Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 506 แบล็คก็อต
Super God Gene – ตอนที่ 506 แบล็คก็อต

  หานเซิ่นจ้องมองคนพวกนั้น พวกเขาไม่มีแม้แต่อุปกรณ์สำหรับตกปลาด้วยซ้ำ ดูแล้วจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่คงจะไม่ได้มาเพื่อตกปลา   “ไสหัวไป” หานเซิ่นตวาดใส่   “ดูเหมือนนายจะมีอารมณ์นะ แต่ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนว่านายไม่ควรพูดแบบนั้นกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่” ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนพวกนั้นไม่ได้โกรธ แต่เขายิ้มให้หานเซิ่น   คนพวกนี้ไม่ได้คิดจริงจังกับคำพูดของหานเซิ่น พวกเขาเดินมาหาหานเซิ่น พวกเขาถอนหายใน และก็เริ่มเปิดกระเป๋าใส่ปลาของหานเซิ่น   “ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรอ? อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีก” หานเซิ่นขมวดคิ้ว   “ฮาฮา พ่อหนุ่มคนนี้ดูจะเป็นคนที่ก้าวร้าวเอาเรื่อง แต่ที่นี่มันเขตของเมืองเเบล็คก็อต ไม่ใช่ที่ที่นายจะมาทำกร่างแถวนี้ได้” ชายวัยกลางคนยื่นมือไปจับปลาในกระเป๋าของหานเซิ่นและพูด “หัวหน้าของเราบอกว่าครึ่งนึ่งของปลาที่จับได้ที่ทะเลสาบแห่งนี้จะต้องส่งให้เมืองแบล็ดก็อต พวกเราเมืองแบล็คก็อตมีสิทธิที่จะเก็บค่าธรรมเนียมทุกคนที่มาใช้ที่นี่”   แต่โดยปรกติแล้ว ค่าธรรมเนียมของพวกเขาคือปลาระดับโบราณ 1 ตัวต่อวัน แต่คนพวกนี้กำลังขอปลาของหานเซิ่นถึง 3 ตัว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าปรกติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอิจฉาที่หานเซิ่นได้ปลาเยอะเลยมีแผนที่จะแบล็คเมล์   ในตอนแจรกหานเซิ่นก็ตั้งใจว่าจะให้ปลา 1 ตัวกับคนของเเบล็คก็อตอยู่แล้ว เพราะยังไงเขาก็มาใช้ที่ของพวกเขา แต่ทว่าคนพวกนี้พยายามจะแบล็คเมล์เขา ทำให้หานเซิ่นลังเลที่จะให้ปลากับพวกเขา   เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยื่นมือมาที่กระเป๋าของเขา หานเซิ่นก็ไม่พูดอะไรอีก เขาใช้มือของเขาฟันไปที่มือของชายคนนั้น   การโจมตีของหานเซิ่นทั้งรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งชายวัยกลางคนไม่มีทางหลบได้ มือของเขาถูกหานเซิ่นฟันเข้าอย่างจัง ทำให้เขากรีดร้องออกมาเหมือนกับหมู   “บัดซบที่สุด มันกล้าโจมตีพวกเขา รีบฆ่ามันเร็ว” เมื่อคนอื่นๆที่เหลือเห็นหานเซิ่นเคลื่อนไหว พวกเขาก็เรียกวิญญาณอสูรออกมา และเข้าโจมตีหานเซิ่นทันที เหมือนกับพวกเขาต้องการจะฆ่าหานเซิ่นให้ได้ พวกเขาเล็งที่จุดตายของหานเซิ่น   สายตาของหานเซิ่นยังคงสงบนิ่งราวกับสายน้ำ เมื่อมีคนต้องการจะมาเอาชีวิตเขา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เมื่ออาวุธของพวกเขาใกล้เข้ามา หานเซิ่นก็กวัดแกว่งมือขวาของเขา มีแสงสีม่วงปรากฏขึ้นมา จากนั้นอาวุธทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆ และคน 3 คนที่อยู่ตรงหน้าหานเซิ่นก็ถูกฟันเข้าไปที่หน้าอกแล้วขาดใจตายทันที   อีก 2 คนโชคดีที่พวกเขาไม่ได้เข้าโจมตีเร็วเท่ากับ 3 คนก่อนหน้า พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และหันหลังวิ่งหนีทันที พร้อมกับส่งเสียงตะโกน   “รีบหนีเร็วเข้า คนของแบล็คก็อตอยู่แถวนี้ พวกเขาจะมาถึงที่นี่ในอีก 1 นาที” กวนถงรีบวิ่งมาบอกหานเซิ่น   หานเซิ่นพยักหน้าและพูด “เธอก็ควรจะไปเหมือนกัน และต่อไปอย่ามาที่นี่อีก”   หานเซิ่นรีบหนีออกจากทะเลสาบ เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างเขากับเมืองแบล็คก็อต และเขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวด้วย   แต่ทว่าขณะที่หานเซิ่นกำลังหนีออกจากทะเลสาบ ก็มีคนกำลังขี่สัตว์ขี่ไล่ตามเขามา 10 กว่าคน และจะมาถึงตัวเขาในเวลาไม่นาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงไม่ได้มาดีแน่   “หัวหน้า ไอ้หมอนี่แหละที่ฆ่าพรรคพวกของเรา” ในกลุ่มพวกเขามีชายวัยกลางคน ซึ่งเป็นคนที่วิ่งหนีไปได้ทันหลังจากแบล็คเมล์หานเซิ่น ตอนนี้เขากำลังชี้นิ้วมาที่หานเซิ่น พร้อมกับพูด   กลุ่มคนที่ขี่สัตว์อสูรล้อมหานเซิ่นเอาไว้ หัวหน้าของพวกเขาคือคนที่สวมชุดเกราะสีดำ ตาของเขาดูเหมือนกับเหยี่ยว เขากำลังจ้องมองหานเซิ่นด้วยสายตาที่เย็นชา “แกใช่ไหมที่ฆ่าคนของฉัน?”   “พวกเขาพยายามจะแบล็คเมล์ฉันก่อน ดังนั้นฉันจึงต้องป้องกันตัว” หานเซิ่นพูด และหันไปหาชายวัยกลางคนที่แบล็คเมล์เขา   ชายที่สวมชุดเกราะสีดำเรียกวิญญาณอสูรที่เป็นมีดของเขาออกมา เขาชี้นิ้วไปที่หานเซิ่นและพูด “ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร การที่แกมาฆ่าคนของฉัน แกก็สมควรตาย” ขณะที่พูด เขาก็ใช้มีดฟันมาที่หานเซิ่น มีดของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้าสีดำ มันมาถึงหน้าของหานเซิ่นในชั่วพริบตา   สีหน้าและท่าทางของหานเซิ่นเปลี่ยนไปทันที การโจมตีของชายที่สวมชุดเกราะดำรวดเร็วเกินกว่าที่หานเซิ่นจะหลบมันได้ เขาเรียกวิญญาณอสูรกรงเล็บออกมา และใช้มันป้องกัน   แต่ทว่าขณะที่กรงเล็บของหานเซิ่นกำลังจะปะทะกับมีดของชายชุดเกราะดำ อยู่ๆมีดของชายชุดเกราะดำก็หายไป เมื่อมันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ฟันเข้าที่หน้าอกของหานเซิ่นเรียบร้อยแล้ว   เลือดเริ่มไหลออกมาจากรอยแผลบนหน้าอกของหานเซิ่น โชคดีที่หานเซิ่นก้าวถอยหลังออกมา ทำให้เขาถูกฟันแค่เฉี่ยวๆเท่านั้น ที่สำคัญด้วยกรีฟของวิญญาณอสูรอีวิลการ์กอย ทำให้ผิวหนังของเขาแข็งและป้องกันความเสียหายได้ส่วนหนึ่ง ไม่งั้นเขาก็อาจจะตายด้วยการโจมตีนั้นไปแล้ว   ทักษะการใช้มีดของชายชุดเกราะดำแปลกมาก และระดับความแข็งแกร่งของเขาก็สูงมากด้วย เขาแข็งแกร่งกว่าเถี่ยอี๋อย่างแน่นอน   การที่หานเซิ่นไม่ตายด้วยการโจมตีครั้งนี้ ทำให้ชายชุดเกราะดำประหลาดใจเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดโจมตี เขาฟันมาที่หานเซิ่นอีกครั้ง   คนอื่นๆที่ล้อมหานเซิ่นอยู่ก็เรียกวิญญาณอสูรของพวกเขาออกมา และเข้ามาโจมตีหานเซิ่นเช่นเดียวกัน ดูจากความเร็ว พวกเขาจะต้องเป็นผู้วิวัฒนาการที่มีระดับความแข็งแกร่งเกิน 100 แน่ หานเซิ่นรู้ว่าเขาจะสู้อยู่แบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะได้ตายจริงๆแน่ หานเซิ่นรีบใช้มนตรานอกรีตและโอเวอร์โหลดพร้อมๆกัน จากนั้นเขาก็เริ่มวิ่งหนีทันที   แต่กระนั้นพวกเขาก็ล้อมหานเซิ่นเอาไว้ ไม่มีที่หานเซิ่นหนีไปไหนได้ หานเซิ่นตัดสินใจวิ่งฝ่า 2 คนที่อยู่ด้านหน้าของเขาออกไป   2 คนนั้นใช้ดาบฟันมาที่หานเซิ่นโดยไม่ลังเล หานเซิ่นโดดไปทางซ้ายและขวา เพื่อหลบการโจมตีจากพวกเขาทั้ง 2 คน   แต่ทว่าหลังจากที่เขาหลบ 2 คนนั้นได้แล้ว มันก็ไม่มีเวลาพอที่เขาจะหลบการโจมตีจากชายชุดเกราะดำที่ตามมาข้างหลังได้ หลังของหานเซิ่นมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ยังดีที่ได้กรีฟของอีวิลการ์กอย ไม่งั้นเขาคงไม่รอดจากการโจมตีนี้แน่   หานเซิ่นกัดฟัน สายตาของเขายังคงสงบเยือกเย็น เขาวิ่งหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ขาของเขาจะรับไหว   เขารู้ว่ายังไงก็สู้กับคนพวกนี้ไม่ได้ ชายชุดเกราะดำมีระดับความแข็งแกร่งที่สูงกว่าเขา และยังมีวิชามีดที่ร้ายกาจ ผู้ติดตามของเขาก็อยู่ในระดับท็อปทั้งนั้น ด้วยการที่ชายคนนั้นมีผู้วิวัฒนาการที่มีระดับความแข็งแกร่งเกิน 100 ช่วยหลายคน ทำให้หานเซิ่นหมดโอกาส เขาจะตายแน่นอนหากยังไม่รีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอด   “พวกเราจะปล่อยให้มันรอดไปไม่ได้” ชายชุดเกราะดำนำคนของเขาไล่ตามหานเซิ่นไป   ทรัพยากรบนทุ่งน้ำแข็งแถบนี้มีอยู่อย่างจำกัด มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะมีการต่อสู้แย่งชิงกันเกิดขึ้น คนของแบล็คก็อตจะไม่ทน ถ้ามีใครมาท้าทายผลประโยชน์และสิทธิของพวกเขา ไม่งั้นเมืองแบล็คก็อตก็คงจะครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่แถบนี้ไว้ไม่ได้   หานเซิ่นรู้ว่ามีการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่แถบนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะดุเดือนและรุนแรงขนาดนี้   ความเร็วของหานเซิ่นด้อยกว่าสัตว์ขี่ของพวกเเบล็คก็อต และในทุ่งน้ำแข็งก็ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวได้เลย ถ้าเขายังวิ่งหนีต่อไปแบบนี้ เขาก็คงไม่รอดแน่   ถ้าไม่มีผู้ติดตาม หานเซิ่นก็อยากจะลองสู้ตัวต่อตัวกับชายชุดเกราะดำดู แต่ทว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาทำได้แค่วิ่งเอาชีวิตรอดเท่านั้น   หลังจากวิ่งหนีมาจนถึงทะเลสาบน้ำแข็งอีกครั้ง เมื่อหานเซิ่นเห็นพวกแบล็คก็อตกำลังไล่ตามมา หานเซิ่นจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในรูน้ำแข็ง  

Super God Gene – ตอนที่ 505 บลูฟิช
Super God Gene – ตอนที่ 505 บลูฟิช

  หานเซิ่นเดินทางออกจากเมืองสตาร์วีลเพื่อไปล่ามอนสเตอร์ เนื่องจากโกลเด้นโกรวเลอร์ยังไม่เสร็จสิ้นการอัพเกรด หานเซิ่นเลยยังไม่สามารถทำให้หมาป่าน้ำแข็งและวานรบ้าคลั่งเปลี่ยนเป็นแบบเบอร์เซิร์กได้   หานเซิ่นไปจนเกือบจะถึงทะเลสาบน้ำแข็ง ซึ่งมันอยู่ใกล้กับมหาสมุทร แต่เนื่องจากมันเป็นน้ำแข็ง และยังหนาวเย็นมาก ทำให้ไม่มีใครมาล่าแถวนี้   คนทั่วๆไปเลือกที่จะเจาะน้ำแข็งลงไปเป็นรู เพื่อที่จะจับมอนสเตอร์ที่มีลักษณะเหมือนปลา เมื่อมอนสเตอร์ประเภทนั้นถูกนำขึ้นมาบนผิวน้ำ มันก็จะสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ และถูกฆ่าได้อย่างไม่ยากเย็น   หานเซิ่นนำด้ายชนิดพิเศษที่มีความเหนียวและแข็งแรงเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ด้วย เมื่อเขามาถึงบริเวณทะเลสาบน้ำแข็ง เขาก็พบว่ามันไม่ได้แตกต่างจากทุ่งน้ำแข็งทั่วๆไป ใต้เท้าของเขาเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาๆ ส่วนที่บางที่สุดยังมีความหนาถึง 3-6 ฟุต   มีคนจำนวนมากอยู่บริเวณทะเลสาบน้ำแข็ง เนื่องจากพื้นที่ในการล่ามอนสเตอร์มีอยู่อย่างจำกัด ทะเลสาบน้ำแข็งจึงถือเป็นจุดล่ามอนสเตอร์ชั้นดี และยังพบมอนสเตอร์กลายพันธ์เป็นบางครั้งด้วย   แต่การมาล่ามอนสเตอร์หรือตกปลา พวกเขาจะต้องใช้ความอดทน ถ้าโชคดีมันก็อาจจะใช้เวลาประมาน 1 วัน เพื่อจับมอนสเตอร์กลายพันธ์ แต่ถ้าโชคไม่ดีก็อาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะได้มอนสเตอร์กลายพันธ์สักตัว   หานเซิ่นตั้งใจมาที่นี่ก็เพื่อเก็บจีโนพ้อยโบราณให้เต็ม เนื่องจากมอนสเตอร์ที่อยู่บริเวณนี้ส่วนมากจะเป็นมอสเตอร์ระดับโบราณ และยังมีขนาดเล็ก   แน่นอนว่าถ้าเกิดฟลุคเจอมอนสเตอร์กลายพันธ์ด้วยก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่เจอก็ยังได้จีโนพ้อยโบราณ ซึ่งก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร   ในพื้นที่ทะเลสาบขนาดใหญ่นี้ หานเซิ่นมองเห็นคนจำนวนมากกำลังนั่งตกปลาอยู่ข้างๆหลุมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ฟุต   หานเซิ่นไม่คิดจะขุมหรือเจาะรูด้วยตัวเอง หานเซิ่นหารูที่ไม่มีคนใช้ จากนั้นเขาเอาเหยื่อใส่ตะขอที่ผูกอยู่กับด้ายชนิดพิเศษ และก็เหวี่ยงด้ายลงไปในรูเหมือนกับการตกปลาทั่วๆไป   หานเซิ่นนั่งอยู่บนม้านั่ง เนื่องจากเขาใส่ชุดหนังของหมาป่าน้ำแข็ง ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าหนาวเลย ขณะที่กำลังรอให้ปลามากินเหยื่อ เขาก็อ่านหนังสือภาษาโบราณไปด้วย   “นายเองหรอ?” หานเซิ่นพึ่งจะมานั่งได้ไม่นาน ก็มีใครบางคนทิ้งของสัมภาระที่เธอนำมาด้วย และก็วิ่งเข้ามาหาหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ หานเซิ่นมองดู และพบว่าเธอคือผู้หญิงตัวสูงๆ กวนถงกำลังวิ่งตรงเข้ามาหานเซิ่น หานเซิ่นคิดเธอเองก็น่าจะมาตกปลาที่นี่เช่นกัน   “เธอก็มาตกปลาเหมือนกันหรอ?” หานเซิ่นยิ้มให้กวนถง   “นาย… เรื่องเมื่อคราวก่อนขอบคุณนะ” กวนถังอ้าปากขึ้นมา เเต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร   “เรื่องอะไร?” หานเซิ่นงง เขาไม่รู้ว่าเธอขอบคุณเขาเรื่องอะไร   “ขอบคุณที่ช่วยเมืองสตาร์วีล” กวนถงรีบพูด   “งานกล้วยๆ ฉันต้องขอบคุณเธอมากว่าที่อุส่าแบกฉันมา” หานเซิ่นยิ้ม   หลังจากที่ฟังหานเซิ่นพูด มันก็ช่วยไม่ได้ที่กวนถงจะหน้าแดง หลังจากที่เห็นเขาฆ่าสปิริต เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยในวันนั้น แต่เธอก็ยังอุส่าแบกเขากลับมา ทั้งๆที่เขาไม่ได้ต้องการให้ช่วย เธอรู้สึกว่าตัวเธอช่างซื่อบื้อจริงๆ   “รีบตกปลาดีกว่า ถ้าช้าเดี๋ยวจะไม่เหลือจุดๆดีไว้ให้ตก” หานเซิ่นชี้ไปที่รูน้ำแข็ง   กวนถงพยักหน้า และรีบวิ่งไปตรงนั้น จริงๆเธออยากจะพูดขอบคุณให้มันดีกว่านี้ แต่เธอไม่รู้จะพูดอะไรดีพอมาเจอหานเซิ่นจริงๆ   กวนถงเริ่มตกปลาในจุดที่อยู่ห่างจากจุดที่หานเซิ่นตกประมาน 20 ฟุต ขณะที่เธอจ้องมองหานเซิ่นอยู่บ่อยครั้งระหว่างที่กำลังตกปลา แต่หานเซิ่นก็เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวโดยไม่ได้สังเกต   หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หานเซิ่นที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ก็เห็นว่าสายเบ็ดของเขากระตุก หานเซิ่นรีบวางหนังสือลง เขาสังเกตว่าทุ่นที่ลอยอยู่บนผิวน้ำมันกำลังสั่นอยู่เล็กน้อย   หานเซิ่นเอานิ้ววางบนสายเบ็ด และรู้สึกว่ามันกำลังสั่น หานเซิ่นไม่ได้ดึงมันในทันที หลังจากที่ดูดซับพลังจากคริสตัลสีแดงมาแล้ว สมองของหานเซิ่นก็มีพลังมากกว่าคนปรกติ จากความรู้สึกที่ได้รับจากการเคลื่อนไหวของสายเบ็ด หานเซิ่นสามารถเห็นภาพในน้ำได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง   ตัวหานเซิ่นเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสมองของเขาจะมีพลังถึงขนาดนี้ แต่นี่ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับเขา   แค่ได้สัมผัสสายเบ็ด หานเซิ่นก็รู้ว่ามอนสเตอร์ยังไม่ได้งับเหยื่อ แต่มันกำลังกัดส่วนปลายของเหยื่ออยู่ แต่ทันใดนั้นเองสายเบ็ดก็สั่นอย่างรุนแรง หานเซิ่นรีบดึงสายเบ็ดอย่างแรงทันที   การดึงปลาขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หานเซิ่นรู้เรื่องนั้นดี เขาจึงไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดดึงขึ้นมาเลย แต่เขาจะค่อยๆดึงสลับกับปล่อยให้มันคลายตัว เขาต้องรอจนกว่าปลาจะอ่อนแรงลง ขณะที่มอนสเตอร์ดึงแรงๆอีกครั้ง หานเซิ่นก็ปล่อยให้มันดึงไป พอมันหยุดดึงเขาก็ดึงมันกลับมา หลังจากที่ทำแบบนี้ไปหลายๆครั้ง ในที่สุดมอนสเตอร์ก็เริ่มจะหมดแรง   จากนั้นหานเซิ่นก็ดึงสายอย่างแรง ปลาตัวสีฟ้าความยาวมากกว่า 1 ฟุตปรากฏตัวขึ้นมา เกล็ดของมันกำลังส่องแสงสีฟ้า   หานเซิ่นเปลี่ยนมือของเขาให้คมเหมือนกับมีด และเขาก็ตัดหัวของปลาโดยใช้วิชามีดอัสนีที่เขากำลังฝึกมันอยู่   “บลูฟิชโบราณถูกฆ่า ไม่ได้รับวิญญาณอสูร เมื่อกินเนื้อของมัน คุณมีโอกาสได้รับ 0 -10 จีโนพ้อยโบราณ”   แม้มันจะเป็นแค่มอนสเตอร์โบราณ หานเซิ่นก็ยังดีใจที่ตกมันขึ้นมาได้ การตกปลาที่นี่ดูจะไม่มีความเสี่ยงเลย แถมยังได้มอนสเตอร์ขนาดเล็กที่กินได้ง่ายอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนจำนวนมากถึงได้มาที่ทะเลสาบแห่งนี้   หานเซิ่นชำแหละบูลฟิช และตัดมันเป็นชิ้นๆ จากนั้นเขาหยดซอสสูตรพิเศษลงไป เขารู้สึกว่าความหวานของเนื้อมันเข้ากันได้ดีกับรสชาติของซอสที่เขาเอามา มันอร่อยมากจริงๆ   “เนื้อของบูลฟิชถูกกิน คุณได้รับ 1 จีโนพ้อยโบราณ”   หานเซิ่นอ่านหนังสือไปด้วย ขณะที่กำลังกินปลา ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง หานเซิ่นก็ได้บูลฟิช 4 ตัวและโกลแองโชวี่อีก 3 ตัว ถึงเขาจะไม่ได้วิญญาณอสูรเลย แต่มาแค่แปปเดียวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าน่าพอใจมากแล้ว   คนอื่นๆที่อยู่ที่นี่เหมือนจะไม่ได้โชคดีเหมือนกับหานเซิ่น ขณะที่หานเซิ่นตกปลาได้ 7 ตัวแล้ว แต่คนที่โชคดีที่สุดในหมู่พวกเขายังตกได้แค่ 2 ตัว   คนจำนวนมากหันมามองหานเซิ่นด้วยความอิจฉา ทุกครั้งที่หานเซิ่นดึงสายเบ็ด คนที่อยู่ใกล้ๆก็จะหันมาดู   เห็นได้ชัดว่ากวนถังก็เป็นหนึ่งในคนที่ดวงซวยที่สุด จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้อะไรเลย   แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนิโชคชะตาทั้งหมด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีประสาทสัมผัสที่ดี และรู้ว่าตอนไหนปลาติดเบ็ดหรือตอนไหนควรจะดึงมันขึ้นมา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเลือกมาที่นี่อาจจะไม่ได้อะไร ไม่งั้นทุกคนก็คงจะเลือกมาที่นี่กันหมดแล้ว   “กวนถง ปลานี่รสชาติดีมาก มานี่ มาลองดู” หานเซิ่นโบกมือเรียกกวนถงและพูด   กวนถงตกปลามากพักใหญ่ๆแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้อะไรเลย ทำให้หานเซิ่นรู้สึกสงสารเธอ เพราะยังไงเธอก็เคยช่วยแบกเขากลับเมือง หานเซิ่นบอกเธอว่าจะแบ่งเนื้อปลาให้กับเธอ เพราะเขาคงกินมันได้ไม่หมด   “ไม่เป็นไร ฉันเอาอาหารมาด้วย” กวนถงรู้สึกอายเกินกว่าที่จะไปรับเนื้อมากินได้ เธอเอายาบำรุงออกมาจากกระเป๋า   “มานี่ดีกว่า กินคนเดียวมันน่าเบื่อ ฉันมีอาหารมากเกินไป ยังไงฉันก็กินไม่หมดอยู่แล้ว” หานเซิ่นพูด พร้อมกับยิ้ม   กวนถงยังคงลังเลว่าควรจะเข้าไปกินดีหรือเปล่า แต่ตอนนี้มีคนหลายคนเดินเข้าไปหาหานเซิ่น หนึ่งในพวกเขาพูดกับหานเซิ่น “เพื่อน ดูเหมือนนายจะตกปลาได้มากเลยนิ ถึงขนาดจะแบ่งให้สาวทอมบอยคนนั้น”  

Super God Gene – ตอนที่ 504 การซื้อวิญญาณอสูร
Super God Gene – ตอนที่ 504 การซื้อวิญญาณอสูร

  หานเซิ่นกำลังเดินสำรวจไปทั่วตลาดเมืองสตาร์วีล ซึ่งมันคึกคักกว่าตลาดในเมืองเทพธิดาของหานเซิ่นมาก แต่กระนั้นวิญญาณอสูรกลายพันธ์ก็ยังหาซื้อได้ยาก ขณะที่วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธินั้นไม่มีขายเลย   หานเซิ่นสนใจวิญญาณอสูรกลายพันธ์หลายดวง แต่ผู้ขายส่วนมากไม่ได้ต้องการเงิน พวกเขาอยากจะแลกกับวิญญาณอสูรในระดับเดียวกัน ส่วนอันที่ขายเป็นเงินสด หานเซิ่นกับไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่   ส่วนวิญญาณอสูรที่เป็นเบอร์เซิร์กจะมีประมาน 1 ใน 100 ดังนั้นถ้าหานเซิ่นขายวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กมากเกินไปจะทำให้คนสงสัยเอาได้ หลังจากดูในตลาดแล้ว หานเซิ่นก็รู้สึกว่าไม่ควรขายวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กมากเกินไป   ตอนนี้หานเซิ่นกำลังมองหาวิญญาณอสูรดวงที่ถ้ากลายเป็นเบอร์เซิร์กแล้วมูลค่าจะเพิ่มขึ้นมหาศาล บางทีเขาอาจจะทำเงินจนสามารถเอาไปซื้อวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิเลยก็ได้   แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่าย เพราะในพื้นที่แถบนี้วิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิหาซื้อไม่ได้เลย หานเซิ่นจึงเลือกวิญญาณอสูรกลายพันธ์ที่ดูหายากและเป็นที่นิยมแทน เมื่อมันกลายเป็นเบอร์เซิร์กแล้ว ราคาของมันจะสูงขึ้นมาก แน่นอนว่าถ้าหานเซิ่นเก็บไว้ใช้เอง มันก็ต้องเป็นประโยชน์กับตัวเขาด้วย   หานเซิ่นค่อยๆเดินไปในตลาด เขามองวิญญาณอสูรกลายพันธ์ 2 ดวงในร้านค้าแห่งหนึ่งอยู่สักพักแล้ว มันมีดวงหนึ่งที่เขาชอบมันมาก   “สวัสดีครับ หมาป่าน้ำแข็งกลายพันธ์ราคาเท่าไหร่?” หานเซิ่นถามเจ้าของ ขณะชี้นิ้วไปที่วิญญาณอสูรที่ดูเหมือนกับก้อนหิมะ   หมาป่าหิมะไม่ได้หายากในบริเวณทุ่งน้ำแข็ง พวกมันมีอยู่จำนวนมากจนทำให้เกิดปัญหาด้วยซ้ำ ในพื้นที่แถบนี้ง่ายมากที่จะหาจุดที่พวกมันอาศัยอยู่ เพราะมีหมาป่าน้ำแข็งเป็นหมื่นๆตัวอาศัยอยู่บริเวณนี้   แม้หมาป่าส่วนมากจะเป็นระดับโบราณก็ตาม แต่ยังมนุษย์ก็ยังไม่สามารถล่ามอนสเตอร์ฝูงใหญ่ได้ง่ายๆ ฝูงหมาป่าน้ำแข็งบางฝูงมีหมาป่าเป็นพันๆตัว ถ้าไม่ใช้คนเป็นร้อยเป็นพันก็ล่ามันได้ยากมาก   ดังนั้นถ้าไม่จัดกลุ่มล่าใหญ่ๆซึ่งต้องถูกจัดโดยผู้ครองเมือง คนธรรมดาๆก็แทบหมดโอกาสจะล่าหมาป่าน้ำแข็ง และการได้วิญญาณอสูรของมันมาก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก   ส่วนความสามารถของวิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งก็จำเป็นกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่แถบนี้มาก วิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งสามารถช่วยชีวิตของมนุษย์ได้ แม้จะเป็นวิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งระดับโบราณก็ยังดีกว่าวิญญาณอสูรโบราณอื่นๆมาก ขณะที่วิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งระดับกลายพันธ์จะหายากและแพงมาก   หานเซิ่นลองประเมินคราวๆ ถ้าเขาสามารถผลิตวิญญาณอสูรหมาป่าหิมะกลายพันธ์เบอร์เซิร์กได้ ราคาของมันก็ไม่น่าจะด้อยกว่าวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิทั่วๆไปเลย   ประเภทของวิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งคือชุดเกราะ มันแตกต่างจากชุดเกราะธรรมดาๆ ชุดเกราะหมาป่าน้ำแข็งมีผลต้านความหนาวเย็นได้ด้วย ยิ่งเป็นวิญญาณอสูรระดับสูงก็ยิ่งอบอุ่น   ขณะที่วิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งเลือดศักดิ์สิทธิ ผู้ใช้สามารถเดินฝ่าพายุหิมะ และรอดกลับมาได้อย่างสบายๆ แม้จะตกลงไปในหลุมหรือหลับบนพื้นน้ำแข็ง ผู้ใช้ก็จะไม่แข็งตาย   อย่าคิดว่าความสามารถแบบนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ โดยธรรมชาติของก็อตแซงชัวรี่เขต 2 มักจะมีบริเวณที่อากาศเลวร้ายอยู่ ถ้าเราบังเอิญไปเจอกับพายุหิมะและหลงทางในทุ่งน้ำแข็ง แม้แต่ผู้วิวัฒนาการที่มีระดับความแข็งแกร่งเกิน 100 ก็มีสิทธิที่จะแข็งตายได้   แน่นอนว่าที่หานเซิ่นไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็เพราะเขามีกายหยก ดังนั้นน้ำแข็งหรือหิมะจึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ถ้าไม่อดอาหารหรือน้ำนานๆยังไงเขาก็ไม่มีทางตายจากความหนาว   “แลกวิญญาณอสูรอาวุธในระดับเดียวกัน ถ้าเป็นดาบใหญ่ๆจะดีมาก” คนขายจ้องมองหานเซิ่น ดูจากสีหน้าและท่าทางของคนขายดูไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะขายของเท่าไหร่   แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาขายของที่เป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก ทำให้มีคนเข้ามาถามเยอะ ส่วนของที่เขาต้องการก็เป็นอะไรที่เฉพาะทางมากเลยหาคนที่มาแลกเปลี่ยนได้ยาก   ประมาน 10 นาทีก่อนที่หานเซิ่นจะเข้ามาถาม มีคนหลายคนเข้ามาถามแล้ว แต่ก็ไม่มีใครแลกเปลี่ยน   “คุณต้องการแลกกับใบอนุญาตของสถาบันเซนไหม?” หานเซิ่นไม่มีวิญญาณอสูรมากนัก ดังนั้นที่เขาพอจะใช้แลกได้ก็มีแค่ใบอนุญาตระดับs   “งั้นขอเป็นใบอนุญาตระดับSสำหรับผู้วิวัฒนาการ ผมสามารถจ่ายส่วนต่างให้คุณได้ แต่ผมไม่ต้องการใบอนุญาตที่ต่ำกว่าระดับS” คนขายพูด   “แม้วิญญาณอสูรหมาป่าน้ำแข็งกลายพันธ์จะมีมูลค่าสูง แต่มันก็ยังไม่พอที่จะแลกกับใบอนุญาตระดับSของผู้วิวัฒนาการใช่ไหม?” หานเซิ่นมองไปที่วิญญาณอสูรกลายพันธ์อีกดวงที่เจ้าของมี   มันคือวิญญาณอสูรที่เป็นลิงตัวสีดำ สูงประมาน 7-8 ฟุต ขนของมันสีเหมือนกับโลหะทังสเตน กล้ามเนื้อของมันดูใหญ่และแข็งแกร่งมาก ราวกับมีเกราะหุ้มไว้เลย   “งั้นแสดงว่าคุณมีใบอนุญาตระดับSจริงๆใช่ไหม?” ตาของคนขายเป็นประกายขึ้นมา เขารู้สึกตื่นเต้นมาก และมองไปที่หานเซิ่นด้วยความคาดหวัง   “วิญญาณอสูรดวงนี้เป็นประเภทไหน?” หานเซิ่นไม่ตอบ แต่เขาถามกลับไปพร้อมกับชี้ไปที่วิญญาณอสูรลิงสีดำ   “มันคือวิญญาณอสูรเปลี่ยนร่าง วานรบ้าคลั่ง หลังจากเปลี่ยนร่างแล้วระดับความแข็งแกร่งของคุณจะเพิ่มขึ้นมาก แต่แน่นอนว่าถึงมันจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความยืดหยุ่นที่ลดลงเล็กน้อย” คนขายพูดออกไปตรงๆ เขาอธิบายทั้งข้อดีและข้อเสีย   “มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้สักเท่าไหร่?” ตาของหานเซิ่นเป็นประกายขึ้นมา วิญญาณอสูรแบบนี้คงจะช่วยเพิ่มระดับความแข็งแกร่งได้ไม่น้อยเลย ตอนนี้สิ่งที่หานเซิ่นต้องการก็คือความแข็งแกร่ง ยังยากที่เขาจะทำอันตรายมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิตัวที่มีพลังป้องกันสูงๆ   “มันก็ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของคุณด้วย แต่โดยปรกติแล้วมันจะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งได้มากกว่า 10” คนขายครุ่นคิดและพูด   หานเซิ่นลองคำนวณดู และพบว่า 10 เป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ด้วยระดับความแข็งแกร่งตอนนี้ เขาสามารถทำให้ระดับความแข็งแกร่งเกิน 120 ได้ง่ายๆ และถ้าเก็บจีโนพ้อยอีกหน่อยก็จะถึง 130 ยิ่งถ้าเขาทำให้มันกลายเป็นเบอร์เซิร์กก็จะยิ่งเพิ่มได้มากกว่านี้อีก   “ใบอนุญาตระดับSสำหรับผู้วิวัฒนาการ 1 ใบแลกกับวิญญาณอสูร 2 ดวงนี้ คุณคิดว่ายังไง?” หานเซิ่นเอาใบอนุญาตระดับSออกมาโชว์ให้กับคนขายดู   ทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้เป็นเขตที่มีประชากรอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าเป็นที่อื่นที่สามารถล่ามอนสเตอร์ได้จำนวนมาก พวกเขาจะเอาวิญญาณอสูรกลายพันธ์แลกกับใบอนุญาตระดับSโดยไม่ลังเล แต่ทว่าในสถานที่แห่งนี้มอนสเตอร์มีอยู่อย่างจำกัดมาก คนขายจึงรู้สึกลังเลที่จะแลก   หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าคนขายต้องการใบอนุญาตระดับSมากๆ เขาพูด “ตกลง แลกมันเดี๋ยวนี้เลย”   การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างราบลื่น หานเซิ่นได้วิญญาณอสูรหมาป่าน้ำเเข็งและวานรบ้าคลั่งมา เขาตื่นเต้นมาก หานเซิ่นเรียกวิญญาณอสูรออกมาลอง   หมาป่าน้ำแข็งเปลี่ยนเป็นชุดเกราะหนังปกคลุมร่างกายของหานเซิ่นเอาไว้ พร้อมกับมีส่วนที่เป็นหมวกรูปทรงเหมือนกับหัวของหมาป่า ถ้าดูจากระยะไกลหานเซิ่นจะดูเหมือนกับมนุษย์หมาป่าสีขาว   ขณะที่ผลในการต่อต้านความหนาวของมัน หานเซิ่นเองก็ได้ทดลองมันด้วย เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นทันทีหลังจากที่สวมใส่มัน เขารู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ในห้องที่มีแอร์เย็นๆเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกหนาวแบบแต่ก่อน   จากนั้นหานเซิ่นก็ลองเปลี่ยนร่างเป็นวานรบ้าคลั่งแทน เขากลายเป็นลิงตัวสีดำขนาดใหญ่ และพบว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น เห็นได้ชัดว่าผลในการเพิ่มความแข็งแกร่งของวิญญาณอสูรดวงนี้ยอดเยี่ยมมาก   แม้ร่างกายของเขาจะเทอะทะ และไม่พลิ้วไหวเหมือนก่อนจะเปลี่ยนร่าง แต่มันก็อยู่ในระดับที่หานเซิ่นยอมรับได้ เขาพอใจกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้มาก ในอนาคตถ้าเขาเปลี่ยนมันเป็นวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กด้วยคริสตัลสีดำ เขาก็ยังสามารถขายทำกำไรได้อีกด้วย  

Super God Gene – ตอนที่ 503 บอดี้การ์ดอีกคน
Super God Gene – ตอนที่ 503 บอดี้การ์ดอีกคน

  “ผมต้องขอโทษด้วยครับหัวหน้าที่ผมทำพลาดโง่ๆ” เถี่ยอี๋พูดอย่างขมขื่นกับชายรูปร่างน่าตาดีที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงของเขาในโรงพยาบาล   “ลูกแมว ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก คนเราจะเติบโตจากความผิดพลาด ถ้าคนไม่เคยทำผิดเลย เขาก็เหมือนกับดอกไม้ที่ไม่เคยเจอพายุฝน แม้ตอนนี้คุณจะยังเป็นแต่ลูกแมวอยู่ แต่หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากความผิดพลาด คุณจะกลายเป็นเสือจริงๆในสักวันหนึ่ง ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ตราบใดที่คุณยังไม่ตาย ความผิดพลาดก็จะช่วยพัฒนาคุณ” ชายหน้าตาดีพูด พร้อมกับยิ้ม   “หัวหน้า…” เถี่ยอี๋ถึงกับสะอื้น   “การร้องไห้หลังจากพ่ายแพ้ไม่ใช่สไตล์ของบลูบลัด” ชายหน้าตาดีลูบหัวของเถี่ยอี๋ด้วยความรัก   ถ้ามีใครมาเห็นฉากนี้ พวกเขาต้องรู้สึกแปลกหรือรู้สึกขำอย่างแน่นอน ชายรูปร่างหน้าตาดีคนนี้ดูเหมือนจะอายุประมาน 20 กว่าๆ เขาอายุน้อยกว่าเถี่ยอี๋มาก แต่กระนั้นเถี่ยอี๋ก็ดูเหมือนกับเด็ก เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา   แต่ถึงมันจะดูแปลก แต่มันก็แสดงถึงความผูกพันระหว่างพวกเขาได้เป็นอย่างดี   สำหรับคนที่รู้จักชายรูปร่างหน้าตาดีคนนี้ พวกเขาจะไม่รู้สึกแปลกกับเหตุการณ์นี้   หลูฮุย คือหัวหน้าที่ดูแลกองกำลังสำรองของหน่วยบลูบลัด เขาอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น เขามีฉายาว่า กัปตันปีศาจ   ไม่มีใครรู้ว่าหลูฮุยนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แต่สมาชิกในกองกำลังสำรองของหน่วยบูลบลัดจะเป็นเหมือนกับเด็กเมื่ออยู่ต่อหน้าหลูฮุย แม้แต่เถี่ยอี๋ก็ไม่มีข้อยกเว้น   หลูฮุยเป็นคนออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อมทั้งหมดของกองกำลังสำรองหน่วยบลูบลัด   ชื่อเล่นของเถี่ยอี๋คือ เสือของบลูทลัด ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่หลูฮุยตั้งให้ แต่กระนั้นตัวหลูฮุยเองก็จะเรียกเถี่ยอี๋ว่า ลูกแมวของบลูบลัด ยกเว้นหลูฮุยใครก็ตามที่เรียกเถี่ยอี๋แบบนั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก   “รีบหายเร็วๆ โปรแกรมฝึกพิเศษกำลังรอคุณอยู่ ไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ทำให้แพ้ แต่หลังจากกลับไป แค่ฝึกให้หนักเป็น 2 เท่าก็พอ” หลูฮุยพูด   “ครับหัวหน้า ผมจะฝึกให้หนักขึ้น ครั้งหน้าผมจะไม่แพ้หนุ่มคนนี้อีก” เถี่ยอี๋กัดฟันพูด   “เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณอีกแล้ว แต่การที่คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว” หลูฮุยยิ้ม เขากำลังนึกถึงการต่อสู้ของหานเซิ่นทุกรายละเอียด หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มแบบแปลกๆ …   เมื่อหานเซิ่นกลับมาที่ยานแดฟเน่ เขาก็ไปรายงานตัวที่ห้องทำงานของจีเหยียนหรัน หลังจากที่เข้าไปในห้องของเธอ เขาก็ได้กลิ่นน้ำหอมทันที ก่อนที่เขาจะมองเห็นอะไร แฟนของเขาก็กระโดดเข้ามาหาเขาเรียบร้อยแล้ว เธอเอาแขนข้างหนึ่งโอบเอวของหานเซิ่นเอาไว้ และใช้มืออีกข้างจับที่ใบหน้าของหานเซิ่น จากนั้นเธอก็จูบเขา   “ที่รัก ทำได้ดีมาก ฉันรักนายจริงๆ” จีเหยียนหรันไม่คาดคิดเลยว่าหานเซิ่นจะเอาชนะเถี่ยอี๋ และคว้าตำแหน่งบอดี้การ์ดมาได้ เธอจูบกับเขาอย่างตื่นเต้น   จีเหยียนหรันที่ปรกติจะขี้อาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีมากๆ เธอถอดเสื้อของหานเซิ่น และเริ่มไซร้คอของเขา   เมื่อหานเซิ่นเดินออกมาจากห้องทำงานของจีเหยียนหรันด้วยขาที่อ่อนแรง เขาก็ได้ยินเสียงที่ยั่วยวนของจีเหยียนหรัน “นี่เป็นรางวัลพิเศษสำหรับนาย”   “ฉันชอบรางวัลนี้มาก” หานเซิ่นเดินไปพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย แต่เดินไปได้ไม่นาน เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา   หานเซิ่นมองไปข้างหน้า พร้อมกับตัวสั่น ผู้หญิงในเครื่องแบบทหารกำลังยืนอยู่ข้างหน้าเขา เธอมองมาที่หานเซิ่นด้วยแววตาที่เย็นชาราวกับมองสัตว์   เมื่อมองดูสีหน้าหรือแววตาของผู้หญิงคนนี้ หานเซิ่นก็รู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังมองคน แต่กำลังมองสัตว์อยู่ ในสายตาของเธอ หานเซิ่นคงไม่ได้ต่างจากหมาหรือแมว   ถ้าหยางม่านลี่เรียกว่าทหารที่เย็นชาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็นนักฆ่ากระหายเลือด   แม้หานเซิ่นจะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันจากเธอ เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมาก ถ้าเทียบกันแล้ว เถี่ยอี๋ 10 คนก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับผู้หญิงคนนี้   ผู้หญิงคนนี้เดินผ่านหานเซิ่นไปเคาะประตูห้องของจีเหยียนหรัน   ‘ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นเธอมาก่อน?’ หานเซิ่นคิด ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้เป็นคนของยานแดฟเน่ แต่เธอมาเพื่อพบจีเหยียนหรัน งั้นก็แสดงว่าเธอจะต้องเป็นบอดี้การ์ดอีกคนของจีเหยียนหรันไม่ิผิดแน่   แม้หานเซิ่นจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น แต่จากที่เขาสัมผัสได้ ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก   หานเซิ่นคิดว่าเธอน่าจะเป็นผู้เป็นเลิศ ไม่งั้นเธอคงจะไม่มีสัมผัสพลังที่ดูรุนแรงขนาดนี้   ไม่นานข้อสงสัยของหานเซิ่นก็ได้รับคำตอบ ในคืนนั้นจีเหยียนหรันกำลังพูดคุยกับหานเซิ่นผ่านคอม ขณะกำลังนอนอยู่บนเตียง.   “ผู้หญิงคนนั้นเป็นบอดี้การ์ดของเธอหรอ?” หานเซิ่นยังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงคนนั้น   “ใช่ พันเอกแอนนี่ หล่อนคือบอดีการ์ดคนใหม่ของฉันเอง อย่าไปทำให้หล่อนโกรธ หล่อนคือผู้เป็นเลิศ ถ้าหล่อนโกรธขึ้นมา ฉันก็อาจจะหยุดหล่อนไม่ได้” จีเหยียนหรันพูด พร้อมกับยิ้ม   “ที่รักของผม ครอบครัวของเธอเป็นแบบไหนกันแน่? พวกเขาถึงขนาดหาผู้เป็นเลิศมาเป็นบอดี้การ์ดให้เธอเลยหรอ?” หานเซิ่นถามอย่างอดไม่ได้   หานเซิ่นยังไม่เคยถามเรื่องครอบครัวของจีเหยีนหรันมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาประหลาดใจจนต้องถาม แม้แต่กัปตันของยานรบระดับสูงก็ยังไม่มีผู้เป็นเลิศมาเป็นบอดี้การ์ด   “นายได้ตามข่าวช่วงนี้บ้างไหม?” จีเหยียนหรันไม่ตอบ แต่ถามกลับไปแทน   “ก็ไม่ค่อยได้ตามเท่าไหร่ แต่ฉันอาจจะรู้ก็ได้ ลองว่ามาสิว่าข่าวไหน” หานเซิ่นอ่านข่าวเป็นบ้างครั้ง ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวสารบ้านเมืองค่อนข้างน้อย   “นายไม่เห็นข่าวเกี่ยวกับตระกูลจีเลยหรอ?” จีเหยียนหรันพูดพร้อมกับยิ้ม   “ข่าวเกี่ยวกับตระกูลจีหรอ ข่าวอะไรล่ะ?” หานเซิ่นครุ่นคิด และอยู่ๆเขาก็เบิกตากว้าง “เธอหมายถึงคนที่ตอนนี้กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งน่ะหรอ…”   เช้าวันถัดมา หานเซิ่นตื่นขึ้นมา และเขาก็เทเลพอร์ตไปยังก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ทันที ครั้งนี้เขายังไม่รีบที่จะออกไปล่า เขาตัดสินใจที่จะไปตลาดของเมืองสตาร์วีล และซื้อวิญญาณอสูรกลายพันธ์มา   แม้วิญญาณอสูรกลายพันธ์จะไม่มีประโยชน์สำหรับเขา แต่เขาสามารถอัพเกรดให้มันกลายเป็นวิญญาณอสูรเบอร์เซิร์กได้ด้วยคริสตัลสีดำ ซึ่งเขาสามารถทำกำไรได้มหาศาล มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและพลาดไม่ได้  

Super God Gene – ตอนที่ 502 ราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้
Super God Gene – ตอนที่ 502 ราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้

  คลื่นหยินหยางที่หานเซิ่นฝึกมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้ถูกนำมาใช้   คลื่นหยินหยางถูกพัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์ไป๋อี้ซาน มันเป็นวิชาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้แรง และยังเป็นวิชาที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายสถานการณ์   อัตราการทะลุทะลวงของพลังหยินที่หานเซิ่นใช้คือมากกว่า 95% เดิมทีหานเซิ่นคิดว่ามันอาจจะยังไม่พอที่จะเอาชนะเถี่ยอี๋ได้ เพราะถ้าเถี่ยอี๋ใช้แขนหรือขาขึ้นมาป้องกัน การโจมตีของหานเซิ่นก็จะเข้าไม่ถึงอวัยวะภายใน การจะทำให้เถี่ยอี๋บาดเจ็บได้ หานเซิ่นจำเป็นจะต้องโจมตีให้โดนลำตัวตรงจุดที่อวัยวะภายในตั้งอยู่   แต่อย่างไรก็ตาม หานเซิ่นไม่คาดคิดว่าเถี่ยอี๋จะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองถึงขนาดนี้ เถี่ยอี๋ไม่ได้พยายามที่จะป้องกันหมัดของหานเซิ่นเลย ซึ่งมันช่วยให้หานเซิ่นไม่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ลำบาก   เนื่องจากนี่เป็นแค่การแข่งขัน หานเซิ่นเลยไม่มีจิตใจที่จะฆ่าหรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามเจ็บหนัก ไม่งั้นถ้าเขาโจมตีไปที่หัวของเถี่ยอี๋ ถึงเถี่ยอี๋ไม่ตายก็อาจจะถึงขั้นพิการได้   แต่อย่างไรก็ตามจะตำหนิเถี่ยอี๋ที่ประมาทเกินก็ไม่ถูกซะทีเดียว ในยุคสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยที่ประสิทธิภาพถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด มีคนจำนวนน้อยมากๆที่ให้เวลากับการฝึกพลังหยิน และคนที่ฝึกสำเร็จยิ่งน้อยลงไปอีก   โดยปรกติแล้วผู้วิวัฒนาการจะฝึกวิชาที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้โดยตรง ตัวอย่างเช่นวิชามีดอัสนีที่หานเซิ่นได้รับมา แต่ยังไม่มีเวลาฝึก มันเป็นวิชาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ   แต่สำหรับการฝึกพลังหยินนั้นเป็นเรื่องที่คนส่วนมากคิดว่าไม่จำเป็น แถมมันยังใช้เวลาในการฝึกมาก พอฝึกสำเร็จก็ไม่ค่อยได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้กับผู้ฝึกเลย   ในช่วงการฝึกแรกๆ มันแทบจะเรียกได้ว่าไร้ประโยชน์เลยก็ได้ เพราะช่วงนั้นพลังหยินจะมีพลังในการทะลุทะลวงได้แค่ 1 นิ้ว แถมยังส่งพลังทุลุทะลวงไปได้ในอัตราที่ต่ำ สำหรับการใช้ล่ามอนสเตอร์ตัวใหญ่ๆแล้ว ความสามารถแบบนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเป็นจุดอ่อนของเราด้วย ถ้าหากเราพยายามฝืนใช้มัน   สำหรับมอนสเตอร์ตัวใหญ่ๆ แม้แต่ผิวหนังของพวกมันก็หนามากกว่า 1 นิ้วแล้ว ยากที่ผู้ใช้พลังหยินจะสามารถส่งพลังทะลุไปถึงอวัยวะภายในได้ และที่สำคัญเวลาใช้พลังหยินพลังโจมตีของผู้ใช้ลดลงถึง 50% มันเป็นความสามารถที่แทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง   ด้วยเหตุที่ว่ามันแทบไม่มีใครฝึกพลังหยินเลย ทำให้เถี่ยอี๋เองก็ไม่คิดว่าหานเซิ่นจะใช้มัน เขามีระดับความแข็งแกร่งของร่างกายที่สูงมาก แม้แต่อวัยวะภายในของเขาก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะทนการโจมตีของคนที่มีระดับความแข็งแกร่งแถวๆ 100 ได้ แม้จะใช้พลังหยิน แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หานเซิ่น พลังหยินก็จะทำอะไรเถี่ยอี๋ไม่ได้ ถ้าหากระดับการส่งพลังไม่ถึง 95%   ระดับของการทรงพลังทะลุทะลวงแค่ 80% ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว เถี่ยอี๋ไม่เคยเห็นพลังหยินที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ดังนั้นเขาไม่คิดว่าหานเซิ่นจะทำให้เขาบาดเจ็บได้   การที่หานเซิ่นกระหน่ำชกไปรัวๆ ทำให้อวัยวะภายในของเถี่ยอี๋บาดเจ็บ โดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ พลังหยินเป็นพลังที่ยากจะตรวจพบหรือถ้าโดนเข้าไปก็จะไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าโดน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเถี่ยอี๋ถึงได้ยืนให้หานเซิ่นชกหลายครั้ง โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกตัว   หลังจากที่เถี่ยอี๋พยายามใช้พลังของเขาเพื่อเล่นงานหานเซิ่น อวัยวะภายในของเขาก็หมดสภาพแล้ว ซึ่งหานเซิ่นเองก็เตือนเขาแล้วว่าอย่าขยับตัว ถ้าเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยตรง เขาก็อาจจะไม่เจ็บสาหัสมาก   แต่อย่างไรก็ตามเถี่ยอี๋ก็พยายามจะโจมตี ซึ่งมันทำให้อวัยวะภายในของเขาบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่พักฟื้นหลายเดือนก็ยากที่เขาจะกลับมาเป็นเหมือนปรกติได้   ทีมแพทย์สนามรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเถี่ยอี๋ ในตอนนี้เถี่ยอี๋หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้หานเซิ่นได้รับเสียงเฮและเสียงเชียร์จากกองเชียร์ดังกึงก้อง   ไม่มีใครคาดคิดว่าทหารเสือที่ไร้เทียมทานจะแพ้พ่ายแบบนี้ มันยากที่จะจินตนาการจริงๆ   เถี่ยอี๋เลือกที่จะให้หานเซิ่นโจมตี เพื่อที่เขาจะได้โชว์ความสามารถของซุปเปอร์ไดมอน แต่มันกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง ขณะที่หานเซิ่นได้กลายเป็นฮีโร่ของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ในชั่วข้ามคืน   ทหารระดับสูงหลายคนประทับใจในฟอร์มของหานเซิ่นมาก เนื่องจากพวกเขาต่างก็เป็นผู้เป็นเลิศ ทำให้พวกเขาสามารถดูออกได้ว่าหานเซิ่นใช้พลังหยินโจมตีใส่อวัยวะภายในของเถี่ยอี๋โดยตรง แต่ยังไงด้วยวิชาซุปเปอร์ไดมอนที่เถี่ยอี๋ฝึกก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของอวัยวะภายในด้วย ถ้าไม่มีระดับความแข็งแกร่ง และอัตราการทะลุทะลวงที่สูงพอ ถึงจะเป็นพลังหยินก็จะไม่สามารถทำให้อวัยวะภายในของเถี่ยอี๋บาดเจ็บได้   ระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นอยู่ที่ประมาน 110 บวกกับอัตราการทะลุทะลวงของพลังหยินที่ 95% ทำให้หานเซิ่นสามารถเอาชนะทหารเสือของหน่วยบลูบลัดได้   แม้แต่ทหารระดับสูงที่เป็นผู้เป็นเลิศก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาสามารถใช้พลังหยินได้ดีกว่าหานเซิ่นเลยแม้แต่คนเดียว   ผู้เป็นเลิศหลายคนมองหานเซิ่นด้วยความรู้สึกที่ชื่นชม คนหนุ่มแบบนี้แต่กับทุ่มเทให้กับการฝึกพลังหยินจนทำได้ถึงขนาดนี้ถือว่าไม่ธรรมดา ด้วยพรสวรรค์ของเขามันคู่ควรที่พวกทหารระดับสูงหลายๆคนจะจำชื่อของเขาเอาไว้   การต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศคือการต่อสู้ระหว่างหานเซิ่นและเจิ้งหยู่ คนที่ชนะจะได้รับฉายาหรือตำแหน่งราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนการแข่งชิงที่ 3 ถูกยกเลิกไปเพราะเถี่ยอี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัส   เนื่องจากหานเซิ่นไม่ต้องออกแรงมากในการต่อสู้กับเถี่ยอี๋ ทำให้เขาสามารถรับมือเจิ้งหยู่ได้อย่างสบาย   ระดับความแข็งแกร่งของเจิ้งหยู่ไม่ได้แตกต่างจากหานเซิ่นมาก ถ้าหานเซิ่นใช้วิชาทั้งหมดเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง แม้เจิ้งหยู่จะเป็นยอดนักสู้ แต่เขาก็ไม่ประมาทเมื่ออยู่ต่อหน้าหานเซิ่นที่พึ่งจะเอาชนะเถี่ยอี๋ไปได้ เจิ้งหยู่ระมัดระวังตัวมาก เขาตั้งท่าป้องกันตัวตั้งแต่เริ่ม เขาต้องการจะดูว่าหานเซิ่นมีวิชาการต่อสู้แบบไหนบ้าง เห็นได้ชัดว่าเขายำเกรงพลังของหานเซิ่นมาก   เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ตั้งท่าป้องกันก็เข้าทางหานเซิ่น ตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้ใช้วิชาที่เขาเรียนรู้ และกำลังฝึกอยู่หลายๆวิชา   7 สังหาร ดิเวอร์ชั่นและวิชาอื่นๆที่หานเซิ่นงัดออกมาโชว์เรียกเสียงเฮจากทหารที่ดูการต่อสู้อยู่   ในสายตาของพวกทหารระดับสูงหรือพวกยอดฝีมือที่กำลังดูอยู่ เจิ้งหยู่ แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว   พวกเขาทั้ง 2 คนมีระดับความแข็งแกร่งพอๆกัน เจิ้งหยู่แข็งแกร่งกว่าหานเซิ่นแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ในด้านของวิชาการต่อสู้ หานเซิ่นเหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน เจิ้งหยู่ได้แต่ป้องกันการโจมตีจากหานเซิ่น เขาแทบไม่มีโอกาสได้โต้ตอบเลย   “ในยุคนี้คนที่เน้นฝึกวิชาการต่อสู้สไตล์โบราณมันน้อยลงทุกวันๆ คนส่วนมากมุ่งเน้นฝึกเฉพาะวิชาที่มีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาละเลยวิชาที่ถือว่าเป็นศิลปะ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงขึ้นไประดับสูงๆไม่ได้ หานเซิ่นคนนี้มีพรสวรรค์มาก เขาเป็นยอดฝีมือตัวจริง เขาจะต้องมีอนาคตที่สุดใสแน่” ประธานของกาเเล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ยอมรับในตัวหานเซิ่น   เลขายิ้มอย่างขมขื่น ยิ่งเจ้านายชอบหานเซิ่นมากเท่าไหร่ ข้อสรุปของเขาก็ยิ่งดูผิดพลาดมากเท่านั้น   แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟังคำพูดของเจ้านายแล้ว เขาก็ตระหนักว่าจะมัวมาจมปลักอยู่กับความผิดพลาดไม่ได้ เขาจะต้องเชิดหน้าขึ้น และคอยหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่า   ผลมันแทบไม่ต้องสงสัยเลย หานเซิ่นเอาชนะเจิ้งหยู่ และกลายเป็นราชันทหารของตะวันตกเฉียงใต้ เจิ้งหยู่ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนกับว่าพวกเขาอยู่กันคนละระดับ   จริงๆแล้วเจิ้งหยู่รู้สึกกลัวหานเซิ่นตั้งแต่เริ่มสู้ ภาพตอนที่เถี่ยอี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัสมันติดตาของเขา เจิ้งหยู่ต่อสู้แบบรัดกุมมากจนเกินเหตุ ถ้าเขาสู้แบบเป็นธรรมชาติ เขาก็อาจจะพอต่อสู้กับหานเซิ่นได้สูสีกว่านี้   แม้ฉายาราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้จะมีอายุแค่ 1 ปี แต่มันก็ยังเป็นอะไรที่มีคุณค่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกว่าหานเซิ่นจะได้มันมา เขาต้องเอาชนะทหารเสือของหน่วยพิเศษบลูบลัด   ประธานของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้เป็นคนมามอบรางวัลให้กับหานเซิ่นด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาได้ก็แค่ฉายา เหรียญตราและก็ใบประกาศ เนื่องจากการประลองของกองทัพจะไม่มีเงินรางวัล ทำให้หานเซิ่นรู้สึกหวังหวังเล็กน้อย   ทหารที่เข้าร่วมการแข่งขันเดินทางกลับหน่วยงานของตัวเอง และพวกเขาก็ไปเล่าให้เพื่อนๆฟังเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นเอาชนะเถี่ยอี๋ได้ ทำให้ชื่อของหานเซิ่นเริ่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่ทหารของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้  

Super God Gene – ตอนที่ 501 คุณแพ้เรียบร้อยแล้ว
Super God Gene – ตอนที่ 501 คุณแพ้เรียบร้อยแล้ว

  อย่างไรก็ตาม เถี่ยอี๋นั้นไม่ได้อวดดีหรือหยิ่งยโส เหตุผลที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะเขาต้องการแสดงความมั่นใจออกมา ไม่ใช่เพราะว่าเขาดูถูกคู่ต่อสู้   สำหรับเถี่ยอี๋ การเอาชนะหานเซิ่นไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก เป้าหมายหลักของเขาก็คือการได้รับการยอมรับจากจีเหยียนหรันและก็ตระกูลจี ไม่งั้นแล้วถึงเขาจะได้เป็นบอดี้การ์ดของจีเหยียนหรัน เขาก็จะไม่ได้รับความสนใจมาก   ดังนั้นเถี่ยอี๋จะต้องโชว์ความแข็งแกร่งออกมาให้มากที่สุด ไม่ใช่แค่ทำให้จีเหยียนหรันพอใจ เขายังสามารถทำให้ตระกูลจียอมรับในตัวเขา   เมื่อเห็นเถี่ยอี๋ยืนรับหมัดของเขาด้วยซุปเปอร์ไดมอน หานเซิ่นก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ตรงกันข้ามเขารู้สึกดีที่ได้เห็นแบบนี้   ถ้ามีคนโง่ๆกำลังยืนรับหมัดของเราก็คงจะไม่มีใครโกรธอย่างแน่นอน หานเซิ่นใส่พลังทั้งหมดเข้าในหมัด และชกไปที่หน้าอกของเถี่ยอี๋ พลังทะลุทะลวงอันน่ากลัวของหมัดหานเซิ่น ทำให้ชุดสำหรับต่อสู้ของเถี่ยอี๋ฉีกขาด และเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่กำลังเปล่งประกายเหมือนกับโลหะ   ปัง ปัง ปัง! การปะทะกันระหว่างหมัดและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดเสียงดังเหมือนกับโลหะปะทะกัน ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกช็อค   หลังจากโจมตีไปชุดใหญ่ หานเซิ่นก็ดึงหมัดของเขากลับ และขยับถอยหลังออกมา หมัดที่ดูเหมือนกับหยกของเขามีเลือดอาบ ดูเหมือนหมัดของเขาจะได้รับบาดเจ็บ   แต่กระนั้นเถี่ยอี๋ก็ยืนปักหลักอย่างมั่นคง กล้ามเนื้อของเขาไม่มีแม้รอยขีดข่วน ดูเหมือนกับว่าเขาจะไร้เทียมทานจริงๆ   “น่ากลัวมาก โดนหมัดไปตั้งขนาดนั้น แต่เขาไม่เป็นอะไรเลยงั้นหรอ?” “แน่นอน เขาคงไม่เป็นอะไร เขาใช้ซุปเปอร์ไดมอน ซึ่งมันคือวิชาไฮเปอร์จีโนที่ติด 1 ใน 10 วิชาที่ดีที่สุด ฉันเคยได้ยินมาว่าแค่ฝึกสำเร็จขั้นแรก พวกเขาก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ถ้าไม่โดนคนที่มีระดับความแข็งแกร่งมากกว่า 120 โจมตี” “โห นั่นมันสุดยอด ถ้าฉันรู้เร็วกว่านี้ฉันคงจะเลือกฝึกวิชานี้แล้ว” “ฮาฮา ลืมมันไปดีกว่า มันเป็นวิชาไฮเปอร์จีโนที่ฝึกยากมาก ถึงนายจะได้รับยาปรับปรุงพันธุกรรมมา มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกสำเร็จขั้นแรก ถ้าไม่ใช้เวลา 50-60 ปี ถ้านายไม่มีพรสวรรค์จริงๆ นายยังจะกล้าเสี่ยงอยู่อีกไหม?” “เถี่ยอี๋อายุเท่าไหร่? เขาน่าจะประมาน 30 ไม่ใช่หรอ? แล้วเขาฝึกมันมานานเท่าไหร่?” “นั่นทำให้เขาเป็นอัจฉริยะไง อย่าเอาคนธรรมดาไปเทียบกับเขา” “ถ้ามีแค่คนที่มีระดับความแข็งแกร่งเกิน 120 ถึงจะสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ล่ะก็ งั้นหานเซิ่นก็ไม่มีโอกาสเลยสิ? ดูเหมือนเขาจะมีระดับความแข็งแกร่งแค่ 110” “ดูเหมือนจะใช่ พวกนายไม่เห็นหรือว่าเถี่ยอี๋ไม่เห็นหานเซิ่นอยู่ในสายตา เขาไม่แม้แต่จะป้องกันการโจมตีของหานเซิ่น? ความห่างของพวกเขามีมากเกินไป” “เฮ้อ งั้นหานเซิ่นก็คงไม่มีโอกาสชนะ” “ถ้าพูดถึงเรื่องอัจฉริยะ พวกนายต้องดูอายุของหานเซิ่นด้วยว่าเขาอายุเท่าไหร่? ถ้าเขาอายุเท่ากับเถี่ยอี๋ เขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าเถี่ยอี๋แน่นอน เสียดายที่อายุของเขายังน้อยเกินไป” “ไม่ต้องเอาอายุมาอ้าง แพ้ก็คือแพ้ พวกเราคือทหารของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ พวกเราต้องยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ร่วมกัน” ทหารจำนวนมากที่กำลังดูการต่อสู้ต่างก็แสดงความเห็นกัน ส่วนมากทึ้งในความแข็งแกร่งของวิชาซุปเปอร์ไดมอน และพวกเขารู้สึกว่าหานเซิ่นหมดหวังแล้ว   เมื่อเห็นฟอร์มของเถี่ยอี๋ เลขาก็รู้สึกโล่งอก ครั้งนี้เขาทำพลาด แต่ยังโชคดีที่ผลลัพธ์ไม่ได้ต่างจากการคาดการณ์ของเขา เถี่ยอี๋ยังเอาชนะหานเซิ่นได้อยู่ดี ซึ่งมันทำให้เลขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง   ถ้าเถี่ยอี๋แพ้หานเซิ่น งั้นข้อมูลที่เขาสืบมาก็จะกลายเป็นเรื่องตลกทันที ถึงหัวหน้าจะไม่ได้ตำหนิ แต่เขาก็รู้สึกแย่อยู่ดี   สิ่งที่สำคัญก็คือมันอาจจะมีผลกับความไว้วางใจของหัวหน้าที่มีต่อเขา ถ้าแค่สรุปผลยังทำได้ไม่ถูกต้อง แล้วหัวหน้าจะไว้วางใจให้เขาทำงานสำคัญกว่านี้ได้ยังไง?   สำหรับเลขาแล้วเรื่องที่เขากังวลที่สุดก็คือสูญเสียความไว้วางใจจากเจ้านาย   “ดูเหมือนนายจะโล่งอกนะ” ประธานหันไปทางเลขา   “เปล่าครับ… ผมแค่…” เลขาประหลาดใจ   “นายคิดว่าหานเซิ่นจะแพ้งั้นหรอ?” ประธานถาม   “ผม…” เลขาพึมพำ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี   “มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกที่สืบข้อมูลมาผิดพลาด ยังไงนายก็ไม่ใช่คนที่ไปเจอหานเซิ่นมาด้วยตาตัวเอง แต่ถ้านายยังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง หลังจากที่ได้ดูเขาสู้แล้ว งั้นนายก็คงต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก” ประธานพูด   “ท่านประธานคิดว่าหานเซิ่นจะชนะงั้นหรอครับ?” เลขาหน้าซีดทันที แต่หัวหน้าของเขาไม่พูดอะไร เขากำลังจ้องมองไปยังทหารทั้ง 2 คนบนเวที … “จบแค่นี้ใช่ไหม?” เมื่อเห็นหานเซิ่นถอยกลับไป เถี่ยอี๋ก็พูดออกมา   “ใช่” หานเซิ่นขยับแขนเพื่อคลายกล้ามเนื้อ เขาชกเถี่ยอี๋ไปหลายครั้งมาก ทำให้กล้ามเนื้อของเขาแทบจะฉีก แถมกระดูกของเขายังร้าวอีกด้วย วิชาซุปเปอร์ไดมอนน่ากลัวจริงๆ   “นายต้องการไปห้องพยาบาลไหม?” เถี่ยอี๋ถาม   “ไม่จำเป็น ผมสบายดี” หานเซิ่นส่ายหัวและพูด   “งั้นก็ถึงตาฉันบ้าง” เถี่ยอี๋พูด และยกหมัดขึ้นมาเตรียมที่จะชกหน้าของหานเซิ่น   “ผมคิดว่าคุณไม่ควรจะขยับตัวตอนนี้” หานเซิ่นพูดอย่างเคร่งขรึม   “ทำไม?” เถี่ยอี๋ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจความหมายของหานเซิ่น   “เพราะคุณแพ้เรียบร้อยแล้ว” หานเซิ่นพูดกับเถี่ยอี๋อย่างจริงจัง   “ฮาฮา เหลวไหลสิ้นดี” เถี่ยอี๋ไม่อยากจะพูดกับหานเซิ่นอีกต่อไป เขายกหมัด และชกไปที่หานเซิ่น   เหมือนกับเถี่ยอี๋ หานเซิ่นเองก็ยืนนิ่งรับหมัดของเถี่ยอี๋เช่นกัน “หรือว่าหานเซิ่นเองก็มีวิชาซุปเปอร์ไดมอนเหมือนกัน?” “บ้าน่า ดูด้วยว่าเขาอายุเท่าไหร่? ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฝึกมันสำเร็จได้” “แล้วทำไมเขาถึงได้ยืนนิ่งแบบนั้น?” “ใครจะรู้ล่ะ? เขาบอกว่าเถี่ยอี๋แพ้เรียบร้อยแล้ว มันคงจะมีเหตุผลบางอย่าง” …   ทหารทุกคนมองไปที่หานเซิ่นด้วยความงง หมัดของเถี่ยอี๋เกือบจะถึงหน้าของเขาอยู่แล้ว แต่หานเซิ่นก็ยังยืนอยู่อย่างสงบ ราวกับว่าเถี่ยอี๋ไม่ได้พยายามจะโจมตีเขา   เมื่อหมัดของเถี่ยอี๋อยู่ห่างจากหน้าของหานเซิ่นไม่ถึง 5 นิ้ว หัวใจของทุกคนก็แทบจะหยุดเต้น เพราะอยู่ๆเถี่ยอี๋ก็หยุดนิ่งไป   แม้หมัดของเขาจะอยู่ห่างจากหน้าของหานเซิ่นแค่ 1 นิ้ว แต่เถี่ยอี๋ก็หยุดเคลื่อนไหว และทำหน้าตาน่ากลัว จากนั้นหน้าของเขาก็ซีด และมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา ถ้าดูใกล้ๆจะเห็นว่าร่างกายของเถี่ยอี๋กำลังสั่นอยู่   “ผมอุส่าแนะนำแล้วว่าไม่ควรจะขยับตัว แต่คุณก็ไม่ฟัง ตอนนี้ผมคิดว่าคุณจะต้องทรมานมากแน่ๆ” หานเซิ่นถอนหายใจและพูด   “แก..” เถี่ยอี๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เลือดก็ไหลออกมาจากปากของเขาซะก่อน ร่างกายที่เหมือนกับโลหะของเขาซีดลงในทันที และบริเวณที่ถูกหานเซิ่นชกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง   เถี่ยอี๋พยายามอย่างหนักที่จะชกหน้าของหานเซิ่น แต่เขาก็เริ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือด ร่างกายที่กำยำของเขาล้มลงต่อหน้าหานเซิ่น และเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเลย มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาอย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งสนามแข่งขันเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่พวกเขาด้วยความช็อค  

Super God Gene – ตอนที่ 500 ต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชัน
Super God Gene – ตอนที่ 500 ต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชัน

  โดยปรกติคนที่จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเหล่าทหารได้มักจะเป็นพวกระดับนายพล ทหารธรรมดาๆยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทหารคนอื่นๆได้ แม้เขาจะเก่งแค่ไหนก็ตาม   ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหานเซิ่นสามารถทำให้พวกทหารเชื่อมั่นในตัวเขาได้ เขามีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นระดับนายพลในอนาคต เพียงแค่โอกาสยังมาไม่ถึง   เหงื่อไหลออกมาเป็นสายน้ำ และกล้ามเนื้อกำลังถูกเผา หานเซิ่นรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังวิ่งอยู่บนกองไฟ เขาต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา และก็ตรงไปถึงเส้นชัยให้ได้   ตอนนี้ทหารหลายคนกำหมัดแน่น ขณะกำลังมองดูหานเซิ่น ราวกับว่าคนที่กำลังทดสอบอยู่ข้างในคือตัวพวกเขาเอง เมื่อหานเซิ่นไปถึงเส้นชัยได้ ทหารทุกคนก็รู้สึกโล่งอก ทั้งเสียงเชียร์ และเสียงปรบมือดังสนั่น   “หานเซิ่นผ่านการทดสอบได้แล้วครับ” หานเซิ่นทำความเคารพนายทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมการทดสอบ เขายกแขนที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นมา   “ทำได้ดีมาก ตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนได้แล้ว” นายทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมการทดสอบพูด พร้อมกับยิ้ม   เมื่อเห็นหานเซิ่นสามารถผ่านการทดสอบได้ ประธานกาแล็กซี่เขตตะวันตกเฉียงใต้ก็พูด “ดีมาก.. ดีมากจริงๆ… ต้องแบบนี้สิทหารของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้”   เลขาเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าของเขาพูดดี แม้หัวหน้าของเขาจะพูดออกมาแค่สั้นๆ   เท่าที่เลขารู้จักหัวหน้าของเขามา ถ้าเขาพูดว่าดี นั่นถือว่าเป็นคำชมชื่นที่เยี่ยมมากแล้ว ถ้าเขาพูดว่าดีมาก มันหมายความว่าหัวหน้าของเขาพอใจคนคนนั้นมากๆ แต่ตอนนี้หานเซิ่นทำให้เขาพูดคำว่าดีมากถึง 2 ครั้งติด ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เขาจะต้องตื่นเต้น และประทับใจมากๆแน่ เลขาแทบจะไม่เคยได้ยินเขาพูดคำว่าดีมาก 2 ครั้งเลย   “พี่ชายทำได้ดีมาก คุณทำได้จริงๆ” เมื่อหานเซิ่นกลับมาที่นั่ง ทหารหนุ่มก็ลูบไหล่ของหานเซิ่นอย่างตื่นเต้น   “เรื่องกล้วยๆ” หานเซิ่นเลียริมฝีปากและนั่งลง   ตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ถึงเขาจะใช้เวลาในการทดสอบไม่นาน แต่เขาก็ใช้พลังงานไปเป็นจำนวนมาก และเขายังอ่อนล้าจากการที่ใช้โอเวอร์โหลด โชคดีที่เขามีวิชากายหยก ไม่งั้นเขาอาจจะหมดสติไประหว่างการทดสอบแล้ว   หานเซิ่นหมดแรง เขาอยากจะล้มตัวลงนอนบนพื้นและหลับไป แต่อย่างไรก็ตาม เขายังต้องแข่งอีกหลายสถานี ดังนั้นเขามีเวลาพักไม่พอ   โชคดีที่การแข่งในสถานีอื่นๆ ไม่ต้องใช้ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายมาก การยิงปืน การปฏิบัติการวอเฟรม การพรางตัวและการประกอบอาวุธล้วนแต่ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน   ในสงครามระดับดวงดาวของยุคนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือว่ามีความสำคัญมาก ถ้ามนุษย์ยังไม่ถึงขั้นผู้เป็นเลิศ พวกเขาก็ยากที่จะเอาชนะวอเฟรมได้ และยิ่งเทียบไม่ได้กับอาวุธที่ร้ายแรงอื่นๆ   สิ่งที่หานเซิ่นเรียนรู้มาจากโรงเรียนทหารถูกนำมาใช้ในการแข่งทั้งหมด หานเซิ่นทำคะแนนได้สูงในทุกๆสถานี เขาถือเป็นทหารที่มีความสามารถรอบด้าน   แม้เถี่ยอี๋เองก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ในหลายๆสถานีพวกเขาจบอันดับ 1 และอันดับ 2 พวกเขาทั้ง 2 คนถือว่าระดับใกล้เคียงกันมาก   ทหารทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ดูพวกเขาแข่งกันทำคะแนน ในฐานะทหารในห้องครัวของกาเเล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ หานเซิ่นสามารถทำคะแนนได้สูสีกับทหารเสือของหน่วยพิเศษบลูบลัด ซึ่งมันถือเป็นเกียรติมากสำหรับกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้   แม้เจิ้งหยู่จะทำคะแนนได้ดีเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถเทียบกับหานเซิ่นและเถี่ยอี๋ได้ เมื่อนำคะแนนมาร่วมกัน ผลปรากฏว่าหานเซิ่นได้ที่ 1 เขาเอาชนะเถี่ยอี๋ไปได้ 0.2 คะแนน ซึ่งเรียกเสียงเฮจากทหารของกาเเล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ได้   เถี่ยอี๋ไม่ได้เมินเฉยใส่หานเซิ่นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ยังไงเขาก็ยังคิดว่าหานเซิ่นไม่ใช่คู่สู้ของเขา   แม้หานเซิ่นจะทำคะแนนได้ดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าถ้ามาสู้กันจริงๆแล้วหานเซิ่นจะต่อสู้เก่งกว่าเถี่ยอี๋   ยังไงก็ตามการแข่งขันรอบตัดสินก็คือการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซึ่งมันจะต้องวัดความแข็งแกร่งกันจริงๆ ทำให้เถี่ยอี๋มีความมั่นใจมาก   หลังประกาศคะแนน หานเซิ่นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้เวลาที่เหลือในการพักเอาแรง เขาต้องฟื้นพลังกลับมาให้มากที่สุด   มีเพียงแค่คนที่ทำคะแนนได้สูงสุด 4 อันดับแรก ถึงจะสามารถเข้าร่วมการต่อสู้รอบสุดท้ายได้ นอกเหนือจากหานเซิ่น เถี่ยอี๋ เจิ้งหยู่แล้วก็ยังมีทหารอีกคนที่ต้องมาเข้าร่วมการต่อสู้รอบสุดท้าย ซึ่งหวังกางผู้ชิงตำแหน่งอีกคนไม่แม้แต่จะติด 1 ใน 4   พวกเขาทั้ง 4 คนถูกแบ่งออกเป็น 2 คู่ ผู้ชนะจะเข้าไปเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ ส่วนผู้แพ้จะต้องไปชิงอันดับ 3 กัน   การจับคู่จะใช้การสุ่มด้วย AI หานเซิ่นถูกจับให้สู้กับเถี่ยอี๋ ซึ่งมันเหมือนกับรอบชิงถูกนำมาแข่งก่อนไม่มีผิด   แต่นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับหานเซิ่น ตอนนี้ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ ถ้าเขาต้องเสียแรงต่อสู้กับคนอื่นก่อนที่จะไปสู้กับเถี่ยอี๋ เขาคิดว่ามันน่าจะยากลำบากกว่า   ‘ถ้าฝึกมนตรานอกรีตขั้นที่ 3 ยืดอายุได้สำเร็จนะ ปัญหาเรื่องพลังงานก็จะหมดไป แต่ดูเหมือนการฝึกขั้นที่ 3 จะยากมากๆ เราฝึกมันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที’ หานเซิ่นคิดอย่างอดไม่ได้   แต่กระนั้นการจะมาคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาต้องคิดหาวิธีเอาชนะเถี่ยอี๋ให้ได้ก่อน   แม้หานเซิ่นจะไม่ได้สนใจตำแหน่งราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้ แต่เขาก็ต้องเอาชนะเถี่ยอี๋ให้ได้ เขาต้องการตำแหน่งบอดี้การ์ดของจีเหยียนหรัน ซึ่งเขาจะไม่มีทางยกตำแหน่งนี้ให้ใคร   การต่อสู้ของเจิ้งหยู่ถูกจัดขึ้นก่อน ทำให้หานเซิ่นมีเวลาพักอีกพอสมควร   หลังจากที่ต่อสู้กันนานกว่าครึ่งชั่วโมง เจิ้งหยู่ก็เอาชนะได้ในที่สุด ถ้าหานเซิ่นสามารถเอาชนะเถี่ยอี๋ได้ เขาก็จะต้องไปสู้กับเจิ้งหยู่ เพื่อชิงตำแหน่งราชันทหารตะวันตกเฉียงใต้   มาถึงการต่อสู้ของหานเซิ่นแล้ว หานเซิ่นลองขยับตัว และพบว่าอาการปวดเมื่อยของเขาหายไปมากแล้ว   หานเซิ่นใช้กายหยกฟื้นสภาพร่างกายตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้เขาหายเหนื่อยเกือบจะสนิทแล้ว เหมือนว่าผลลัพธ์ของมันจะดีเยี่ยม   เถี่ยอี๋เดินขึ้นมาบนเวที และยืนอยู่ตรงข้ามกับหานเซิ่น แม้หานเซิ่นจะเป็นคนที่ตัวสูง แต่เถี่ยอี๋ก็สูงกว่าเขาตั้ง 1 ฟุต แค่ขนาดตัวหานเซิ่นก็ดูจะเสียเปรียบแล้ว   แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เขาเคยเห็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่ๆมานับไม่ถ้วน และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวพวกมันเลย ไม่ต้องพูดถึงกับแค่เถี่ยอี๋ที่สูงกว่าเขาแค่ 1 ฟุต   เมื่อสัญญาณเริ่มต่อสู้ดังขึ้น หานเซิ่นก็ก้าวออกไปข้างหน้า และชกไปที่หน้าอกของเถี่ยอี๋ทันที   แต่กระนั้นเถี่ยอี๋ก็ยืนนิ่งๆ เขามองดูหานเซิ่นด้วยสายตาที่ดูถูก ตัวของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองดูเหมือนกับพระพุทธรูป   ตอนนี้เหมือนว่าเถี่ยอี๋จะพยายามใช้ซุปเปอร์ไดมอน เพื่อรับหมัดของหานเซิ่น เขาไม่ได้ตั้งท่าป้องกันอะไรเลย ซึ่งมันสร้างความไม่พอใจให้กับทหารของตะวันตกเฉียงใต้อย่างมาก พวกเขาคิดว่าเถี่ยอี๋อวดดีและหยิ่งยโสเกินไป  

Super God Gene – ตอนที่ 499 เสน่ห์ของทหาร
Super God Gene – ตอนที่ 499 เสน่ห์ของทหาร

  เมื่อเห็นว่าแม้แต่เจิ้งหยู่ก็ยังไม่ผ่านการทดสอบ พวกทหารจากกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ต่างก็ผิดหวัง   “แย่แล้วขนาดเจิ้งหยู่ยังไม่ผ่าน แล้วพวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับทหารเสือบูลบลัด” ทหารหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆหานเซิ่นผิดหวัง   หลังจากนั้นเขาก็หันมามองหานเซิ่นและพูด “แล้วพี่ชายว่าไง? คุณคิดว่าพอจะผ่านได้ไหม? ตอนนี้คุณคือความหวังสุดท้ายของพวกเรา”   เมื่อได้ยินคำพูดของทหารหนุ่ม ทำให้ทหารคนอื่นๆที่นั่งอยู่ข้างๆต่างก็หันมามองหานเซิ่นกันหมดเพื่อรอฟังคำตอบ   ทหารส่วนใหญ่ทดสอบกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทดสอบ เห็นได้ชัดว่าหานเซิ่นคือความหวังสุดท้ายที่จะกู้ชื่อให้พวกเขา   “ไม่มีปัญหา” หานเซิ่นตอบ   ในหมู่ทหารไม่จำเป็นต้องพูดถ่อมตัวอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณเป็นทหารก็ควรจะทำให้เพื่อนๆเชื่อมั่น   แม้นี่จะไม่ใช่ในสนามรบ แต่มันก็เดิมพันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของทหารในกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นหานเซิ่นจะแสดงความลังเลหรือไม่มั่นใจไม่ได้   เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างหานเซิ่นกับทหารหนุ่ม เถี่ยอี๋ก็เบ้ปากอย่างดูถูก แต่เขาไม่ได้พูดอะไร   ในสายตาของเถี่ยอี๋ ทหารธรรมดาๆไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ หน่วยพิเศษบลูบลัดถือเป็นหน่วยอันดับ 1 เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เห็นทหารธรรมดาอยู่ในสายตา   ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้ค้นหาข้อมูลของผู้ชิงตำแหน่งทั้ง 3 คนมาแล้ว หานเซิ่นที่เข้าไปทำงานบนแดฟเน่ได้เพราะเส้นสาย ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ   แม้ระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นจะเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่เถี่ยอี๋ก็ยังไม่คิดว่าหานเซิ่นจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้   การที่มีระดับความแข็งแกร่งสูงก็อาจจะเป็นเพราะเขาได้รับการสนับสนุนเนื้อในก็อตแซงชัวรี่เป็นจำนวนมาก ระดับความแข็งแกร่งอย่างเดียวบอกได้ยากว่าฝีมือของหานเซิ่นดีจริงๆหรือเปล่า   ส่วนการทดสอบสปริ้นท์ เถี่ยอี๋ไม่คิดว่าหานเซิ่นจะผ่านมันได้ ในการทดสอบสปริ้นท์ระดับ 10 กับแรงโน้มถ่วง 100 มันยากมากที่จะผ่านได้ด้วยระดับความแข็งแกร่งแถวๆ 100 ขนาดเจิ้งหยู่ยังไม่ผ่านเลย   ในการทดสอบระดับความแข็งแกร่ง หานเซิ่นเพิ่มขีดจำกัดตัวเองโดยใช้วิชาเข้าช่วย ทำให้เขาได้คะแนน 110 นั่นก็หมายความว่าระดับความแข็งแกร่งจริงๆของเขาก็น่าจะอยู่แถวๆ 100 เท่านั้น ซึ่งมันแย่ยิ่งกว่าเจิ้งหยู่ซะอีก มันจะเป็นไปได้หรอที่หานเซิ่นจะผ่านได้? ดังนั้นในสายตาของเถี่ยอี๋ หานเซิ่นอวดดีเกินไปที่บอกว่าไม่มีปัญหา   ที่หานเซิ่นพูดไปแบบนั้นก็เพราะเขาต้องการสร้างกำลังใจให้กับพวกเพื่อนๆทหาร เขาไม่ได้สนใจว่าเถี่ยอี๋จะมองเขาแย่ลงหรือเปล่า   ไม่นานก็ถึงตาของหานเซิ่น หานเซิ่นวิ่งเข้าไปในเครื่องทดสอบสปริ้นท์ แต่เขายังไม่รีบเริ่มการทดสอบ ตอนนี้หานเซิ่นทดสอบขยับร่างกายดู เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะต้องใช้ความแข็งแกร่งระดับไหน   ระดับความแข็งแกร่งของเขาอยู่ประมาน 100 ด้วยแรงโน้มถ่วง 100 แค่เขาเข้าไปเดินข้างในก็เหนื่อยแล้ว เพื่อที่จะเร่งความเร็วให้ได้ เขาจะต้องอยู่ในสถานะโอเวอร์โหลด   เพื่อจะผ่านให้ได้ เขาต้องจัดระดับความแข็งแกร่งของตัวเองให้เหมาะสม ไม่งั้นถ้าใช้พลังมากเกินไป เขาก็อาจจะหมดแรงและล่วงลงมาก่อนก็ได้ ไม่ว่าเขาจะเชี่ยวชาญการทดสอบแบบนี้มากแค่ไหนก็ตาม   หลังจากที่หานเซิ่นวางแผน และจัดระดับความแข็งแกร่งที่เหมาะสมได้แล้ว เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก และเริ่มออกตัว ภายใต้สายตาของทุกๆคน   หลังจากเริ่มก้าวแรก หานเซิ่นก็คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้วว่าก้าวต่อๆไปเขาจะต้องทำยังไงบ้าง เพื่อที่จะได้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด   เขาก้าวไปบนกำแพงที่ทำจากโลหะด้วยความเร็วสูง หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว และกระดูกของเขาส่งเสียงร้องออกมา   การเคลื่อนไหวของหานเซิ่นแตกต่างจากคนอื่นๆ และยังแตกต่างจากวิธีการผ่านแบบใช้พลังเข้าว่าอย่างเถี่ยอี๋ด้วย การเคลื่อนไหวของหานเซิ่นดูไหลลื่นมาก   มันไหลลื่นราวกับเปิดวิดีโอสาธิต มันทำให้รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของหานเซิ่นเหมือนกับถูกตั้งโปรแกรมมา แต่ละก้าวของเขาจะมีเหตุผลของมัน ไม่มีการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่าเลย   “ยอดเยี่ยมมาก” ขณะกำลังดู ประธานของกาแล็กซี่ทางตะวันตกเฉียงใต้ก็พยักหน้าอย่างพอใจ   ด้วยอายุของหานเซิ่น มันน่าเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถควบคุมร่างกายได้แม่นยำถึงขนาดนี้   ผู้เป็นเลิศหลายคนที่กำลังดูการแข่งขันครั้งนี้รู้สึกประหลาดใจ แม้แต่พวกเขายังรู้สึกว่ามันยากมากที่จะควบคุมร่างกายให้ได้แบบนั้น   มันอาจจะดูเหมือนกับว่ามันเหนือขีดจำกัดของมนุษย์ ระดับการควบคุมร่างกายของเขา มันเหมือนกับระดับ AI กระดูกแต่ละท่อน กล้ามเนื้อแต่ละมัดเคลื่อนไหวได้มีประสิทธิภาพที่สุด มันสมบูรณ์แบบมากๆ   เลขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้ข้อมูลของเขายิ่งดูผิดพลาดหนักขึ้นไปอีก การสรุปผลของเขามันคนละเรื่องกับความเป็นจริงเลย ราวกับว่าเขาไม่สืบข้อมูลมาผิดคนยังไงยังงั้น   แม้พวกทหารธรรมดาๆจะไม่เข้าใจได้ละเอียดเหมือนกับพวกระดับสูง แต่พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและระทึกใจมากที่ได้ดูการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น   เถี่ยอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้แต่เขาก็ยังประหลาดใจกับฟอร์มของหานเซิ่น ความสามารถในการควบคุมร่างการของหานเซิ่นยอดเยี่ยมมาก แม้แต่เขาเองก็ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่กระนั้นเถี่ยอี๋ก็ยังไม่คิดว่าหานเซิ่นจะสามารถผ่านไปได้ เขาคิดว่าหานเซิ่นจะต้องหมดแรงก่อนแน่ แค่มีพรสวรรค์และเทคนิคที่ดียังไม่พอ มันต้องมีความแข็งแกร่งด้วย   ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคนบางคนมีเงินอยู่ 1 ดอลลาร์ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีหรือเทคนิคการจัดสรรเงินยังไง เขาก็ไม่สามารถซื้ออาหารให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต 1 เดือนได้   เทคนิคเป็นตัวที่สามารถทำให้คนรีดความแข็งแกร่งของตัวเองออกมาใช้ได้มากที่สุด แต่ก่อนอื่นคุณก็จะต้องมีความแข็งแกร่งก่อน   หลังจากผ่านไปได้ครึ่งทาง หานเซิ่นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับว่าเขากำลังกระโดดอยู่ในน้ำ แม้แต่ผมของเขาก็ยังเปียกโชก   ด้วยผิวหนังที่แดงผิดปรกติ อุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นเรื่อยๆและกระดูกที่กำลังส่งเสียงร้อง หานเซิ่นรู้ว่าเขาอาจจะหมดสติได้ตลอดเวลา   ทหารและเจ้าหน้าที่ที่ดูการแข่งอยู่ส่งเสียงตะโกนเชียร์หานเซิ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ ภายใต้สถานะโอเวอร์โหลด เขายังเหลืออีกครึ่งทางถึงจะผ่านได้ พวกเขากลัวว่าหานเซิ่นจะไปได้อีกไม่ไกล   แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่ได้คิดเหมือนกับพวกเขา แม้เขาจะใช้พลังงานในการวิ่งในสภาพแรงโน้มถ่วงมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่ตราบใดที่เขาต้องการผ่านให้ได้ เขาก็จะสามารถผ่านได้   ถ้าวัดการที่การเพิ่มความอึดอย่างเดียว ไม่มีวิชาไหนอีกแล้วที่จะดีไปกว่ากายหยก เมื่อก่อนตอนที่หยางม่านลี่ต้องการทดสอบความอึดของเขา เธอก็ต้องช็อคมาแล้ว   แม้จะมีเหงื่อไหลออกมามาก แต่ตาของหานเซิ่นก็ยังสงบเยือกเย็น เขายังคงรักษาความเร็วของเขาเอาไว้ หานเซิ่นใช้วิชากายหยกแบบเงียบๆ ความเย็นแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ระดับความร้อนภายในร่างกายของเขาลดลงมา แต่กระนั้นหานเซิ่นก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี   แม้หานเซิ่นจะดูเหมือนกับว่าใช้ทุกอย่างที่มีหมดแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร คนที่ดูอยู่ถึงได้รู้สึกมั่นใจว่าเขาผ่านไปได้แน่ๆ โดยดูจากสีหน้าของเขา   ตอนนี้ทุกๆคนเชื่อมั่นใจตัวหานเซิ่น พวกเขาเชื่อว่ายังไงหานเซิ่นก็ต้องไปถึงเส้นชัยได้อย่างแน่นอน   มันคือมนตร์เสน่ห์ในแบบของทหาร มันไม่สามารถอธิบายได้ ไม่มีอะไรมากนอกจากคำว่าเชื่อใจ  

Super God Gene – ตอนที่ 498 ความน่ากลัวของเสือจากบลูบลัด
Super God Gene – ตอนที่ 498 ความน่ากลัวของเสือจากบลูบลัด

  “เจิ้งหยู่ทำได้ดีมาก” บนที่นั่งระดับ VIP ประธานของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้พยักหน้าอย่างพอใจ   “ท่านประธาน ผมไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะเถี่ยอี๋ได้ เจิ้งหยู่ใช้แรงทั้งหมดในการทุบกลอง ขณะที่เถี่ยอี๋ดูเหมือนยังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งออกมาทั้งหมด” เลขาพูด   ประธานไม่ได้ถือสาคำพูดของเลขา “หน่วยพิเศษบลูบลัดทุ่มเทงบประมาณและทรัพยากรไปเท่าไหร่ในการสร้างทหารเสือของพวกเขา? และดูทรัพยากรที่พวกเรามี แค่เจิ้งหยู่โชว์ฟอร์มได้ขนาดนี้ก็คือว่าดีมากแล้ว”   “แต่ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราจะไม่มีโอกาสใกล้ชิดทาญาติตระกูลจี” เลขากระซิบ   “พวกเราไม่ได้มีโอกาสมาตั้งแต่แรกแล้ว” ประธานครุ่นคิดและถาม “แล้วอีก 2 คนที่เหลือเป็นยังไงบ้าง?”   “พันตรีหวังกาง ถึงเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหน่วย แต่ก็ยังด้อยกว่าเจิ้งหยู่ ส่วนอีกคนเป็นคนที่จีเหยียนหรันเสนอชื่อด้วยตัวเอง ผมสืบข้อมูลของเขามาแล้ว” เลขาดูข้อมูลในคอมของเขาและพูด “จีเหยียนหรันและหานเซิ่นเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกัน และยังเป็นคู่รักกันด้วย หานเซิ่นไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ จีเหยียนหรันใช้เส้นสายเพื่อให้เขาไปทำงานที่ยานเเดฟเน่ เขาเพิ่งเข้าในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้ไม่ถึงปี เขาเป็นผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ เขามีพื้นฐานที่ดี แต่ตามข้อมูลที่หน่วยข่าวกรองได้มา เขาถูกสุ่มไปอยู่เมืองเล็กๆที่ห่างไกล มีคนอยู่แถวนั้นราวๆ 2000-3000 คน ดังนั้นมันคงจะยากสำหรับเขาที่จะเก็บจีโนพ้อย”   “ผมคิดว่าจีเหยียนหรันคงต้องการให้หานเซิ่นเป็นบอดี้การ์ดของเธอ แต่เธอทำไม่สำเร็จ เพราะแรงกดดันจากพวกระดับสูงของกองทัพ ในบรรดาผู้ชิงตำแหน่งทั้ง 4 คนผมคิดว่าหานเซิ่นมีโอกาสน้อยที่สุด” เลขาสรุปข้อมูลให้ประธานฟัง   ประธานพยักหน้า “โชคร้ายที่ครั้งนี้ส่วนกลางสั่งคนมาร่วมด้วย ไม่งั้นคนของเราคงจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนของตระกูลจี”   ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันก็ถึงตาของหานเซิ่นแล้ว “พี่ชาย ไม่ต้องกังวล แค่ทำให้ดีที่สุด” ทหารหนุ่มที่คุยกับเขาก่อนหน้านี้ให้กำลังใจหานเซิ่น   “โอเค” หานเซิ่นตอบและเดินขึ้นไปบนเวที เมื่อมาถึงหน้ากลอง หานเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับเครื่องยนต์ และกระดูกของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นเขาก็ทุบกลองอย่างแรง   ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นจนทำให้คนปวดแก้วหู ตัวเลขที่แสดงบนจอคือ 111.1111   มันเป็นตัวเลขที่ดูไม่น่าเชื่อ เหมือนกับเรื่องโกหก ทุกคนอ้าปากค้าง แน่นอนไม่ใช่แค่ตัวเลขมันจะสวยอย่างเดียว แต่คะแนนก็ถือว่าสูงมากด้วย จนถึงตอนนี้คะแนนของเขายังถือว่าติด 1 ใน 3   ทหารเริ่มส่งเสียงเชียร์หานเซิ่น เพราะเขาเองก็เป็นตัวแทนของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้เหมือนกัน   ‘บ้าเอ้ย ตัวเลขนี้มันอะไรกัน? มันเหมือนถึงเราต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิตรึเปล่า’ หานเซิ่นค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง เขาทำเท่าที่ทำได้แล้ว แต่เขาไม่ได้คิดว่าตัวเลขจะเป็นแบบนี้   แม้ตัวเลขจะเหมือนกับไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ในความคิดหานเซิ่น แต่เขาก็ค่อนข้างพอใจกับคะแนน ด้วยคะแนนระดับนี้ เขาก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในระดับท็อปของผู้วิวัฒนาการเหมือนกัน นี่ยังไม่ได้รวมถึงว่าเขายังมีศักยภาพในการพัฒนาได้มากกว่าใคร เพราะเขาพึ่งเก็บจีโนพ้อยได้ไม่มาก   “สุดยอดไปเลยพี่ชาย ทหารในห้องครัวแข็งแกร่งแบบนี้กันทุกคนเลยหรอ?” เมื่อหานเซิ่นกลับมาที่นั่ง ทหารหนุ่มก็ยกนิ้วให้เขา   “ทหารในห้องครัวก็เป็นทหารเหมือนกัน” หานเซิ่นพูดพร้อมกับยิ้ม   เพราะฟอร์มของหานเซิ่นเมื่อสักครู่ ทำให้ทหารหลายๆคนประทับใจในตัวเขามาก แต่เถี่ยอี๋ก็ไม่แม้แต่จะมองหานเซิ่นด้วยซ้ำ   แค่มองแวบเดียว เขาก็รู้แล้วว่าหานเซิ่นใช้สุดแรงเกิดแล้ว แถมเขายังต้องใช้วิชาไฮเปอร์จีโนเพื่อเพิ่มพลังด้วย ถึงคะแนนของเขาจะดี แต่ก็ยังไม่มีค่าพอให้เถี่ยอี๋สนใจ   “หานเซิ่นคนนี้ไม่ธรรมดาเลย” ประธานพูดด้วยความประหลาดใจ   เลขาเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา ระหว่างฟอร์มของหานเซิ่นกับข้อมูลที่เขาได้มา มันไปกันคนละเรื่องเลย แม้หัวหน้าของเขาจะไม่พูดอะไร แต่เลขาก็เข้าใจดีว่าข้อมูลที่เขาได้รับมามันผิด และหัวหน้าของเขาก็คงไม่อยากความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีก   “ผมต้องขอโทษครับท่านประธาน ผมจะรีบให้คนไปสืบข้อมูลมาใหม่” เลขารีบพูด   “ไม่จำเป็น นี่เป็นการทดสอบที่ดีที่สุดแล้ว มารอดูกันดีกว่า” ประธานพูด   “ครับ” แม้เลขาจะดูการแข่งขันต่อไป แต่เขาก็เช็คข้อมูลของหานเซิ่นอยู่เรื่อยๆ   ถึงหัวหน้าจะไม่ว่าอะไร แต่ยังไงเขาก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่งั้นเขาก็อาจจะหลุดจากตำแหน่งได้   หลังจากเสร็จการทดสอบความแข็งแกร่ง เถี่ยอี๋ เจิ้งหยู่และหานเซิ่นก็คือท็อป 3 ขณะที่หวังกางอยู่อันดับ 100 กว่าๆ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคู่แข่งกับพวกเขาได้   สถานีที่ 2 คือการทดสอบสปริ้นท์ ซึ่งมันทำให้หานเซิ่นประหลาดใจมาก แต่ทว่าอุปกรณ์นี้ถูกปรับระดับให้อยู่ที่ระดับ 10 แถมยังมีแรงโน้มถ่วงที่ระดับ 100 ถ้าผู้เข้าทดสอบไม่มีระดับความแข็งแกร่งเกิน 100 ละก็ แค่เข้าไปวิ่งข้างในก็ยากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิ่งไปตามกำแพงที่ถูกจัดวางเอาไว้   หลังจากการทดสอบเริ่ม ทหารก็ทยอยเข้าไปทดสอบทีละคน แต่กระนั้นผลลัพธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ดีนัก ทหาร 8 คนแรกที่เข้าไปทดสอบไม่มีใครผ่านการทดสอบเลย ไม่มีใครสามารถผ่านได้แม้กระทั่งระยะ 1 ใน 3   ระดับแรงโน้มถ่วง 100 ถือได้ว่ามหาโหด แม้จะมีระดับความแข็งแกร่ง 100 ผู้เข้าทดสอบก็จะเหนื่อยอย่างรวดเร็ว มันยากมากที่พวกเขาจะรักษาความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนอง   หานเซิ่นขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าระดับแรงโน้มถ่วงถูกตั้งไว้สูงเกินไป ถ้าจะให้คนที่มีระดับความแข็งแกร่ง 100 ทดสอบก็ควรจะตั้งระดับแรงโน้มถ่วงแค่ประมาน 80-90   แม้แต่หานเซิ่นยังต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นระดับความยากของการทดสอบนี้ ทหารทยอยเข้าไปทดสอบคนแล้วคนเหล่า แต่ก็ไม่มีใครผ่านเลย หลังจากที่ผู้เข้าแข่งทดสอบเสร็จกันไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ถึงตาของเถี่ยอี๋   แม้ทหารของกาเเล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้จะหวังให้เถี่ยอี๋ไม่ผ่านเช่นกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องผิดหวัง   ร่างกายที่กำยำของเถี่ยอี๋กระโดดขึ้นลงบนกำแพงเหมือนกับหุ่นยนตร์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนว่าแรงโน้นถ่วงไม่ได้มีผลกับเขาเลย เขารักษาความเร็วของเขาคงที่ และกระโดดผ่านกำแพงแต่ละอันโดยไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งทำให้หานเซิ่นต้องอ้าปากค้าง เถี่ยอี๋เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ร่างกายที่แข็งแกร่ง ประสาทสัมผัสที่ดีและการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม ทำให้การทดสอบสปริ้นท์ที่ยากขนาดนี้ดูง่ายไปเลย   ‘เขาแข็งแกร่งจริงๆ’ หานเซิ่นคิด   เถี่ยอี๋จบการทดสอบสปริ้นท์ได้อย่างเพอร์เฟค ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ เขาเดินกลับมานั่งที่เงียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทหารจากกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจิ้งหยู่ แต่น่าเสียดายที่เขาทำเต็มที่แล้วแต่ก็ทำได้แค่ 70% ของการทดสอบสปริ้นท์ ซึ่งทำให้ทหารจำนวนมากถอนหายใจออกมา  

Super God Gene – ตอนที่ 497 ทดสอบความแข็งแรง
Super God Gene – ตอนที่ 497 ทดสอบความแข็งแรง

  “พี่ชาย คุณสังกัดอยู่หน่วยไหน?” ในพื้นที่สำหรับวอร์มอัพก่อนการแข่ง ทหารหนุ่มถามหานเซิ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ   “ฉันมาจากยานรบ เป็นทหารในห้องครัว” หานเซิ่นตอบ   เมื่อทหารหนุ่มได้ยินว่าหานเซิ่นมาจากยานรบ เขาก็คิดว่าหานเซิ่นจะต้องเป็นพวกหัวกระทิหรือไม่ก็พวกแนวหน้าของกองทัพแน่ แต่พอได้ยินว่าเขาเป็นทหารในห้องครัวท่าทีของทหารหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที   มันเป็นธรรมดาที่ทหารในห้องครัวจะถูกมองว่าอ่อนแอ ปรกติแล้วทหารที่ทำงานในครัวจะได้ฝึกน้อยกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจว่าพวกเขาอ่อนแอกว่าทหารหน่วยอื่นๆ   “ฮาฮา ยานรบที่พี่ชายสังกัดอยู่จะต้องเป็นยานระดับสูงแน่ พวกเขาถึงส่งทหารในห้องครัวมาเป็นตัวแทน” ทหารหนุ่มพูดติดตลก เขาไม่ได้เจตนาจะดูถูกหานเซิ่นแต่อย่างใด   “หน่วยอื่นๆค่อนข้างยุ่งกันมีแค่พวกทหารในครัวที่พอจะมีเวลา นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาส่งฉันมา” หานเซิ่นยิ้ม   “ดูแล้วพวกเราต้องเหนื่อยแน่พี่ชาย พวกเราถูกมองเป็นแค่ไม้ประดับ พวกเราทหารสังกัดกาแล็กซี่ทางตะวันตกเฉียงใต้คงต้องหวังพึ่งเจิ้งหยู่แล้ว ผมหวังว่าเขาจะเอาชนะทหารเสือบลูบลัดที่ส่วนกลางส่งมาได้” ทหารหนุ่มพูด   “เจิ้งหยู่งั้นหรอ?” หานเซิ่นครุ่นคิด เหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เจิ้งหยู่คือ 1 ในคู่แข่งชิงตำแหน่งบอดี้การ์ดของจีเหยียนหรัน   หลังจากที่เขาพูดคุยกับทหารหนุ่มอยู่สักพัก อยู่ๆโซนที่จัดไว้ให้คนมาวอร์มอัพก็เงียบสงัด ทุกคนมองไปทิศทางเดียว หานเซิ่นเองก็เช่นกัน ทหารรูปร่างกำยำเดินเข้ามา ซึ่งมันสร้างแรงกดดันให้กับทุกคนมาก เมื่อมองไปที่เขา ทุกๆคนก็อยากจะวิ่งหนี   “ทหารเสือบลูบลัด เถี่ยอี๋…” ทหารของกาแล็กซีทางตะวันตกเฉียงใต้เริ่มซุบซิบกัน   เถี่ยอี๋กวาดสายตามองทหารของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ และในที่สุดดวงตาสีดำของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ทหารวัยประมาน 40 เขาพูดอย่างจริงจัง “นายคือเจิ้งหยู่ใช่ไหม?”   “ใช่” เจิ้งหยู่พูด พร้อมกับพยักหน้า   “เยี่ยม” เถี่ยอี๋พูด และก็นั่งลงโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม   เมื่อเห็นการกระทำของเถี่ยอี๋ หานเซิ่นก็รู้ว่าเถี่ยอี๋ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา รวมถึงคู่แข่งอีกคนก็เช่นกัน ในสายตาของเถี่ยอี๋มีแค่เจิ้งหยู่ที่มีค่าพอให้เขาสนใจ   หานเซิ่นไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็ต้องวัดกันด้วยกำลังว่าใครแข็งแกร่งที่สุด การที่พวกเขาไม่สนใจเขาเลยจะเป็นเรื่องดีซะอีก   ไม่นานการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการแข่งขันเดินเข้ามาในสถานที่รวมพล เมื่อมองดูทหารจำนวนมากที่เหมือนกับคลื่นทะเล มันค่อนข้างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการ   กาแล็กซี่ทางตะวันตกเฉียงใต้นั้นประกอบไปด้วย 2 กาแล็กซี่หลักๆก็คือ กาแล็กซี่ซีเก้อลี่กับกาแล็กซี่หนานซานซวน และก็มีกาแล็กซี่เล็กๆอีก 16 กาแล็กซี่ ในเขตนี้มีแค่กาแล็กซี่ซีเก้อลี่และกาแล็กซี่หนานซานซวนที่มีดาวที่เป็นที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ส่วนกาแล็กซี่อื่นๆมีแค่ 2 จาก 16 กาแล็กซี่ที่มีฐานทัพของทหารตั้งอยู่ กาแล็กซี่พวกนั้นมีมนุษย์อาศัยอยู่ไม่มาก เพราะในกาแล็กซี่มีดาวที่เหมาะต่อการดำรงชีวิตน้อย   ในบรรดาโซนต่างๆของสหพันธ์ดวงดาว โซนตะวันตกเฉียงใต้ถือเป็นโซนที่เล็กที่สุด แม้กระนั้นกองทัพของโซนนี้ก็ยังมีทหารถึง 100 ล้านคน ส่วนคนที่เข้าแข่งจะถูกคัดเลือกจากแต่ละหน่วยงานเพื่อหาตัวแทน แต่ถึงจะคัดมาแล้วก็ยังมีจำนวนที่มากอยู่   เหตุผลที่มนุษย์ครองความเป็นใหญ่ในจักรวาลได้ นอกเหนือจากสติปัญหาแล้ว รองลงมาก็คือจำนวน   การแข่งขันไม่ได้เป็นการแข่งแบบสู้กันตัวต่อตัว เนื่องจากจะใช้เวลานานมาก ดังนั้นการแข่งจึงจัดแข่งเป็นหลายสถานี นอกเหนือจากการต่อสู้แล้ว   สถานีแรกก็คือการทดสอบความแข็งแกร่ง ในสถานที่จะมีกลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่   ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทุบไปที่กลองให้แรงที่สุด และจะมีหน้าจอที่แสดงคะแนนที่ดีที่สุดของคนคนนั้น   แม้จะไม่มีใครถูกตัดสิทธิจากการที่ได้คะแนนน้อย แต่คะแนนของแต่ละสถานีจะถูกนำมารวมกันในตอนสุดท้าย และคนที่มีคะแนนไม่ติด 1 ใน 4 ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อชิงฉายา ทหารราชัน   ไม่นานการทดสอบในรอบแรกก็เริ่มต้นขึ้น ทหารที่ถูกเรียกชื่อต้องเดินขึ้นไปบนเวที และก็ทุบกลอง   เนื่องจากผู้เข้าแข่งเป็นตัวแทนที่แต่ละหน่วยงานส่งมา พวกเขาจึงเป็นผู้วิวัฒนาการที่มีระดับความแข็งแกร่งอยู่แถวๆ 100 หลังจากดูไปสักพักหานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าคะแนนส่วนมากจะอยู่ที่ 100-105 ไม่ค่อยมีใครได้คะแนนโดดเด่นจากนี้   แม้จะเป็นการแข่งที่รวมหลายกาแล็กซี่ แต่ก็มีการจำกัดอายุของผู้เข้าแข่ง และพวกหน่วยพิเศษบางหน่วยก็จะไม่อนุญาตให้เข้าแข่ง   ไม่นานก็ถึงตาของเถี่ยอี๋ สายตาของผู้เข้าแข่งทุกคนจับจ้องไปที่เขา แม้แต่กองเชียร์ก็ยังหยุดส่งเสียง พวกเขาต้องการดูฟอร์มของเถี่ยอี๋   ภายใต้สายตาของคนจำนวนมาก เถี่ยอี๋ดูจะไม่ได้กังวลอะไรเลย เขาเดินขึ้นไปบนเวทีแบบสบายๆ และทุบกลองทันที   ตูม! เสียงดังซะจนคนฟังรู้สึกปวดแก้วหู ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอก็คือ 113.7584   ทุกคนอ้าปากค้าง ความแข็งแกร่งระดับนี้ถือว่าเป็นระดับท็อปในหมู่ผู้วิวัฒนาการ   ตอนเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิจะมีความแข็งแกร่งราวๆ 30 ถึงจะเก็บจีโนพ้อยสามัญ โบราณและกลายพันธ์ได้เต็ม ระดับความแข็งแกร่งก็จะอยู่แถวๆ 90   การจะทำให้ระดับความแข็งแกร่งถึง 110 จะต้องเก็บจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิเพิ่มอีกอย่างน้อย 40-50 ท่าทีของผู้เข้าแข่งเปลี่ยนไปทันที เจิ้งหยู่ทำหน้าตาเคร่งเครียด ความแข็งแกร่งระดับนี้สร้างแรงกดดันให้กับผู้เข้าแข่งคนอื่นได้มาก   เท่าที่ดูหานเซิ่นคิดว่าเถี่ยอี๋คงยังไม่ได้ใส่สุดแรง เขาน่าจะสามารถทำคะแนนสูงกว่านี้ได้อีก   ‘ดูเหมือนเถี่ยอี๋จะแข็งแกร่งกว่าที่คิด หวังว่าเราจะสามารถทะลวงการป้องกันของเขาได้ ไม่งั้นเราแย่แน่’ หานเซิ่นคิด   ถ้าระดับความแข็งแกร่งต่างกันมากเกินไป พวกเขาก็ยากที่จะสู้กันได้ ตัวอย่างเช่นตอนที่อยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 หานเซิ่นเคยลองพยายามโจมตีไปที่ตาของลูกโกลเด้นโกรวเลอร์ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ นั่นเป็นเพราะระดับความแข็งแกร่งห่างกันมากเกินไป   อย่างไรก็ตามระดับความแข็งแกร่งของหานเซิ่นตอนนี้ก็ถึง 100 แล้ว ด้วยมนตรานอกรีตและโอเวอร์โหลด เขาเองก็สามารถทุบกลองให้ได้คะแนนพอๆกับเถี่ยอี๋ ซึ่งถือว่ายังสู้กันได้   ที่หานเซิ่นกังวลจริงๆก็คือวิชาซุปเปอร์ไดมอนของเถี่ยอี๋ มันคือวิชาไฮเปอร์จีโนที่ถือว่าดีติด 1 ใน 10   หลังจากนั้นก็ถึงตาของเจิ้งหยู่ เจิ้งหยู่เดินขึ้นไปบนเวที เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เขาส่งเสียงคำรามออกมาแล้วก็ทุบกลองอย่างรุนแรง   ตูม! ตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอคือ 114.2584 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากกองเชียร์ได้เป็นอย่างดี คะแนนของเขาดีกว่าเถี่ยอี๋ซะอีก ซึ่งมันสร้างกำลังใจให้กับทหารของกาแล็กซี่ตะวันตกเฉียงใต้ได้มาก