถึงกับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้   ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสร้างสนามประลองแห่งนี้ขึ้นมาแล้ว เซินเทียนจื่อต้องการสปิริตสาวสวยมาโดยตลอด แต่มันหาได้ยากมากๆ ถึงจะมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ถ้าเทียบกับสปิริตชายแล้ว สปิริตสาวจะหายากกว่า การที่ผู้ท้าชิงคือสปิริตสาว ทำให้เขาประหลาดใจ   หลังจากสัญญาณการต่อสู้เริ่ม เดม่อนส่งเสียงคำรามออกมา มันยกดาบใหญ่ขึ้นสูง และพุ่งเข้าใส่หิมะเจ้าเสน่ห์ทันที   หิมะเจ้าเสน่ห์ไม่ขยับ ตัวของเธอส่องแสงออกมา จากนั้นชุดเกราะสีแดงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับลวดลายของกรีฟ คทาที่เธอถือออยู่ในมือได้เปลี่ยนสภาพเป็นหอกสำหรับต่อสู้   จากนั้นแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของเธอ ในชั่วพริบตามันก็เปลี่ยนเป็นสิงโตสีทอง ตอนนี้หิมะเจ้าเสน่ห์กำลังอยู่บนหลังของสิงโตสีทอง พร้อมกับถือหอกซึ่งดูสง่างามอย่างมาก   หิมะเจ้าเสน่ห์ควบโกลเด้นโกรวเลอร์ตรงเข้าไปหาเดม่อนด้วยความเร็วสูง ทักษะการขี่ของเธอถือว่าอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบ หอกของหิมะเจ้าเสน่ห์แทงเข้าไปที่เดม่อน ส่วนดาบใหญ่ของเดม่อนก็ฟันเข้ามาที่ตัวของหิมะเจ้าเสน่ห์   เดม่อนถอยหลังไป 3-4 ก้าว ชุดเกราะของมันยังไม่ทะลุ ขณะเดียวกันภายใต้พลังป้องกันจากชุดเกราะและกรีฟ ทำให้หิมะเจ้าเสน่ห์ไม่ได้บาดเจ็บ หลังจากได้ปะมือกันหลายกระบวนท่า ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ   ตาของเซินเทียนจื่อลุกเป็นไฟ เขาก็เข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้พักใหญ่ๆแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยเจอสัตว์ขี่ที่ตัวใหญ่เหมือนกับโกลเด้นโกรวเลอร์มาก่อน   นอกจากนั่นเซินเทียนจื่อยังช็อคที่ได้เห็นสิ่งที่หิมะเจ้าเสน่ห์สวมใส่ เธอมีทั้งชุดเกราะและกรีฟเลือดศักดิ์สิทธิ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสปิริตตนนี้คงจะไม่ใช่ธรรมดาแน่   “ใครก็ได้ไปเรียกจางเซี่ยงมาที!” เซินเทียนจื่อสั่งลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ เขาต้องการเรียกจางเซี่ยงมาถามว่าใครคือเจ้าของสปิริตตนนี้ เขาต้องการรู้เพื่อที่เขาจะมีโอกาสต่อรองขอซื้อเธอมาให้ได้ เขาไม่สนว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่   จางเซี่ยงรีบมาปรากฏตัวต่อหน้าเซินเทียนจื่อทันที เขาพูดอย่างสุภาพ “หัวหน้ามีอะไรให้รับใช้ครับ?”   “ใครเป็นเจ้าของหิมะเจ้าเสน่ห์?” เซินเทียนจื่อถามทันที   จางเซี่ยงรีบตอบ “เขาคือหนุ่มแซ่หาน เหมือนว่าเขาพึ่งจะมาถึงเมืองเราได้ไม่นานนี้เอง เขาเป็นคนเมืองอื่น ผมเองก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก”   “หาน?” เซินเทียนจื่อขมวดคิ้ว แซ่นี้มันแซ่ที่.. เขารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับมันเท่าไหร่ เขาเคยเกลียดคนแซ่นี้มาก   แต่เซินเทียนจื่อก็ไม่คิดว่าจะใช่หานเซิ่น เขาคิดว่ามันก็แค่บังเอิญที่มีคนแซ่เดียวกัน สปิริตแบบนี้อย่างหานเซิ่นคงไม่มีปัญญาหามาได้แน่ๆ หานเซิ่นเพิ่งจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ช้ากว่าเขา เป็นไปไม่ได้ที่หานเซิ่นจะมีทั้งสปิริตและวิญญาณอสูรมากขนาดนี้   “รอให้การต่อสู้จบลง พาเขามาพบฉันหน่อย” เซินเทียนจื่อสั่ง จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก   แม้ทักษะการต่อสู้ของหิมะเจ้าเสน่ห์จะยอดเยี่ยมมาก แต่เธอก็ขาดอาวุธวิญญาณอสูร ทำให้เซินเทียนจื่อไม่คิดว่าเธอจะเอาชนะเดม่อนได้   การต่อสู้ที่ดุเดือดของสปิริตทั้ง 2 เรียกเสียงเฮจากผู้ชมในสนาม พวกเขาส่งเสียงตะโกนเชียร์ด้วยความตื่นเต้น การต่อสู้ระหว่างสาวงามกับนักรบ ทำให้ผู้ชมในสนามตื่นเต้นถึงขีดสุด “การต่อสู้ของสปิริตระดับขุนนางดุเดือดจริงๆ คุ้มมากที่ได้เข้ามาดูวันนี้” “แน่นอนอยู่แล้ว ดูวิญญาณอสูรที่พวกมันมีสิ แต่ละดวงระดับเลือดศักดิ์สิทธิทั้งนั้น” “ฉันอยากจะได้สปิริตขุนนางจริงๆ ถ้าฉันเป็นเจ้าของหิมะเจ้าเสน่ห์ มันก็เหมือนความฝันของเขาฉันเป็นจริงขึ้นมา” “เลิกมโนได้แล้ว! มันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาอย่างเราจะไปเทียบกับพวกเขาได้ คนหนึ่งก็ระดับผู้ครองเมือง ส่วนอีกคนก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน ระดับอย่างพวกเขาอยากได้อะไรก็ต้องได้” …   “เดม่อน ถึงเวลาที่แกจะต้องโชว์ความแข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว!” เซินเทียนจื่อสังเกตุว่าอารมณ์ของผู้ชมในสนามกำลังถึงจุดพีค ตอนนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา   ทันใดนั้นเดม่อนก็กระโดดขึ้นไป และส่งเสียงร้องออกมา พร้อมกับมีแสงส่องออกมาจากชุดเกราะของมัน ไม่นานร่างกายของมันก็เปลี่ยนเป็นลิงสีดำขนาดใหญ่   “วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิ วานรเหล็กทมิฬ? ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเดม่อนจะมีวิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างเลือดศักดิ์สิทธิด้วย” มีบางคนจำวิญญาณอสูรที่เดม่อนใช้ได้ หลังจากที่เดม่อนเปลี่ยนร่าง เสียงเชียร์ในสนามก็ดังขึ้นอีก   แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เดม่อนเรียกวิญญาณอสูรสิงโตที่มีเขาสีเหลืองออกมา หลังจากที่สิงโตปรากฏตัว มันก็ส่งเสียงคำรามทันที   “วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิสัตว์เลี้ยง ราชสีเขาทอง? นี่มันไม่ยุติธรรม แล้ว หิมะเจ้าเสน่ห์จะสู้ได้ยังไง?” “2 ต่อ 1? เจอกับสัตว์เลี้ยงเลือดศักดิ์สิทธิแบบนี้ โอกาสชนะของหิมะเจ้าเสน่ห์แทบไม่มีเลย” “เขาจะรวยเกินไปแล้ว นอกจากจะเป็นเจ้าของสปิริตแล้ว เขายังให้วิญญาณอสูรกับมันจำนวนมาก” ตอนนี้ผู้ชมแสดงความเห็นกัน พวกเขาคิดว่าสถานการณ์ในสนามประลองได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เซินเทียนจื่อได้หงายไพ่ตายออกมาแล้ว สำหรับคนอื่นมันเหมือนว่าเขาจะโกงก็ตาม แต่สำหรับเขาแล้ว ขอแค่ได้บดขยี้อีกฝ่ายก็พอ   แต่ก่อนที่เดม่อนจะเริ่มโจมตี หิมะเจ้าเสน่ห์ก็เคลื่อนไหวก่อน ตัวของเธอส่องแสงออกมา จากนั้นหญิงสาวหิมะก็รวมร่างกับหิมะเจ้าเสน่ห์ ตอนนี้เส้นผมของหิมะเจ้าเสน่ห์เปลี่ยนเป็นสีขาว ตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีเงิน และร่างกายของเธอก็เริ่มมีน้ำแข็งเกาะ   “โห! นั่นมันวิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างรูปร่างมนุษย์!” “หิมะเจ้าเสน่ห์ใช้วิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างระดับเลือดศักดิ์สิทธิใช่ไหม?”   ตอนนี้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความช็อค หิมะเจ้าเสน่ห์ยกหอกของเธอขึ้น ในเวลาเดียวกันร็อคเวิร์มในชุดเกราะบลัดสเนลก็ปรากฏออกมา และพุ่งเข้าไปปะทะกับสิงโตสีทองทันที   สัตว์เลี้ยงทั้ง 2 ปะทะกัน ดูเหมือนพวกมันจะสูสีกัน ไม่มีฝ่ายไหนเหนือกว่าชัดเจน ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเจ้าของหิมะเจ้าเสน่ห์จะร่ำรวยขนาดนี้ ดูแล้วเขารวยไม่ต่างจากผู้ครองเมืองเดม่อนอย่างเซินเทียนจื่อเลย   เซินเทียนจื่อเบิกตากว้าง อีกฝ่ายมีสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูสีกับของเขา และวิญญาณอสูรแต่ละดวงที่อีกฝ่ายเรียกออกมานั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลย ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาๆแน่   “คนๆนี้คือใครกันแน่?” เซินเทียนจื่อขมวดคิ้ว  

Super God Gene – ตอนที่ 568 การต่อสู้ของสปิริต
Super God Gene – ตอนที่ 568 การต่อสู้ของสปิริต

  ในตอนที่หานเซิ่นเดินออกจากร้านขายวิญญาณอสูร เขาเดินออกมาพร้อมกับดาบที่เขาต้องการ และยังได้วิญญาณอสูรชุดเกราะเลือดศักดิ์สิทธิเพิ่มมาอีกดวง   ทั้ง 2 ดวงล้วนแต่เป็นวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะดาบวิญญาณอสูรมาสคอท มันเป็นหนึ่งในดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์จะหาได้แล้ว ซึ่งหลังจากที่หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรโคไฟนรกแลกมา เขาก็ยังสามารถเอามันไปอัพเกรดให้เป็นวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กทีหลังได้ งานนี้หานเซิ่นมีแต่คุ้มกับคุ้ม หานเซิ่นมีความสุขมาก หลังจากการแลกเปลี่ยนสำเร็จ   ตอนแรกหานเซิ่นเตรียมใจไว้แล้วว่าถึงจะขาดทุนก็คงต้องยอม เพื่อให้ได้ดาบวิญญาณอสูรที่เขาต้องการ เขาไม่ได้หวังว่าจะได้กำไรแบบนี้   “น้องชาย สนใจไปดินเนอร์ด้วยกันไหม? พวกเรา 2 คนจะได้ทำความรู้จักกัน” หลังจากออกจากร้านชายคนนั้นก็เดินตามหานเซิ่นมา และชวนเขาไปกินดินเนอร์   “แน่นอน” หานเซิ่นตอบตกลง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา หานเซิ่นก็อาจจะไม่ได้ดาบที่เขาต้องการมา ตอนนี้ไม่เพียงแค่เขาจะได้ดาบ แต่เขายังได้วิญญาณอสูรเพิ่มอีก ยังไงก็ต้องขอบคุณคนคนนี้ที่ทำให้การต่อรองง่ายขึ้น   เขาพาหานเซิ่นไปที่ภัตตาคาร จากนั้นเขาก็รีบสั่งเมนูเด็ดมา 2 จาน และเริ่มคุยกับหานเซิ่นทันที   ชายคนนี้มีชื่อว่าจางเซี่ยง เขาบอกว่าเขาเป็นผู้จัดการสนามประลองที่ถูกออกแบบมาเพื่อสัตว์เลี้ยงและสปิริตเท่านั้น เขามอบนามบัตรให้หานเซิ่น และเขายังบอกอีกว่าถ้าหานเซิ่นมีสัตว์เลี้ยงหรือสปิริตที่อยากจะเอามาลงสนามประลองให้ติดต่อเขาได้   “คุณได้กำไรจากการขายตั๋วใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม   จางเซี่ยงยิ้ม “นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆมาจากการเดิมพันมากกว่า เวลาที่มีการประลองระหว่างสัตว์เลี้ยงหรือสปิริต พวกเราจะจัดให้มีการลงพนันกัน”   ขอสงสัยของหานเซิ่นนั้นไม่ผิด เขาพอจะเดาออกว่าจางเซี่ยงคงจะสร้างสนามประลองมาเพื่อเป็นแหล่งเล่นการพนัน ซึ่งมันก็คือรายได้หลักของเขา   “ถ้าน้องชายมีเวลาก็ลองมาลงแข่งได้ และถ้าสัตว์เลี้ยงหรือสปิริตของน้องชายสามารถชนะในการประลอง น้องชายก็จะได้เงินและชื่อเสียง และถ้าสัตว์เลี้ยงหรือสปิริตของน้องชายโด่งดังเมื่อไหร่ การลงสู้แต่ละแมทจะมีค่าตัวที่แพงมาก” จางเซี่ยงพูด   หลังจากฟังแล้ว หานเซิ่นรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก เขากำลังมองหาสถานที่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ที่ที่เขาจะสามารถเอาสปิริตและสัตว์เลี้ยงมาลงสู้ได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ระดับของพวกมัน เขารู้ดีว่ายังไงในอนาคตเขาก็คงมีสปิริตเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าเขาต้องการขายพวกมันในราคาสูง เขาก็ต้องหาทางทำให้พวกมันได้แสดงฝีมือก่อน   จางเซี่ยงพาหานเซิ่นไปที่สนามประลอง ซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าที่หานเซิ่นคิดไว้มาก มันเป็นสนามที่มีนั่งชมมากกว่า 100000 ที่นั่ง   สนามประลองของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นหลายๆสนาม แต่ละลานประลองก็จะมีสัตว์เลี้ยงหรือสปิริตต่อสู้กันอยู่ แต่ส่วนมากก็คือพวกสัตว์เลี้ยง สปิริตนั้นมีอยู่แค่ 2-3 คู่เท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีคนเข้าชมการต่อสู้มากกว่า 1 หมื่นคน   หานเซิ่นสังเกตเห็นเซินเทียนจื่อนั่งอยู่ตรงที่นั่งระดับ vip ซึ่งมีสาวงามล้อมรอบตัวเขาอยู่ เขากำลังดูการประลองระหว่างสปิริตที่ลานประลองตรงกลาง   ตอนนี้ในสนามประลองเหลือแค่สปิริตคู่นี้ที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ส่วนที่เหลือเป็นการต่อสู้ของสัตว์เลี้ยงทั้งหมด   หานเซิ่นมองดู และพบว่าสปิริตทั้ง 2 เป็นสปิริตชายทั้งคู่ ฝ่ายหนึ่งคือยักษ์ตาเดียว ส่วนอีกฝ่ายก็คือนักรบที่สวมชุดเกราะหนัก ทั้งคู่ดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามมาก แต่ทั้งคู่ก็เป็นแค่สปิริตระดับอัศวินเท่านั้น   “ทำไมถึงมีแค่สปิริตระดับอัศวินมาต่อสู้กัน? ที่นี่ไม่มีสปิริตระดับขุนนางสู้กันบ้างหรอ?” หานเซิ่นถาม   “น้องชายต้องล้อเล่นแน่ๆ! สปิริตไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะสปิริตระดับสูง ยากมากที่พวกสปิริตจะยอมภักดีกับมนุษย์” จางเซี่ยงอธิบาย “ทั้งสนามประลองของเรา มีสปิริตขุนนางแค่ 1 ตนเท่านั้น และมันก็ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันมันเลย พวกเราก็พยายามจะหาสปิริตขุนนางมาเป็นคู่ต่อสู้ให้มันอยู่ พวกเราเลยตั้งรางวัลล่อเอาไว้ ใครก็ตามที่หาสปิริตขุนนางมาสู้กับมันและเอาชนะได้ จะได้รับวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิไปแบบฟรีๆ แต่ผ่านมานานแล้วก็ยังไม่มีใครพาสปิริตขุนนางมาสู้เลย”   “รางวัลวิญญาณอสูรแบบไหนหรอ?” หานเซิ่นสนใจ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องปฏิเสธวิญญาณอสูรที่มีโอกาสได้มาฟรีๆ   “น้องหาน พอจะรู้จักคนที่มีสปิริตขุนนางใช่ไหม?” ตาของจางเซี่ยงเป็นประกายขึ้นมา   “ผมมีสปิริตขุนนางอยู่” หานเซิ่นพูด   “เป็นสปิริตระดับไหน? ให้พวกเราพาสปิริตของน้องชายไปทดสอบระดับพลังก่อนได้ไหม?” จางเซี่ยงพูดอย่างตื่นเต้น   “ผมต้องขอดูวิญญาณอสูรที่เป็นรางวัลก่อน” หานเซิ่นพูด   “มันคือวิญญาณอสูรที่หายากมาก มันคือวิญญาณอสูรสัตว์ขี่ที่สามารถบินได้” หลังจากที่หานเซิ่นได้ยิน เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที   “น้องหาน ฉันขอดูสปิริตของน้องชายหน่อยได้ไหม?” จางเซี่ยงเอามือถูกกันด้วยความตื่นเต้น   “แน่นอน” หานเซิ่นเรียกหิมะเจ้าเสน่ห์ออกมา   จางเซี่ยงมองหิมะเจ้าเสน่ห์จนตาเกือบจะหลุดออกจากเบ้า เขากรีดร้อง “สปิริตขุนนางหญิง!”   หานเซิ่นขมวดคิ้ว ยังดีที่พวกเขาอยู่ในห้องส่วนตัว ไม่งั้นเสียงร้องของจางเซี่ยงอาจจะทำให้คนอื่นๆสนใจเป็นจำนวนมาก   “น้องหาน ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าน้องชายต้องเป็นคนที่พิเศษแน่ๆ! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายจะมีสปิริตขุนนางที่สวยขนาดนี้ มันล้ำค่ามากจริงๆ น้องชายสนใจจะขายมันไหม?” จางเซี่ยงแทบจะกระโดดด้วยความตื่นเต้น เขาไม่สามารถละสายตาจากหิมะเจ้าเสน่ห์ได้ ราวกับว่าเธอสามารถแช่แข็งเขาได้   “ไม่” หานเซิ่นตอบแบบไม่ต้องคิด สำหรับเขาแล้วสปิริตพวกนี้ยังพึ่งพาได้มากกว่ามนุษย์ซะอีก ที่สำคัญตอนนี้หานเซิ่นก็เป็นคนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขายเธอ   จางเซี่ยงดูจะผิดหวัง แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความสุขที่จะได้จัดการแข่งขันให้กับหิมะเจ้าเสน่ห์   ไม่นานสปิริต 2 ตนที่สู้กันอยู่ก็รู้ผลแพ้ชนะ จากนั้นพิธีกรประจำลานประลองก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “ตอนนี้สนามประลองของเมืองเดม่อนกำลังร้อนระอุ เพราะพวกเรากำลังจะจัดการประลองระหว่างสปิริตระดับขุนนางขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่รอกันมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มีสปิริตขุนนางมาท้าชิง!”   หลังจากที่ได้ยินผู้ชมจำนวนมากในสนามประลองก็เริ่มพูดคุยกันทันที “พวกเขาหาสปิริตขุนนางได้แล้วหรอ?” “จริงหรอเนี่ย? สปิริตอีกตน?” “ฉันอยากรู้มากว่าจะเป็นสปิริตแบบไหน ฉันหวังว่าจะมันเป็นสปิริตสาวสวย ถ้าเป็นแบบนั้นก็วิเศษจริงๆ!” “อืมม ดูจากรายชื่อที่ประกาศ เหมือนมันจะชื่อว่า ‘หิมะเจ้าเสน่ห์’ ฟังดูก็เหมือนกับชื่อผู้หญิงอยู่นะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผู้หญิงจริงๆรึเปล่า ได้แต่หวังว่าคงไม่เป็นยักษ์หน้าตาน่าเกียจอีกก็พอ!” “ใช่ แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นสปิริตขุนนางสาวสวยแน่” “แบบนี้จะวางเดิมพันข้างไหนดี พวกนายคิดว่าใครจะชนะ?” “แน่นอนว่าต้องเป็นเดม่อนอยู่แล้ว แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าฝ่ายไหนแข็งแกร่งกว่า” …   หลังจากที่เซินเทียนจื่อได้ยินที่พิธีกรประกาศ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ‘สปิริตขุนนางผู้หญิงงั้นหรอ? อืมม แต่ยังไงก็ไม่น่ามีปัญหา เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเอาชนะเดม่อนของเราได้’   สปิริตเดม่อนเป็นของเซินเทียนจื่อ และสนามประลองแห่งนี้ก็เป็นของเขาด้วย   เดม่อนไม่ได้เป็นสปิริตที่ปกครองเมืองเดม่อนมาก่อนแต่อย่างใด มันเป็นสปิริตที่เซินเทียนจื่อใช้เงินมหาศาลซื้อมา จากนั้นเขาก็เปลี่ยนชื่อมันให้เข้ากับชื่อเมือง   เซินเทียนจื่อไม่ได้กังวลเลยว่าเดม่อนจะแพ้ เพราะเขามั่นใจว่าเดม่อนคือสปิริตขุนนางระดับท็อป นอกจากนั้นเขายังโอนวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธ์ให้มันหลายดวง เขาไม่เชื่อว่าจะมีสปิริตตนไหนเอาชนะมันได้   นี่มันไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างสปิริต แต่มันเป็นตัวแทนของพลังอำนาจและความมั่งคั่งด้วย สปิริตสามารถใช้วิญญาณอสูรได้ มันก็เหมือนกับเป็นตัวแทนของเจ้านาย เซินเทียนจื่อไม่เชื่อว่าจะมีใครหาวิญญาณอสูรจำนวนมากมาให้สปิริตใช้ได้เหมือนกับเขา  

Super God Gene – ตอนที่ 567 วิญญาณอสูรมาสคอต
Super God Gene – ตอนที่ 567 วิญญาณอสูรมาสคอต

  หานเซิ่นต้องประหลาดใจเพราะระหว่างที่เดินทางไปยังเมืองเดม่อนนั้นราบลื่นมาก หานเซิ่นอยากจะล่ามอนสเตอร์ระหว่างทาง แต่ตอนนี้เขายังไม่มีโอกาสเลย เนื่องจากคนที่กลุ่มการค้าจ้างมาเพื่อคุ้มกัน เป็นคนฆ่าพวกมอนสเตอร์ก่อนที่พวกเขาจะเห็น   นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หานเซิ่นจะได้เห็นเมืองระดับราชวงศ์ที่มีมนุษย์ปกครองอยู่ อาณาเขตของเมืองมีความกว้างหลาย 10 ไมล์ และถูกห้อมล้อมไปด้วยป่า สิ่งก่อสร้างภายในเมืองถูกสร้างมาจากไม้ทั้งหมด มันต่างจากที่หานเซิ่นคิดไว้มาก แต่แน่นอนว่าไม้พวกนี้ไม่ใช่ไม้ธรรมดาๆ พวกมันดูลึกลับราวกับมีเวทย์มนต์ แถวเมืองจะมีต้นไม้ที่มีความสูงถึง 40 เมตรให้เห็นอยู่ทั่วไป   “เมืองที่เป็นไม้แบบนี้ ดูอันตรายมาก ถ้าต้องเจอกับไฟ” หานเซิ่นพูด   “ไม้ของเมืองเดม่อนไม่ใช่ไม้ธรรมดา เพราะมันจะไม่ไหม้ไฟ” ชายวัยกลางคนหัวเราะ   ขณะเดินทางเข้าไปในเมือง พร้อมกับขบวนการค้า หานเซิ่นก็มองไปรอบๆ เขาพยายามจะมองหาร้านค้าที่ขายวิญญาณอสูรที่เขาต้องการ   สมกับเป็นเมืองราชวงศ์จริงๆ มีร้ายขายวิญญาณอสูรอยู่ทุกที่ พวกร้านใหญ่ๆแต่ละร้านจะมีวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิ 1-2 ดวงเป็นสินค้าระดับพรีเมียมของร้าน   หานเซิ่นพยายามมองหาร้านที่ขายดาบวิญญาณอสูร แต่โชคร้าย ร้านที่เขาเห็นว่าขายดาบ แต่มันดันเป็นดาบใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะที่จะเอามาใช้กับวิชาดาบคู่ของเขา   “ต้องแบบนี้สิเมืองของมนุษย์” หานเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก เขากำลังคิดว่าแม่ของเขาโชคดีมาก ตอนที่เธอเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 เธอถูกส่งมาที่เมืองระดับราชวงศ์ที่ปกครองโดยมนุษย์ ซึ่งต่างกับหานเซิ่นมาก   ราคาของวิญญาณอสูรที่นี่ถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม ราคาส่วนมากก็แตกต่างจากของก็อตแซงชัวงรี่เขต 1 ไม่มากนัก วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิของก็อตแซงชัวรี่เขต 2 จะแพงกว่าของเขต 1 ประมาน 50-100%   เพื่อที่จะหาวิญญาณอสูรที่เขาต้องการ หานเซิ่นเดินเข้าไปดูทีละร้านๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงร้านที่ชื่อว่า ‘อสูรล้ำค่า’ และเขาก็พบดาบที่กำลังตามหาอยู่   แต่น่าเสียดายที่หานเซิ่นไม่ได้ดูของจริง เจ้าจองร้านส่งหนังสือที่มีลิสต์รายชื่อและรูปภาพของวิญญาณอสูรภายในร้านให้หานเซิ่นดู มันเป็นหนังสือภาพสีที่ผลิตในสหพันธ์ดวงดาว มันมีข้อมูลของดาบที่หานเซิ่นกำลังต้องการอยู่อย่างละเอียด   ดาบนี้มีความยาวมากกว่าดาบอสรพิษเนตรเงิน และมันยังหนาและกว้างกว่าด้วย ลักษณะของดาบทั้ง 2 เล่มแทบจะตรงข้ามกันเลย ดาบโบราณม่วงแดงดูมีออร่าและสง่างามเปรียบเสมือนดาบแห่งความยุติธรรม แต่ดาบของอสรพิษเนตรเงินเหมือนกับดาบแห่งความชั่วร้าย   หลังจากดูลักษณะของมันแล้ว มันเป็นดาบที่ตรงกับความต้องการของเขา มันเหมาะที่จะนำมาใช้กับวิชาดาบคู่มาก เพราะเดิมมันเป็นวิชาที่ต้องใช้ 2 คน แต่หานเซิ่นได้ดัดแปลงมาสำหรับใช้คนเดียว การที่ได้ดาบที่มีสไตล์แตกต่างกันมา เวลาเอาไปใช้ผสานกันจะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด   ตามที่หนังสือแนะนำบอก ดาบโบราณม่วงแดงได้มาจากมอนสเตอร์ที่ชื่อว่ามาสคอท ลักษณะของมันคล้ายกับสิงโตที่มีขนสีแดง และมีเกล็ดสีม่วงปกคลุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง   “สวัสดีครับ วิญญาณอสูรดวงนี้ราคาเท่าไหร่?” หานเซิ่นชี้ไปที่วิญญาณอสูรมาสคอทที่อยู่ในหนังสือแนะนำของทางร้าน   “ต้องขอโทษด้วย นี่เป็นสินค้าพรีเมี่ยมของทางร้านเรา ดาบวิญญาณอสูรเล่มนี้รับแค่แลกอย่างเดียว” แม้เจ้าของร้านจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ปรกติ แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกถึงความภูมิใจ   ดาบเล่มนี้มีคนเสนอขอซื้อมากมาย แต่เจ้าของร้านยังไม่เคยพอใจกับข้อเสนอไหนเลย ทำให้มีข่าวลือว่าเจ้าของร้านคนนี้จงใจที่จะปฏิเสธทุกข้อเสนอ เพื่อเก็บดาบเล่มนี้ไว้เป็นสินค้าที่เอาไว้โชคเท่านั้น แต่มันก็ใช้ได้ผลดีมาก เพราะเมื่อพวกลูกค้าเห็นรูปดาบนี้ ก็จะทำให้พวกเขาเดินเข้ามาร้านนี้กันเป็นจำนวนมาก   “แล้วคุณอยากจะใช้มันแลกกับอะไร?” เจ้าของร้านบอกว่ารับแลกเท่านั้น ซึ่งมันก็ตรงกับความคิดของหานเซิ่นที่ต้องการใช้วิญญาณอสูรแลกมา   เจ้าของร้านขมวดคิ้ว เขามองหานเซิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูด “สำหรับดาบเล่มนี้ ผมจะรับแลกแค่วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธ์เบอร์เซิร์กเท่านั้น และจะต้องเป็นประเภทดาบเหมือนกันด้วย”   “แล้วถ้าเป็นวิญญาณอสูรประเภทอื่นจะรับไหม?” หานเซิ่นมองเจ้าของร้านด้วยความสงสัย   “ไม่” เจ้าของร้านปฏิเสธอย่างเด็ดขาด   ในตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าคนคนนี้ไม่ได้ต้องการจะขายดาบเล่มนี้ตั้งแต่แรก ถ้าใครก็ตามมีดาบวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กอยู่แล้ว ใครมันจะเอาไปแลกกับดาบวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิธรรมๆ? ข้อเสนอของเขาฟังดูงี่เง่ามาก   หานเซิ่นคิดว่ามันน่าเสียดายที่เจ้าของร้านไม่มีความคิดที่จะขายมัน แต่เขาก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ เขาพยายามจะหว่านล้อมเจ้าของร้านให้ได้ “ผมอยากจะใช้วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กแลกกับของคุณ ถึงมันจะไม่ใช่ประเภทดาบ แต่คุณจะไม่ลองดูมันสักหน่อยหรอ?”   “ต้องขอโทษด้วย แต่ดาบเล่มนี้เอาไว้แลกกับวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กเท่านั้น” เจ้าของร้านยิ้ม   เจ้าของร้านรู้ดีว่าถ้าเขาพูดแบบนี้ออกไป หานเซิ่นจะเข้าใจเองว่าเขาไม่ต้องการขายมัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องพูดแบบนั้นออกไป เพราะไม่มีใครโง่เอาวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กมาแลกกับวิญญาณอสูรแบบธรรมดาๆ การที่หานเซิ่นจะเอาวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กมาแลกกับวิญญาณอสูรของเขา แสดงว่าวิญญาณอสูรของหานเซิ่นไม่ได้เป็นประเภทที่ได้รับความนิยม ไม่งั้นเขาจะเอามาแลกกับวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิทำไม?   “น้องชายกำลังบอกว่าต้องการจะเอาวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กมาแลกกับวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิเล่มนี้ใช่ไหม?” มีชายคนหนึ่งได้ยินที่หานเซิ่นพูดพอดีด้วยความสงสัยเลยเดินมาถาม   “ใช่ แต่ดูเหมือนเจ้าของร้านจะไม่ต้องการแลก” หานเซิ่นถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง   “มันเป็นวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธ์เบอร์เซิร์กแบบไหน? ถ้ามันเป็นของที่ดีจริง ฉันก็อยากจะเอาวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิของฉันแลก” ชายคนนั้นพูด   “มันเป็นวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิรึเปล่า? ถ้าเป็นดาบผมก็รับแลก” หานเซิ่นพูด   “ใช่” ชายคนนั้นรีบตอบ เขาเรียกวิญญาณอสูรดาบที่ดูเหมือนกับน้ำแข็งออกมา แต่น่าเสียดายที่มันเป็นดาบใหญ่ เหมาะจะถือ 2 มือมากกว่า   “วิญญาณอสูรของน้องชายเป็นแบบไหน เรียกออกมาให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?” ชายคนนั้นพูด   หานเซิ่นทำตาแคบลง เขาไม่ต้องต้องการจะแลกกับวิญญาณอสูรดาบแบบนั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังเรียกวิญญาณอสูรโคไฟนรกออกมา ในชั่วพริบตาร่างกายของหานเซิ่นก็เปลี่ยนเป็นวัวกระทิงที่มีปีก   มันเป็นวัวที่มีร่างกายสีดำ และมีปีกกับเขาขนาดใหญ่ ซึ่งดูน่าเกรงขามมาก หลังจากได้เห็นมันปากของชายคนนั้นและเจ้าของร้านก็อ้าค้างไปเลย   “โอ้พระเจ้า! นี่มันวิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างเลือดศักดิ์สิทธ์เบอร์เซิร์ก แล้วแถมยังมีปีก น้องชายต้องการเอาวิญญาณอสูรล้ำค่าแบบนี้มาแลกกับดาบเลือดศักดิ์สิทธิจริงหรอ?” ชายคนนั้นเบิกตากว้าง   “ใช่ เพราะผมต้องการดาบมากกว่า” หานเซิ่นเก็บวิญญาณอสูรโคไฟนรก และเปลี่ยนกลับมาร่างเดิม   “น้องชาย ฉันอยากแลก ฉันต้องการแลก!” ชายคนนั้นรีบพูด   “เฮ้คุณ! ที่นี่มันร้านของผม ถ้าคุณต้องการจะแลกเปลี่ยนวิญญาณอสูรก็ออกไปหาที่อื่นคุย” เจ้าของร้านเดินออกมาจากเคาร์เตอร์ และก็เข้ามาอยู่แทรกระหว่างชายคนนั้นกับหานเซิ่น   “อ่าว คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่าคุณไม่ต้องการแลก แล้วทำไมมาขัดขวางคนอื่นแบบนี้?” ชายคนนั้นพูดตอบโต้   “ใครบอกว่าฉันจะไม่แลก?” เจ้าของร้านหน้าแดง เขาต้องกลืนคำพูดตัวเอง เขาเลิกสนใจชายคนนั้น และหันมายิ้มให้หนาเซิ่น “คุณลูกค้า ถ้าคุณยังอยากจะแลกเปลี่ยนกับวิญญาณอสูรของผม ผมก็ยินดีจะแลก ทำไมพวกเราไม่แลกกันเดี๋ยวนี้เลยล่ะ?”   “หลังจากผมคิดดีๆแล้ว ผมว่าผมชอบวิญญาณอสูรของเจ้าของร้านมากกว่า แต่ยังไงก็ตามวิญญาณอสูรของผมก็เป็นวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กที่ทรงพลัง” หานเซิ่นยิ้ม   “น้องชายอย่าไปฟังที่เขาพูด ถ้าแลกกับฉัน ฉันจะแถมวิญญาณอสูรกลายพันธ์เพิ่มให้อีก” ชายคนนั้นยื่นข้อเสนอ  

Super God Gene – ตอนที่ 566 เมืองเดม่อน
Super God Gene – ตอนที่ 566 เมืองเดม่อน

  เมื่อไหร่ก็ตามที่อีตงมู่มีเวลาว่าง เขาก็จะมาฝึกซ้อมกับหานเซิ่น เพราะเขาต้องการที่จะเชี่ยวชาญวิชาของเขา   หานเซิ่นเองก็ได้รับเงินมามาก ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ต้องมาฝึกกับอีตงมู่ ตรงกันข้ามเลยในช่วงที่ฝึกเขาก็ได้อะไรมากเหมือนกัน วิชาของอีตงมู่สร้างความประหลาดใจให้เขามาก แม้ความสามารถในการรับรู้ของหานเซิ่นจะสูงกว่าอีตงมู่มาก แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีของอีตงมู่ได้อีกต่อไป   “น่าเสียดายมาก เราไม่สามารถหาวิชาแบบนี้ได้ในสถานบันเซนท์ ทั้งๆที่มันเป็นวิชาที่เหมาะกับการลอบสังหารมากๆแท้ แต่เรากลับไม่สามารถเรียนมันได้” หานเซิ่นรู้สึกเสียดาย   การที่เขาได้ฝึกกับอีตงมู่ เขาก็ได้ประโยชน์มากเช่นกัน เขาเน้นฝึกประสาทสัมผัส เขาพยายามจะสัมผัสให้ได้ว่าอีตงมู่จะโจมตีมาตรงไหน เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับรู้ของเขา   วิชาที่อีตงมู่กำลังฝึก เป็นวิชาที่เน้นด้านความเร็วและการตบตา แต่ต่อหน้าหานเซิ่น แค่ประโยชน์ด้านความเร็วอย่างเดียวยังเอาชนะเขาไม่ได้   ดังนั้นหานเซิ่นเลยไม่ได้กังวลว่าอีตงมู่จะเอาวิชานี่ไปใช้ในตอนที่เขาเป็นดอลลาร์ แม้อีตงมู่จะเชี่ยวชาญมันมากแค่ไหนก็ตาม มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาชนะหานเซิ่นได้   ถ้าหานเซิ่นไม่รู้จักวิชานี้ก่อน อีตงมู่ก็ยังมีโอกาสที่จะเอาชนะได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นคุ้นเคยกับวิชานี้แล้ว มันจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง ถ้าพวกเขาสู้กัน   ‘อีตงมู่ผู้น่าสงสาร ไม่ใช่ฉันอยากจะหลอกนายหรอกนะ แต่นายเป็นคนชวนฉันมาเป็นคู่ซ้อมเอง’ หานเซิ่นมองอีตงมู่อย่างละเอียด ในระหว่างที่พวกเขาฝึกซ้อมกัน   ในช่วงนี้ในใจของหานเซิ่นคิดแต่เรื่องที่จะหาวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิ ตอนนี้เขารู้ว่ามอนสเตอร์ตัวไหนบ้างที่จะให้ดาบกับเขาได้ แต่พวกมันก็แข็งแกร่งเกินไปสำหรับเขา บนทุ่งน้ำแข็งมีพื้นที่จำกัดมาก ดังนั้นตัวเลือกของเขาจึงมีไม่มาก   แม้หานเซิ่นต้องการหาซื้อวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิสักดวงหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครที่มีวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิขายเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะหามันในแถบทุ่งน้ำแข็งนี้ไม่ได้   หานเซิ่นตัดสินใจใช้ปราสาทคริสตัลเดินทาบไปที่หาดทรายเหลือง ที่นั้นถ้าขึ้นฝั่งไปจะเจอดินแดนที่มีเมืองมนุษย์จำนวนมาก ยังไงถ้าไปที่นั่นเขาก็น่าจะหาคนที่ขายวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิได้อย่างแน่นอน   หานเซิ่นมีแผนที่จะใช้วิญญาณอสูรโคไฟนรกเป็นเครื่องมือในการต่อรอง เขาเชื่อว่าคงไม่มีใครปฏิเสธจะแลกกับวิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างเลือดศักดิ์สิทธิเบอร์เซิร์กที่มีปีกอย่างแน่นอน   ครั้งนี้เขาพาซีโร่กับจิ้งจอกสีเงินร่วมเดินทางมาด้วย ยังไงมนุษย์ก็จะไม่รู้ว่าจิ้งจอกสีเงินคือมอนสเตอร์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็คงคิดว่าเป็นวิญญาณอสูรสัตว์เลี้ยงแน่ๆ การนำมันไปด้วยจึงไม่มีความเสี่ยง   หานเซิ่นมาถึงเมืองที่อยู่ชายทะเล ซึ่งเป็นเมืองที่โล่คลั่งเป็นสปิริตที่ปกครองอยู่ และหานเซิ่นก็ไปช่วยยึดมา หานเซิ่นคิดว่าคนในเมืองนี้คงจะโกรธหรือเกลียดเขามากเรื่องที่เขาไปขโมยสปิริต แต่ผลปรากฏว่ามันกลับตรงกันข้ามเลย บริเวณที่เมืองนี้ตรงอยู่คือบริเวณที่ชื่อว่าหาดทรายเหลือง หรือบางคนอาจจะเรียกว่าหาดทรายสีทอง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองดอลลาร์   “ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย?” ถ้าหานเซิ่นรู้ว่าวันนั้นทุกคนชื่นชมเขาล่ะก็ เขาคงจะอยู่ต่ออีกหน่อย เพื่อที่จะได้รับประโยชน์เพิ่ม อย่างน้อยๆเขาก็น่าจะได้เนื้อมอนสเตอร์มาบ้าง   หานเซิ่นพาซีโร่และจิ้งจอกสีเงินเดินไปตามหาดทรายเหลือ ซึ่งทำให้ซีโร่ดูมีความสุขมาก   หลังจากที่เข้าไปในเมืองดอลลาร์แล้ว หานเซิ่นก็ไปเดินหาร้านขายวิญญาณอสูรทันที แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนจะมีวิญญาณอสูรขายไม่มาก แม้จะมีวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิขาย แต่ก็ไม่ใช่ประเภทดาบ   “ที่นี่มีวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิประเภทดาบขายไหมครับ?” หานเซิ่นถาม   “สำหรับเมืองเล็กๆแบบนี้ แค่มีวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิขายสักดวงนี้ก็มหัศจรรย์มากแล้ว” เจ้าของร้านหัวเราะ   “งั้นคุณพอจะแนะนำได้ไหมครับว่ามีเมืองไหนที่มีวิญญาณอสูรขายเยอะๆ?” หานเซิ่นถามต่อ   เจ้าของร้านคิดอยู่ชั่วครู่ “ทางตะวันตกของป่าโบราณ มีเมืองระดับราชวงศ์อยู่ชื่อว่าเมืองเดม่อน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายวิญญาณอสูรของพื้นที่แถบนี้ ถ้าอยากจะหาที่ที่ขายวิญญาณอสูรเยอะๆก็คงจะต้องไปที่นั่น แต่การเดินทางไปที่นั่นค่อนข้างอันตราย และต้องผ่านเมืองสปิริตหลายเมือง”   หานเซิ่นหาซื้อแผนที่มาจากเมืองดอลลาร์ ซึ่งเป็นแผนที่ที่จะพาเขาไปถึงเมืองเดม่อนได้ เขาต้องการวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิมาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหาซื้อให้ได้   กว่าจะไปถึงเมืองเดม่อนจะต้องเดินทางอีกไกล ซึ่งหานเซิ่นต้องการจะล่ามอนสเตอร์ระหว่างทาง เขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่เอาจิ้งจอกสีเงินไปด้วย เขาขอให้ซีโร่คอยอยู่กับจิ้งจอกสีเงินที่เมืองดอลลาร์   หานเซิ่นเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มพ่อค้าที่จะไปเมืองเดม่อน “น้องชายคิดจะไปทำอะไรที่เมืองเดม่อน?” ชายวัยกลางคนที่กำลังขี่สัตว์ขี่ลากรถขนสินค้าถามหานเซิ่น   กลุ่มที่หานเซิ่นเดินทางไปด้วยเป็นกลุ่มของพวกพ่อค้า หานเซิ่นจ่ายค่าเดินทางให้พวกเขาด้วย ถ้าหานเซิ่นไปกับพวกเขาจะทำให้เดินทางได้รวดเร็วและปลอดภัยกว่า ซึ่งจะเลี่ยงหลีกความเสี่ยงที่จะหลงทางได้   “ผมได้ยินว่าที่นั่นมีวิญญาณอสูรขายเป็นจำนวนมาก ผมว่าจะไปที่นั่นเพื่อหาซื้อวิญญาณอสูรสัก 2-3 ดวง” หานเซิ่นตอบ   “ใช่ที่นั่นมีวิญญาณอสูรระดับสูงจำนวนมาก และยังมีราคาถูกกว่าที่เมืองดอลลาร์ขายกันอยู่” ชายวัยกลางคนค่อนข้างเป็นคนที่พูดเก่ง ทำให้หานเซิ่นได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเดม่อนเพิ่มมากขึ้น   สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจมากที่สุดก็คือผู้ปกครองเมืองเดม่อนเป็นคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี   เขาก็คือเซินเทียนจื่อ ลูกชายของซีอีโอกลุ่มสตาร์รี่ เขาไม่อยากเชื่อว่าเซินเทียนจื่อจะเป็นผู้ครองเมืองเดม่อน   เซินเทียนจื่อและหานเซิ่นมีเรืองบาดหมางกันมาก่อน แต่ตอนนี้ตระกูลหนิงคิดว่าหานเซิ่นเป็นทายาติของหานจิงจื่อ ทำให้ตระกูลหนิงไม่เคยมารบกวนเขาอีกเลย   หานเซิ่นไม่รู้ว่าเซินเทียนจื่อจะคิดยังไงกับเขาตอนนี้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกเฉยๆกับคนคนนี้แล้ว   ในสายตาของหานเซิ่น ตอนนี้เซินเทียนจื่อไม่ใช่คนที่จะมาเป็นคู่แข่งกับเขาได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่หานเซิ่นจะต้องไปสนใจคนอย่างเขา   ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ยินว่าผู้ครองเมืองเดม่อนคือเขาล่ะก็ บางทีหานเซิ่นอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีคนคนนี้อยู่ด้วย   มันไม่เหมือนกับความสนใจที่เขามีต่อหนิงเยวี่ย สำหรับหานเซิ่นแล้ว หนิงเยวี่ยเป็นคนที่เก่งกว่าเซินเทียนจื่อมาก นั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นต้องใช้ปรสิตกับหนิงเยวี่ย เพื่อที่จะรวบรวมความลับของตระกูลหนิง   แต่หนิงเยวี่ยเป็นคนที่ควบคุมจิตใจของตัวเองได้ดีมาก แม้จะถูกปรสิตอคารีปเปอร์ฝังร่าง แต่ข้อมูลที่หานเซิ่นได้ก็ยังมีจำกัดมาก   ตั้งแต่หานเซิ่นใช้ปรสิตกับเขา หนิงเยวี่ยก็เอาแต่เก็บตัว เขาแทบไม่พบปะกันใครเลย เขาเอาแต่อ่านหนังสือศาสนาพุทธและเต๋า ซึ่งเขาอ่านมันไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ชั่วโมง เหมือนว่าเขาเลิกสนใจเรื่องภายนอกแล้ว ทำให้หานเซิ่นแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย   “ถ้าเซินเทียนจื่อมันเก่งได้สักครึ่งของหนิงเยวี่ย ป่านนี้เราคงถูกฆ่าตายที่สตีลอาเมอร์ไปแล้ว” ตอนนี้หานเซิ่นกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต มันทำให้เขารู้สึกกลัวหนิงเยวี่ยมากขึ้น   โชคดีที่หนิงเยวี่ยถูกปรสิตฝักร่างอยู่ ไม่งั้นหานเซิ่นคงเป็นกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว   หานเซิ่นจำสิ่งที่เซินเทียนจื่อเคยพูดได้ดี ในตอนนี้เขาบอกว่าถ้าหานเซิ่นวิวัฒนาการช้า หานเซิ่นก็ไม่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา สมัยก่อนเซินเทียนจื่อเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก ตอนนี้หานเซิ่นอยากจะรู้ว่าเซินเทียนจื่อจะปฏิบัติตัวยังไงในตอนที่พบเขาอีกครั้ง เซินเทียนจื่อจะคิดว่าหานเซิ่นเป็นมิตร เพราะเขาเป็นทายาทหานจิงจือ หรือจะคิดเป็นศัตรูเพราะความบาดหมางในอดีตกันแน่?   หานเซิ่นอยากจะรู้เรื่องนี้มาก แต่เขาก็ไม่ลืมว่าจุดประสงค์ที่จะไปหาซื้อวิญญาณอสูรดาบเลือดศักดิ์สิทธิ ดังนั้นก่อนที่จะซื้อได้ เขาก็ยังไม่อยากไปให้เซินเทียนจื่อเห็นหน้า  

Super God Gene – ตอนที่ 565 วิชาลับของอีตงมู่
Super God Gene – ตอนที่ 565 วิชาลับของอีตงมู่

  หานเซิ่นใช้คริสตัลสีดำกับวิญญาณอสูรอสรพิษเนตรเงิน จากนั้นเขาก็พาจิ้งจอกสีเงินกลับมาพร้อมกับเขาด้วย ในระหว่างทางหานเซิ่นเจอผู้คนมากมาย และเขาก็ต้องเดินผ่านทุกคนไปอย่างเป็นกังวล เขาอุ้มจิ้งจอกสีเงินไว้แน่น เขากลัวว่ามันอาจจะไปทำร้ายคนอื่นๆได้ แต่โชคดีที่มันไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าวอะไร มันดูเป็นมอสเตอร์ที่สงบมาก   หานเซิ่นรู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยๆตอนนี้พฤติกรรของจิ้งจอกสีเงินก็ไม่เหมือนกับมอนสเตอร์ตัวอื่นๆที่จะโจมตีมนุษย์ทุกคนที่เห็น   หลังจากกลับมาที่ปราสาทคริสตัล จิ้งจอกสีเงินก็ทำเหมือนปรกติ มันอยู่อย่างสงบ แม้แต่มันจะถูกซีโร่กอดเอาไว้ มันก็ยังดูสงบและเชื่องมาก   ยิ่งหานเซิ่นมองดูมัน เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ถ้าเขาไม่ได้เห็นจิ้งจอกสีเงินตัวนี้ออกมาจากไข่ เขาจะไม่มีทางเชื่อเลยว่ามันคือมอนสเตอร์ขั้นสุดยอด เขาคงจะคิดว่ามันเป็นแค่สัตว์ป่าธรรมดาด้วยซ้ำ   เขาสัมผัสจิตสังหารจากตัวมันไม่ได้เลย มันดูเหมือนกับจิ้งจอกทั่วๆไปในสหพันธ์ดวงดาวไม่มีผิด   อสรพิษเนตรงเงินระดับโบราณ กลายพันธ์และเลือดศักดิ์สิทธิถูกแบ่งให้กับหานเซิ่นและคนอื่นๆที่ไปช่วยกันล่า พวกเขาแต่ละคนได้จำนวนเนื้อที่เท่าๆกัน เพื่อเป็นการซื้อใจคนอื่นๆ ถ้าเกิดต้องการล่าในอนาคตหานเซิ่นจะสามารถพึ่งพาพวกเขาได้   หานเซิ่นเอาเนื้ออสรพิษเนตรเงินมาทำเป็นอาหารทันที หลังจากที่เขากินจนอิ่มแล้ว เขาก็มอบส่วนที่เหลือให้กับอาร์คแองเจิล   อสรพิษเนตรเงินเลือดศักดิ์สิทธิมีขนาดใหญ่เกินไป ถึงเขาจะกินมันตลอดทั้ง 1 เดือน เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้สัก 1 จีโนพ้อยรึเปล่า เนื่องจากมันไม่แน่นอน หานเซิ่นเลยไม่อยากจะเสียเวลากินมัน   หลังจากนั้นหานเซิ่นก็จัดการล่ามอนสเตอร์ขึ้นอีก 2-3 ครั้ง โดยมีมอนสเตอร์ระดับเลือดศักดิ์สิทธิเป็นเป้าหมาย แต่โชคร้ายที่การล่าของพวกเขาไม่สำเร็จ เพราะแต่ละตัวมันล่าได้ยากจริงๆ   แต่ถึงพวกเขาจะล่ามอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิไม่สำเร็จ แต่ความเคารพที่หวังเหลี่ยงและคนอื่นๆมีต่อหานเซิ่นก็มากขึ้น พวกเขาอาจจะล่าเป้าหมายไม่สำเร็จก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียความมั่นใจ ระหว่างทางพวกเขาก็ยังล่ามอนสเตอร์กลายพันธ์ได้บ้าง   ความสนุกระหว่างการเดินทางออกล่า ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการอยู่ใต้คำสั่งของหานเซิ่นนั้นรู้สึกสนุกและผ่อนคลายกว่าตอนอยู่กับแบล็คก็อตมาก ด้วยพรสวรรค์ในการเป็นผู้นำที่ดี ทำให้ความศรัทธาในตัวหานเซิ่นของพวกเขาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว   หานเซิ่นไม่เอาจิ้งจอกไปออกล่าด้วย เขาให้มันอยู่ที่ปราสาทคริสตัล หลังจากการล่าแต่ละครั้ง เขาก็จะกลับมาหามัน มันเป็นมอนสเตอร์ที่สุภาพและเป็นมิตรมาก มันไม่เหมือนกับอะไรที่เขาเคยเจอมาก่อน   แต่เมื่อหานเซิ่นลองพาจิ้งจอกสีเงินออกไปล่าด้วย ผลปรากฏว่าไม่ว่าเขาจะออกเดินทางไปไกลขนาดไหน มันก็เป็นการล่าที่สิ้นหวัง เพราะไม่มีแม้แต่เงาของมอนสเตอร์กล้าเข้ามาใกล้เลย   แม้มนุษย์จะไม่รู้สึกอะไรเมื่ออยู่ใกล้ๆจิ้งจอกสีเงิน แต่สำหรับพวกมอนสเตอร์แล้วการรับรู้ของพวกมันจะดีกว่ามนุษย์มาก พวกมันจะสัมผัสได้ถึงอันตรายจากมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจากระยะไกล   ยิ่งระดับของมอนสเตอร์สูงเท่าไหร่ มอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็จะยิ่งระวังและไม่กล้าเข้าใกล้มันมากขึ้น ซึ่งมันทำให้หานเซิ่นผิดหวังมาก ถึงเขาจะไม่ต้องการ แต่เขาก็จะต้องทิ้งจิ้งจอกสีเงินไว้ที่ปราสาทคริสตัลในตอนที่เขาจะไปออกล่า   ในตอนนี้หานเซิ่นกลับมายังเมืองที่เมื่อก่อนเคยถูกเรียกว่าเมืองแบล็คก็อต เพราะเขาได้รับรายงายมาว่ามีคนมาขอพบ   หานเซิ่นเดินทางมาถึง เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะคนคนนั้นคืออีตงมู่ หานเซิ่นไม่เห็นหน้าเขามาสักพักแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของเขาจะหายสนิทแล้ว บนร่างของเขาไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นอีกต่อไป   “นายไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณฉันหรอก ฉันก็แค่ช่วยเพราะว่าอยากช่วย แน่นอนว่าถ้านายต้องการจะให้รางวัลฉันจริงๆ ฉันก็ยินดีที่จะรับเงินสัก 2-3 พันล้านดอลลาร์” หานเซิ่นพูด   อีตงมู่ตอบอย่างสงบ “นายยังมีหน้ามาของฉันอีกหรอ? ถ้านายไม่เล่นลูกไม้กับฉัน ฉันก็คงไม่ต้องเจ็บหนักขนาดนั้น”   “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูพก เพราะตอนแรกฉันก็พยายามหยุดนายแล้ว แต่นายดันเข้าใจผิดไปเอง หลังจากจิ้งจอกเกิดขึ้นมา นายก็วิ่งเข้าไปใส่มันเอง นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” หานเซิ่นพูด   “ตอนมันเกิดมา อย่ามาบอกนะว่านายไม่มีความคิดที่จะเข้าไปโจมตีมันเหมือนกัน? ถ้าฉันไม่เข้าไปเปิดก่อน คนที่จะโดนมันเล่นงานก็คือนาย” อีตงมู่มองหน้าหานเซิ่น เขาเชื่อจริงๆว่าหานเซิ่นเองก็ต้องการจะเข้าไปโจมตีจิ้งจอกสีเงินเหมือนกัน   แต่ความเป็นจริงแล้วหานเซิ่นไม่ต้องการจะเข้าไปโจมตี แต่เขาถอยหลังกลับมา “ไม่” หานเซิ่นปฏิเสธ   อีตงมู่ไม่พูดถึงเรื่องนี้มากไปกว่านี้ เขามองหานเซิ่นและเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “นายมีเวลาว่างไหมล่ะ ถ้านายมากับฉัน นายจะได้รับเงินแบบง่ายๆ สนใจไหม?”   “แน่นอน แล้วมันเป็นงานแบบไหน? ถ้ามันเสี่ยงก็ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากฟัง” หานเซิ่นพูด   “มันไม่เสี่ยง นายเองก็มีพรสวรรค์ด้านการลอบสังหารใช่ไหม?” อีตงมู่พูด เขามองหานเซิ่นต้องแต่หัวจรดเท้า   “ก็พอได้” หานเซิ่นพูด   “ถ้านายเป็นคนฆ่าแบล็คก็อตจริงๆอย่างที่เขาลือกัน มันก็คงไม่ใช่’ก็พอได้’แล้ว ฉันอยากจะฝึกวิชาไฮเปอร์จีโน ถ้านายมาเป็นคู่ซ่อมให้ฉัน ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้นาย” อีตงมู่อธิบายอย่างตรงไปตรงมา   “ทำไมต้องเป็นฉัน?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย   “ก็เพราะนายมีความสามารถในการลอบโจมตีเหมือนกับฉัน และความแข็งแกร่งของนายมันก็ไม่ธรรมดาด้วย” อีตงมู่พูด   “เข้าใจพูดดี ฉันชอบคนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาแบบนาย และแน่นอนว่าฉันสามารถเป็นคู่ซ่อมให้นายได้ แต่ฉันก็ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกัน ฉันต้องบอกก่อนว่า ค่าตัวของฉันมันไม่ถูกหรอกนะ” หานเซิ่นก็สงสัยเกี่ยวกับวิชาไฮเปอร์จีโนที่อีตงมู่กำลังจะฝึกเหมือนกัน   พวกเขา 2 คนมีสไตล์ที่คล้ายๆกัน ถ้าอีตงมู่อยากจะฝึกวิชานั้น แสดงว่ามันมีประโยชน์ต่อคนที่ถนัดลอบโจมตี ซึ่งมันก็ควรจะมีประโยชน์กับเขาด้วยเช่นกัน   “ปัญหาที่แก้ได้ด้วยเงิน สำหรับฉันมันไม่เรียกว่าปัญหา” อีตงมู่พูด   อีตงมู่รวยพอที่จะพูดคำพูดนี้ออกมา แม้หานเซิ่นจะเรียกค่าตัวสูงจริงๆ อีตงมู่ก็สามารถตอบตกลงได้โดยไม่ต้องคิด เขาไม่เคยต่อลองราคากับหานเซิ่น   หานเซิ่นพาอีตงมู่ไปที่สนามซ้อมในเมืองแบล็คก็อต เขาอยากจะรู้จริงๆว่าวิชาที่อีตงมู่อยากจะฝึกเป็นวิชาแบบไหน   อีตงมู่ยังคงใช้มีดสั้นเป็นอาวุธประจำตัว การโจมตีด้วยมีดของเขายากจะคาดเดาและไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเป็นนักฆ่าจริงๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่หานเซิ่นเจอเขา หานเซิ่นก็มั่นใจว่าอีตงมู่จะต้องพัฒนาขึ้นอีกมากในอนาคต   สิ่งที่อีตงมู่กำลังฝึกอยู่มันเป็นวิชาที่ใช้การฟันอย่างรวดเร็ว พลังและความเร็วที่ใช้มันเหมือนกับการจุดระเบิดในเสี้ยววินาที มันเกือบจะเป็นวิชาที่คล้ายๆกับมีดทอร์นาโด   อีตงมู่มีความแข็งแกร่งสูงมากอยู่แล้ว ยิ่งเขาใช้วิชานี้ ทำให้การฟันแต่ละครั้งของเขารวดเร็วและรุนแรงมาก   “เป็นวิชาที่ทรงพลังมาก” หานเซิ่นขยับถอยหลังมา เเละหลบมีดของอีตงมู่ หานเซิ่นเองก็มีพรสวรรค์ในการเป็นนักฆ่า แถมเขายังเป็นคนที่มีความรู้สึกไวด้วย ซึ่งมันทำให้เขารับรู้ก่อนล่วงหน้าว่าการโจมตีจะมาจากตรงไหน ถ้าเป็นคนอื่นๆคงจะถูกมีดของอีตงมู่แทงเข้าที่ท้องไปแล้ว   “ฉันยังต้องฝึกอีกมาก” อีตงมู่ยังไม่พอใจกับวิชาของเขาตอนนี้ เขาฝึกซ้อมกับหานเซิ่นอย่างหนัก   หานเซิ่นเคยเจอคนที่ชื่นชอบการต่อสู้มามาก แต่เขายังไม่เคยเจอใครที่ฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งแบบอีตงมู่มาก่อน   ถ้าหานเซิ่นไม่ขอหยุดพักเพื่อกินอาหารในแต่ละมื้อ เขาคิดว่าอีตงมู่ก็คงจะฝึกซ้อมกับเขาทั้งวันทั้งคืนแน่   จากที่หานเซิ่นเห็น เขาก็พบว่าการโจมตีของอีตงมู่มันรุนแรงและรวดเร็วมากแล้ว คงมีผู้วิวัฒนาการไม่กี่คนที่สามารถหลบการโจมตีของเขาได้ แต่กระนั้นอีกตงมู่ก็ยังไม่รู้สึกพอใจ   “ทำไมนายถึงต้องพยายามมากขนาดนั้น? นายอยากจะเป็นยอดฝีมือด้านการใช้มีดรึไง?” มันช่วยไม่ได้ที่หานเซิ่นจะต้องเอ่ยถามในขณะที่เขากินอาหาร   “ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อที่ฉันจะได้มีโอกาสเอาชนะดอลลาร์ได้ ฉันต้องทำให้วิชานี้สมบูรณ์แบบ” อีตงมู่พูดอย่างเคร่งขรึม   หานเซิ่นเกือบจะพ่นข้าวออกมาจากปาก เหตุผลว่าทำไมอีตงมู่ถึงพยายามมากขนาดนี้เป็นเพราะเขาต้องการเอาชนะหานเซิ่นให้ได้   หานเซิ่นมองอีตงมู่ด้วยความสงสัย เขารู้สึกสงสารอีตงมู่ขึ้นมาจริงๆ เขาคิด ‘นายสามารถหาคนอื่นมาเป็นคู่ซ้อมได้แท้ๆ แต่ดันมาให้ฉันเป็นคู่ซ้อม ตอนนี้วิชาลับของนาย ฉันก็รู้หมดแล้ว ไม่ว่านายจะฝึกหนักแค่ไหน นายก็ไม่มีวันเอาชนะฉันได้ อีตงมู่’