Archive for Uncategorized

Super God Gene – ตอนที่ 544 กายหยกของใครกันที่เป็นของแท้
Super God Gene – ตอนที่ 544 กายหยกของใครกันที่เป็นของแท้

  วิญญาณอสูรของเสวียอี้หยางคือวิญญาณอสูรเลือดศักดิ์สิทธิของก็อตแซงชัวรี่เขต 2 หลังจากที่เขาเปลี่ยนร่างแล้ว ทั้งความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก   แต่ระดับที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หานเซิ่นรับมือเขาไม่ได้ ขอแค่หานเซิ่นโจมตีหรือสัมผัสโดนส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาได้ มันก็จะทำให้อวัยวะภายในของเขาเสียหายทันที   ปัง ปัง ปัง! หมัดของพวกเขาปะทะกัน แต่เสวียอี้หยางที่ใช้วิญญาณอสูรเปลี่ยนร่างกลับเสียเปรียบหนักกว่าเก่า ตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากหู จมูกและปากของเขา   “ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น?” “ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก! แค่ไมโครคริสตัลของเขาก็ทำให้เสวียอี้หยางหมดหนทางจะสู้แล้ว”   ตุบ! ไม่มีใครอยากเชื่อว่าเสวียอี้หยางจะถูกไล่ตอนไปที่ขอบเวที ตอนนี้ปากและใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ดูเหมือนเขาไม่อยากที่จะยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่สามารถทนพลังหมัดของหานเซิ่นได้ ร่างกายที่เหมือนกับปีศาจน้ำแข็งของเขาถูกชกกระเด็นออกไปจากเวที   เสวียอี้หยางโกรธมาก แต่อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถึงเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ร่างกายของเขาไม่ขยับแล้ว ไม่นานเขาก็หมดสติไป   หานเซิ่นไม่ได้เข้าไปดูอาการของคู่ต่อสู้ ซึ่งน่าจะสาหัสจนต้องรีบนำตัวไปรักษาด่วน หานเซิ่นเดินลงจากเวที และก็กลับไปนั่งที่เดิมของเขา เหมือนว่าคนจากตระกูลเสวียจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ถึงเสวียอี้หยางจะฝึกกายหยก แต่ดูเหมือนวิชากายหยกของเขาจะไม่ได้มีประสิทธิภาพหรือประโยชน์เท่ากับของหานเซิ่น   ตามความคิดของหานเซิ่น จุดแข็งที่สุดของวิชากายหยกก็คือความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและอวัยวะภายใน ซึ่งมันจะทำให้อวัยวะภายในของคนใช้แข็งแกร่งไม่ต่างจากภายนอก ถึงเสวียอี้หยางจะใช้วิชากายหยก แต่เขาไม่ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับอวัยวะภายใน อวัยวะภายในของเสวียอี้หยางอ่อนแอกว่าภายนอกมาก ซึ่งมันต่างจากกายหยกที่หานเซิ่นเรียนรู้มา   แต่เนื่องจากมันเป็นแค่การประลองฝีมือในงานแลกเปลี่ยน หานเซิ่นจึงยั้งมือไว้บ้างแล้ว ไม่งั้นอวัยวะภายในของเสวียอี้หยางคงจะหมดสภาพไปแล้ว   “เซิ่นเซิ่นน้อย นายไม่ธรรมดาจริงๆ!” หลินเวยเวยยิ้ม และลูบไหล่ของหานเซิ่น   “นั่นก็เพราะคู่ต่อสู้อ่อนหัดเกินไปมากกว่า” หานเซิ่นตอบความจริงออกไป เพราะคนของตระกูลเสวียไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิด   หลังจากที่งานแลกเปลี่ยนจบลง หนอนหนังสือมองไปที่เสวียอี้ขวงด้วยความช็อคและพูด “การที่นายไม่ทำอะไรหานเซิ่น ดูเหมือนมันจะไม่ใช่นิสัยของนายนะ”   เสวียอี้ขวงมีฟันเหมือนกับใบเลื่อย ตาของเขามีสีน้ำเงิน ซึ่งมันดูเย็นชามาก ผมของเขายาวประบ่าดูสะอาดเรียบร้อยมาก ผมแต่ละเส้นสละสลวยราวกับน้ำแข็ง   “นี่มันเป็นงานแลกเปลี่ยน ไว้ไปเล่นงานข้างนอกก็ได้ เขาทำร้ายคนในครอบครัวของฉัน แค่เอาชนะเขาได้มันยังน้อยเกินไป ช่วยฉันสืบมาว่าเขาอยู่ที่เมืองไหนในก็อตแซงชัวรี่” เสวียอี้ขวงพูด ใบหน้าของเขาดูไร้อารมณ์และเยือกเย็นมาก แค่ใครได้มองดูเขาก็ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังแล้ว   “ในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 มันค่อนข้างอันตราย มันจำเป็นถึงขนาดที่เราต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเมืองที่เขาอยู่เลยหรอ?” หนอนหนังสือถาม   “ใช่” เสวียอี้ขวงพูด   หนอนหนังสือหัวเราะ จากนั้นเขาก็เริ่มหาข้อมูลของหานเซิ่นทันที ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ส่งข้อมูลที่พบไปให้กับเสวียอี้ขวง “เหมือนว่านายจะดวงไม่ดีนะ เพราะที่ที่เขาอยู่คือเขตแดนน้ำแข็ง ซึ่งอยู่บริเวณทะเลทางเหนือ นายจะต้องใช้เวลาเดินทางนานมากกว่าจะไปถึงที่นั่น และยังต้องผ่านเมืองสปิริตหลายเมืองด้วย”   “ไม่มีปัญหา” เสวียอี้ขวงตอบ จากนั้นเขาก็เข้าไปในเครื่องเทเลพอร์ตทันที   หลังจากที่กลับมา หานเซิ่นก็เริ่มอ่านคัมภีร์ตงเสวียนทันที เขาเริ่มฝึกมาสักพักแล้ว แต่เหมือนว่ายังไงเขาก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะฝึกขั้นแรกได้สำเร็จ และปลดล็อคยีนขั้นแรก   ที่งานแลกเปลี่ยน หานเซิ่นได้รับประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะวิชาชี่กงที่หลินเวยเวยบรรยาย ตามที่หลินเวยเวยบรรยาย เขาคิดว่าตอนนี้วิชากายหยกของเขาน่าจะปลดล็อคยีนไปแล้วหนึ่งขั้น เพราะเขาเคยมีประการณ์ในวันที่เขาฝึกไมโครคริสตัล เขาคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นน่าจะเป็นการปลดล็อคยีน ในวันนั้นเขาหนาวจนเกือบจะแข็งตาย และก็หมดสติไปในที่สุด   แม้กายหยกจะไม่ได้ดีเท่ากับศาสตร์ตงเสวียน แต่มันก็ยังสามารถปลดล็อคยีนได้ถึง 9 ขั้น มันน้อยกว่าศาสตร์ตงเสวียเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ถ้าความเข้าใจของหานเซิ่นไม่ผิด การที่ฝึกวิชาชี่กงในแต่ละขั้นสำเร็จ จริงๆก็คือการสามารถปลดล็อคยีนในขั้นนั้นได้   แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกอะไรต่างออกไปเลย นอกจากที่เขาจะสามารถทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงได้เล็กน้อย และก็ใช้กายหยกได้รวดเร็วขึ้น ดูยังไงหานเซิ่นก็ยังไม่รู้สึกว่าเขาจะสามารถควบคุมพลังของจักรวาลได้เลย นี่มันดูไม่เห็นเหมือนกับคำพูดของคนที่สามารถปลดล็อคยีนได้เลย   เสวียอี้ขวงที่ไม่แม้แต่จะปลดล็อคยีนขั้นแรก แต่เขากับสามารถใช้พลังน้ำแข็งและลดอุณหภูมิในอากาศได้ มันดูเหมือนกับว่าเขาปลดล็อคยีนขั้นแรกได้มากกว่าหานเซิ่นซะอีก   เนื่องจากเขาปลดล็อคยีนขั้นแรกของวิชากายหยกได้แล้ว แต่ผลลัพธ์กับไม่ได้ดีอย่างที่เขาหวังเอาไว้ มันเริ่มทำให้เขาต้องคิดแล้วว่าวิชาที่เขาเรียนมามันถูกต้องรึเปล่า   “หรือว่ามันจะเกี่ยวกับการที่เราไม่ได้ใช้ยาปรับปรุงพันธุกรรมตอนฝึกรึเปล่า?” หานเซิ่นตั้งคำถามกันตัวเอง   นี่เป็นความคิดเดียวที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่ถึงเขาจะไม่มีความสามารถในการควบคุมน้ำแข็ง เขาก็รู้สึกพอใจกับกายหยกของเขาแล้ว โดยเฉพาะคุณสมบัติที่มันเสริมพลังให้กับร่างกาย มันทำให้เขามีความมั่นใจที่จะฝึกศาสตร์ตงเสวียน   หานเซิ่นหลับตา จากนั้นเขาก็ลองบังคับให้เลือดไหลเวียนไปในร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุข ถึงมันจะเป็นเวลาแค่ชั่วครู่ ร่างกายของหานเซิ่นก็ใสราวกับคริสตัล ในตอนที่หานเซิ่นกำลังรวบรวมสมาธิ เสียงลมหายใจของเขาก็กลมกลืนไปกับอากาศรอบๆตัวที่ไหลเข้ามาในจมูกของเขา   อัตราการไหลเวียนเลือดในร่างกายของเขาเพิ่มสูงขึ้น แต่มันเป็นอัตราการไหลเวียนที่มีเสถียรภาพ ตอนนี้ทั้งตัวของมันกลายเป็นแม่เหล็ก ประกายแสงกำลังดูดร่างกายของเขาดูดเข้าไป   อัตราการหายใจของหานเซิ่นเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ถ้ามีใครบางคนมาสัมผัสที่ใต้จมูกของหานเซิ่นตอนนี้ พวกเขาจะต้องตกใจแน่ เพราะเขาดูเหมือนกับคนที่ไม่หายใจแล้ว   ถึงเขาจะหายใจช้าจนแทบจะเรียกว่าไม่หายใจ แต่เขากับไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัวเลย เซลล์ในร่างกายของเขามีพลังอย่างน่าประหลาด มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นทารกที่เพิ่งเกิดอีกครั้ง ยิ่งอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไปในร่างกาย อาหารที่สกปรกจะถูกขับออกมา ร่างกายของเขาเริ่มโปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ห้องของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น   หลังจากฝึกครบ 1 รอบการฝึกแล้ว หานเซิ่นก็ลืมตาขึ้นมา เขามองไปรอบๆห้อง ตอนนี้เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขมาก มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ กลิ่นหอมๆและออร่าของเขาเริ่มหายไป แต่ความรู้สึกที่มีพลังเต็มเปี่ยมยังคงอยู่ เขารู้สึกราวกับว่าเขาพร้อมที่จะบินขึ้นไปบนสวรรค์   “สมแล้วที่เป็นวิชาชี่กงที่สามารถผ่ามิติได้ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่เรากับรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ทุกเซลล์ในร่างกายของเราสามารถหายใจได้อย่างอิสระ ตอนนี้เราไม่ต้องกลัวว่าจะขาดออกซิเจนแม้จะอยู่ในทะเลลึกก็ตาม” ตอนนี้หานเซิ่นมีความสุขอย่างเหลือล้น ด้วยพลังของเขาตอนนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถออกไปล่ามอนสเตอร์ที่อยู่ใต้ทะเลได้สักที  

Super God Gene – ตอนที่ 543 กำราบ
Super God Gene – ตอนที่ 543 กำราบ

  หานเซิ่นมองดูร่างกายที่มีน้ำแข็งเกาะของเสวียอี้หยาง ตอนนี้เขาดูเหมือนกันปีศาจน้ำแข็ง   วิชาที่เสวียอี้หยางกำลังใช้อาจจะเป็นวิชากายหยก แต่มันแตกต่างจากกายหยกที่หานเซิ่นฝึกมาก   แม้หานเซิ่นจะสามารถลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงได้ แต่อย่างมากสุด เขาก็ลดอุณหภูมิของร่างกายได้แค่ประมาน 3-4 องศาเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำให้มันลดต่ำลงถึงขั้นที่มีน้ำแข็งเกาะแบบเสวียอี้หยาง   ถ้าวิชากายหยกของเสวียอี้หยางคือแบบดั่งเดิม งั้นวิชากายหยกของหานเซิ่นก็อาจจะเป็นคนละเวอร์ชั่นกัน แม้จะเป็นวิชาไฮเปอร์จีโนเหมือนกัน แต่มันก็อาจจะได้รับการพัฒนาที่แตกต่างกัน   “ฉันให้นายเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฉันกลัวว่าถ้าฉันเริ่มก่อน นายจะไม่มีโอกาสได้โชว์ฝีมือ” เสวียอี้หยางมองหานเซิ่นด้วยสายตาเย็นชา   “เฟิงเฟิงน้อย เซิ่นเซิ่นน้อยจะไหวจริงๆหรอ? ถึงเสวียอี้หยางคนนี้จะดูท่าทางกวนประสาท แต่วิชาชี่กงของเขาก็น่ากลัวทีเดียว” เมื่อหลิยเวยเวยมองดูเสวียอี้หยางที่ดูเหมือนกับรูปปั้นเกะสลักน้ำแข็ง มันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกกังวลจนต้องถามหลินเฟิงอีกครั้ง   “เขาน่าจะรับมือได้” หลินเฟิงยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีความกังวลอะไรเลย แม้มันจะผ่านมานานแล้วที่เขาได้เห็นฟอร์มของหานเซิ่น แต่หานเซิ่นคือคนที่เอาชนะจิงจี้อู่คู่ปรับของเขาได้ และหานเซิ่นยังรับมือมีดทอร์นาโดของถังเตียงลิ่วได้ซะอยู่หมัด ถ้าสิ่งที่เขาได้ยินมาไม่ผิด เขาคิดว่าเสวียอี้หยางไม่มีทางชนะหานเซิ่นได้   หานเซิ่นยังบอกอะไรไม่ได้ถ้าแค่ดูจากภายนอก เขายังไม่รู้ว่ากายหยกของเสวียอี้หยางหรือกายหยกของเขาดีกว่า เขาต้องปิดกลั้นความสงสัยไว้ก่อน ตอนนี้ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นคริสตัลที่เปล่งประกาย   “เซิ่นเซิ่นน้อยไม่เบาเลย อายุแค่น้อยก็ฝึกไมโครคริสตัลสำเร็จแล้วหรอเนี่ย?” หลินเวยเวยประหลาดใจ   ไม่ว่าจะดูยังไงอายุของหานเซิ่นก็น่าจะแค่ 20 ต้นๆ การฝึกไมโครคริสตัลสำเร็จด้วยอายุแค่นี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก เพราะโดยปรกติแล้ววิชานี้จะต้องใช้เวลาฝึกเป็น 10 ปีกว่าจะใช้งานได้จริง “เขาฝึกไมโครคริสตัลสำเร็จจริงๆหรอ ไม่น่าเชื่อ? เขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” “เป็นไปไม่ได้ เขาอายุเท่าไหร่กัน? อายุแค่นี้ก็ฝึกไมโครคริสตัลสำเร็จแล้ว?” “แม้ไมโครคริสตัลจะถือว่าเป็นวิชาชี่กงระดับล่าง แต่พรสวรรค์ของเขาน่ากลัวจริงๆ” “ไม่สงสัยเลยทำไมเขาถึงเป็นเพื่อนกับหลินเฟิง พรสวรรค์ของเขาน่ากลัวมาก” “แม้กายหยกจะเป็นวิชาชี่กงระดับสูงกว่า แต่ไมโครคริสตัลของหานเซิ่นดูเหมือนจะสมบูรณ์แล้ว แต่กายหยกของเสวียอี้หยางดูเหมือนจะยังฝึกไม่ถึงขั้น ตอนนี้พูดยากแล้วว่าใครจะชนะ” …   คนจาก 4 ตระกูลที่มาร่วมงานกำลังพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ ตอนนี้มีชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายๆกับเสวียอี้หยางกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้อง เขามองขึ้นไปบนเวทีด้วยวาวตาที่เยือกเย็น   “เสวียอี้ขวง น้องชายของนายเจอคู่ต่อสู้สุดหินเข้าแล้ว” ถัดจากชายคนนั้น ชายอีกคนที่ดูท่าทางเหมือนกับหนอนหนังสือพูดขึ้นมา   “คนที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลเสวียได้ ก็คือคนจากตระกูลเสวียเท่านั้น” เสวียอี้ขวงพูด เขาไม่สนอะไรที่ชายอีกคนพูด ตอนนี้เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม   “จริงหรอ?” หนอนหนังสือยิ้ม แต่เขาไม่พูดอะไรต่อ   หลังจากเสวียอี้หยางบอกให้เขาเริ่มโจมตีก่อน หานเซิ่นก็ไม่พูดอะไร เขายกหมัดขึ้นและชกไปสุดแรง เขารู้ดีว่าวิชากายหยกนั้นทรงพลังแค่ไหน เมื่อต้องมาสู้กับคนตระกูลเสวีย เขาก็ไม่กล้าที่จะดูถูกพรสวรรค์ของอีกฝ่าย การโจมตีทุกครั้งเขาจะต้องทุ่มสุดตัว   หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับเครื่องยนต์ หมัดที่เป็นคริสตัลของเขากำลังฉีกอากาศรอบๆ ทำให้เกิดเสียงดังราวกับเครื่องจักรกำลังทำงาน   แววตาของเสวียอี้หยางยังคงเยือกเย็น ตอนนี้เขากำลังแอบยิ้มมุมปาก เขาออกหมัดที่ล้อมรอบไปด้วยกระแสลมที่เย็นราวกับน้ำแข็งตรงไปที่หมัดของหานเซิ่น   ปัง! หมัดของทั้ง 2 คนปะทะกัน แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนกระเด็นถอยหลังไป ทั้งคู่ยังคงยืนนิ่ง หมัดของพวกเขายังคงปะทะกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสีหน้าของเสวียอี้หยางก็เปลี่ยนไป มีเลือดไหลออกจากปากของเขา   ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น พวกเขาไม่คิดว่าหมัดนั้นของหานเซิ่นจะทำให้เสวียอี้หยางบาดเจ็บได้   แววตาของหานเซิ่นยังเยือกเย็น จากนั้นเขาก็ชกไปที่เสวียอี้หยางอีกครั้ง เสวียอี้หยางกรีดร้องออกมา เขารีบยกหมัดขึ้น และชกออกไปอีกครั้ง แต่หมัดนี้ของเขา พลังดูจะเทียบกับหมัดก่อนหน้าไม่ได้เลย   เมื่อหมัดทั้ง 2 ปะทะกันก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากจมูกของเสวียอี้หยาง เขากำลังจะแพ้หานเซิ่น เขาเดินโซเซถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะทรงตัวได้ ตอนนี้หานเซิ่นดูเหมือนปีศาจคริสตัล พลังหมัดของหานเซิ่นเหนือกว่าเขาทุกหมัด และในตอนนี้หมัดของหานเซิ่นกำลังตรงมาที่เขาอีกครั้ง เขาต้องยกแขนขึ้นมาป้องกัน แต่พลังจากการโจมตีก็ดันให้ตัวเขาถอยหลังไป มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาอย่างต่อเนื่อง   ตอนนี้ทุกคนยืนอึ้ง ไม่มีใครคิดว่าหานเซิ่นจะเอาชนะเสวียอี้หยางได้ ไม่ต้องพูดถึงการชนะได้อย่างขาดลอย ตอนนี้เขาดูเหมือนกับปีศาจ พลังของเขาทำให้ทุกคนที่มองดูจะต้องกลัวเขา   รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของจีชิงชิวทันที เธอไม่คิดว่าเสวียอี้หยางจะแพ้ให้กับหานเซิ่น และยิ่งไม่คิดว่าจะแพ้ทุเรศแบบนี้ด้วย เขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่หมัดแรกของหานเซิ่น และหลังจากนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะโต้กลับ เขาถูกโจมตีจนกระทั่งพ่ายแพ้ และตอนนี้ก็มีเลือดจำนวนมากไหลออกมาจากปากและจมูกของเขา   ในที่สุดจีเหยียนหรันก็ยิ้มออก ถึงเธอจะรู้ดีว่าหานเซิ่นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะถึงขั้นเอาชนะเสวียอี้หยางได้ “ว้าว เขาแข็งแกร่งมาก หนุ่มคนนั้นเป็นใครมาจากไหน? เขาไม่ได้มาจากตระกูลที่สืบทอดวิชาชี่กงหรอ?” “ไมโครคริสตัลแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยหรอ? มันดูเหนือชั้นกว่ากายหยกอีก” “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก” “ตระกูลจีได้คนที่มีพรสวรรค์ไปอีกคนแล้ว..” …   สีหน้าของเสวียอี้ขวงเปลี่ยนไปทันที เขาพูด “พลังหยิน” “นั่นเป็นพลังหยินที่รุนแรงมาก การจะทำให้ได้ถึงขนาดนั้น มันจะต้องฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็น ถ้าวัดกันที่พลังหยิน ฉันไม่คิดว่าจะมีผู้วิวัฒนาคนไหนดีกว่าเขา” เสวียอี้ขวงไม่พูดอะไรอีก เขามองหานเซิ่นด้วยสายตาอาฆาต   ปัง! เสวียอี้หยางถูกหมัดของหานเซิ่นเข้าไปอีกหมัด เขารู้สึกว่าอวัยวะภายในของเขาถูกบดขยี้ เขากรีดร้องออกมา จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเป็นมอนสเตอร์ที่มีดวงตาสีแดง หลังจากที่เขาไม่สามารถต้านพลังของหานเซิ่นได้ ทำให้เขาจะต้องพึ่งวิญญาณอสูรแทน   ตอนนี้เสวียอี้หยางเหมือนกับหมาจนตอก เขาสิ้นหวังถึงขนาดต้องเรียกวิญญาณอสูรออกมาช่วย   หลังจากใช้วิญญาณอสูร ระดับความแข็งแกร่งของเสวียอี้หยางก็เพิ่มขึ้นมาก แววตาของเขายังคงเยือกเย็น เขาออกหมัดชกไปที่หานเซิ่น เนื่องจากระดับความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น ทำให้หมัดของเขาแทบจะไปถึงหน้าของหานเซิ่นในชั่วพริบตา เขาต้องการที่จะบดขยี้หานเซิ่นด้วยพลังอันมหาศาล   ปัง! สีหน้าของหานเซิ่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองหมัดของเสวียอี้หยาง เขาแค่ผลักแขนของเสวียอี้หยางที่กำลังตรงมาออกไปจากตัวเขา    

Super God Gene – ตอนที่ 542 การหยกของตระกูลเสวีย
Super God Gene – ตอนที่ 542 การหยกของตระกูลเสวีย

  จีเหยียนหรันทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ พี่เวยเวย” แต่ในหัวของเธอกำลังคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหานเซิ่นกับหลินเฟิง ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าจะไม่ธรรมดา แม้แต่ทาญาติที่มีชื่อเสียงแห่งตระกูลหลินยังเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเองขนาดนี้   หานเซิ่นไม่ได้รู้จักหลินเวยเวยมาก่อน เขาไม่รู้ว่าเธอเกี่ยวข้องยังไงกับหลินเฟิง แต่จีเหยียนหรันนั้นรู้ดี เธอมีศักดิ์เป็นน้าของหลินเฟิง เธอเป็นเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในตระกูลหลิน การที่เธอขึ้นมามีชื่อเสียงได้เป็นเพราะพรสวรรค์และความพยายามของตัวเธอเองล้วนๆ เธอเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของคนตระหลิน เธอแก่กว่าหลินเฟิง 10 แต่แค่ 10 ปีถือว่าน้อยในยุคนี้   หลินเวยเวยเป็นที่รู้จักกันดีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแสบเลยทีเดียว เธอรู้จักวิธีปั่นหัวคน เธอสามารถทำให้คนอื่นๆมาอยู่ในกำมือของเธอได้ สมัยเด็กเธอมีฉายาว่า ปีศาจสาวน้อย แต่ในช่วง 2 ปีนี้เหมือนเธอกำลังเก็บตัว เพื่อเตรียมการสำหรับวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศ ทำให้ชื่อของเธอดูจะเงียบๆไปในช่วงนี้   แม้หานเซิ่นจะไม่รู้จักชื่อเสียงของหลินเวยเวย แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ธรรมดาแน่ คนที่สามารถทำให้หลินเฟิงดูเชื่องและหงอยได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่เล่นๆแน่ หานเซิ่นจะต้องจดชื่อของเธอไว้ในหัวว่าไม่ควรจะไปทำให้เธอไม่พอใจ   ทั้ง 4 คนเริ่มพูดคุยกันโดยไม่ได้สนใจการมีตัวตนของเสวียอี้หยางและจีชิงชิว ซึ่งนั่นทำให้คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองสูงอย่างเสวียอี้หยางรู้สึกหัวร้อนขึ้นมา   ทาญาติทุกรุ่นของตระกูลเสวียจะต้องเรียนวิชาชี่กงของตระกูล ซึ่งเป็นวิชาชี่กงที่ร้ายกาจที่สุด ไม่มีใครสามารถทำเหมือนกับพวกเขาเป็นคนธรรมดาๆได้   เสวียอี้หยางยอมรับในการบรรยายของหลินเฟิง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ชวนหลินเฟิงให้เข้าร่วมวงกับเขาด้วยตัวเอง แต่เขาก็ต้องหน้าแตกก็เพราะการปรากฏตัวของหานเซิ่น แถมหานเซิ่นยังไม่ได้มาจาก 4 ตระกูล เขาไม่มีค่าพอ   ตอนนี้หลินเฟิงและหลินเวยเวยปฏิบัติกับหานเซิ่น เหมือนกับเป็นเพื่อนสนิท แต่การที่เขาถูกเพิกเฉย มันทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน   ขณะกำลังมองดูพวกเขา 4 คนพูดคุยกัน เสวียอี้หยางและจีชิงชิวก็ไม่คิดจะเข้าไปร่วมวงสนทนา เสวียอี้หยางมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงที่ดัง “ชี่กงของหลินเฟิงนั่นยอดเยี่ยม ทุกคนต่างก็รู้กันดี และนายก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของหลินเฟิง ฉันคิดว่านายเองก็น่าจะเรียนวิชาชี่กงมาบ้าง ไม่มากก็น้อย พวกเรามาประลองฝีมือกันหน่อยเป็นยังไง?”   คนอื่นๆหันมามองที่เสวียอี้หยางเป็นสายตาเดียว จีชิงชิวสนับสนุนแฟนของเธอ เธอพูด “การนั่งอยู่เฉยๆ มันดูน่าเบื่อ พวกเขาควรจะให้แฟนของจีเหยียนหรันโชว์ตัวหน่อย”   จีชิงชิวไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะมีโอกาสเอาชนะเสวียอี้หยางในการประลองได้ คนจากตระกูลเสวียทุกคนคือนักสู้ชั้นยอด สำหรับจีชิงชิว คนรุ่นเดียวกัน คนที่มีโอกาสเอาชนะแฟนของเธอได้ก็มีแค่หลินเฟิงคนเดียว   คนอื่นๆเองก็คิดว่าหานเซิ่นไม่มีหวังที่จะเอาชนะเสวียอี้หยางได้เช่นกัน   จีชิงชิวชี้ไปที่หานเซิ่น ขณะพูดคำว่าแฟนของจีเหยียนหรัน เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอนั่นเหนือกว่าจีเหยียนหรัน เวลาที่แฟนของเธอเอาชนะหานเซิ่นได้   “นายอยากจะประลอง ก็มาลองกับฉันหน่อย” หลินเวยเวยทำตาแคบลง แต่รอยยิ้มของเธอมันเหมือนกับดอกไม้บาน   เสวียอี้หยางขมวดคิ้ว แม้เขาจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าเขายังห่างชั้นกับคนที่กำลังจะกลายเป็นผู้เป็นเลิศอย่างเธอ เขาไม่มีทางเอาชนะหลินเวยเวยที่ปลดล็อคยีนไปหลายขั้น และเตรียมที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิได้   “พี่เวยเวย เรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกผู้ชาย ส่วนผู้หญิงอย่างพวกเราควรจะแค่ดูอยู่เฉยๆดีกว่า” จีชิงชิวยิ้ม   “เธอมาจากตระกูลไหน? เธอไม่รู้หรอว่าฉันเป็นใคร? เธอคิดว่าเธอเป็นใครถึงมาเรียกฉันว่าพี่ได้? เธอเองก็น่ารู้ดีว่าฉันคือน้าของหลินเฟิง ถ้าเทียบตามลำดับขั้นของตระกูล เธอควรจะเรียกฉันว่าน้า เธอโง่หรือว่าเธอไม่รู้กฎกันแน่?” หลินเวยเวยคือปีศาจสาวน้อยตัวจริงเสียงจริง เธอสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเธอได้อย่างฉับพลัน ในชั่วพริบหน้าตาที่ดูอบอุ่นของเธอก็ดูน่ากลัวขึ้นมาทันที   คำพูดของเธอถึงกับทำให้จีชิงชิวเงิบไปเลย เธออยากจะรู และลงไปซ่อนตัว เธอได้ยินจีเหยียนหรันเรียกว่าพี่เวยเวย เธอก็เลยคิดว่าเธอเองก็น่าจะเรียกได้เหมือนกัน เธอไม่คิดว่าหลินเวยเวยจะจริงจังขนาดนี้   หลังจากที่เห็นจีชิงชิวขายหน้า เสวียอี้หยางก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที รอบๆตัวเขาเริ่มมีกระแสลมที่เย็นราวกับน้ำแข็งไหลเวียน สีหน้าของเขาดูน่ากลัวมาก ตอนนี้ทุกๆคนที่อยู่ใกล้ๆเขาจะรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที   “จะเอางั้นหรอ? ถ้าอยากจะสู้นัก ฉันจะเป็นคู่มือให้เอง” หลินเวยเวยเป็นคนที่จะไม่ทนกับพฤติกรรมแบบนี้ ตอนนี้เธอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว   ปรกติแล้วในงานแลกเปลี่ยน การประลองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่ตอนนี้เหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะสู้กัน เพราะเรื่องอื่นที่ไม่ใช่แลกเปลี่ยนความรู้ คนอื่นๆเริ่มหันมามองทางพวกเขากันหมด   “พี่เวยเวย งานนี้ผมขอเองก็แล้วกัน สาวงามอย่างพี่ ไม่ควรมาต่อสู้กับเด็กๆแบบนี้” หานเซิ่นยืนขึ้นมา พร้อมกับยิ้มให้หลินเวยเวย   หลินเวยเวยช็อค เธอหันไปมองหลินเฟิง แต่หลินเฟิงกลับพยักหน้า จากนั้นเธอก็กลับไปนั่งบนโซฟาและพูด “เซิ่นเซิ่นน้อย งั้นฉันจะรอดูฝีมือของนาย”   เหตุผลที่หลินเวยเวยจะสู้แทนก็เพราะเธอเห็นท่าทางของเสวียอี้หยางเหมือนจะเอาจริง เธอดูออกว่าเขาไม่พอใจเพราะความเป็นเพื่อนระหว่างหานเซิ่นกับหลินเฟิง ไม่งั้นเธอไม่มีทางช่วยคนที่พึ่งจะพบกัน แต่การที่หานเซิ่นยืนขึ้นมาและขอสู้เอง ทำให้เธอประหลาดใจ   จีเหยียนหรันรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที ถ้าดูจากสถานะของหานเซิ่นและเสวียอี้หยาง แม้หานเซิ่นจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมาก แต่ถ้าจะต้องสู้กับคนที่เป็นหัวกระทิของตระกูลเสวีย เธอกลัวว่าหานเซิ่นจะต้องแพ้   แม้ตระกูลเสวียจะไม่ได้เป็นตระกูลที่ใหญ่หรือมีชื่อเสียง แต่พวกเขาก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติและความภาคภูมิ พวกเขาค่อนข้างหยิ่งและเชื่อมั่นในตัวเอง คนจากตระกูลเสวียทุกคนจะแข็งแกร่ง เพราะพวกเขามีวิชาลับที่ร้ายกาจที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น   ทุกวันนี้วิชาชี่กงเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ มันมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนายีน ดังนั้นตระกูลเสวียจึงเริ่มมีความสำคัญขึ้นมา ไม่อย่างงั้นแล้วคนจากตระกูลจีคงจะไม่มีทางแต่งงานกับคนตระกูลเสวีย   หลังจากที่ได้ฟังการบรรยายของเสวียอี้หยาง ทุกคนต่างก็รู้ว่าวิชาชี่กงของเขาจะต้องแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน   “เฟิงเฟิงน้อย เซิ่นเซิ่นน้อยจะเอาสู้เขาได้จริงๆหรอ?” หลินเวยเวยแค่ดูก็รู้แล้วว่าเสวียอี้หยางนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก แต่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหานเซิ่นเลย   หลินเฟิงตอบแบบสบายๆ “ผมไม่รู้ แต่ถ้าสู้กับคนระดับเดียวกัน เขาไม่เคยแพ้”   หลังจากที่ได้ยินที่หลินเฟิงพูด ไม่เพียงแค่หลินเวยเวยที่ประหลาดใจ คนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ช็อค พวกเขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะมั่นใจในตัวหานเซิ่นมากขนาดนี้ มันทำให้พวกเขาต้องมองหานเซิ่นใหม่   ในตอนแรกพวกเขารู้แค่ว่าหานเซิ่นเป็นแฟนของจีเหยียนหรัน แถมเขาไม่ได้มาจากตระกูลสืบทอดชี่กง ถึงจะเป็นเพื่อนกับหลิเฟิงก็ไม่มีใครคิดจริงจังเกี่ยวกับเขา   ไม่มีใครคิดว่าหานเซิ่นจะเป็นคู่ต่อสู้กับเสวียอี้หยางได้ ถึงจะไม่เคยมีใครเห็นเสวียอี้หยางต่อสู้มาก่อน แต่เขามาจากตระกูลเสวีย วิชาชี่กงของเขาจะต้องร้ายกาจอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่การที่หลินเฟิงแสดงความมั่นใจเกี่ยวกับหาเนซิ่น ทำให้ทุกคนเริ่มอยากจะเห็นเขาสู้แล้ว ทุกคนอยากรู้ว่าเขามีดีอะไร   หานเซิ่นและเสวียอี้หยางเดินขึ้นไปบนเวที เมื่อหานเซิ่นเดินขึ้นมา เขาก็ดูสงบเยือกเย็นมาก เขามองเสวียอี้หยางตาไม่กระพริบ หานเซิ่นผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจคำพูดของคนอื่นๆ มันยากมากที่เขาจะโกรธเพียงเพราะคำพูดของเสวียอี้หยาง แต่การที่เขายอมขึ้นมาสู้ก็เพราะเขาต้องการเห็นว่าเสวียอี้หยางจะมีวิชากายหยกเหมือนกับเขารึป่าว และเขาต้องการจะดูให้แน่ใจว่าวิชากายหยกของเขาจะแตกต่างจากวิชากายหยกของคนในตระกูลเสวียรึเปล่า   ถ้าทุกคนรู้เรื่องที่เขาฝึกวิชากายหยก เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูกับตระกูลเสวียอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น เขาจะต้องศึกษาคู่ต่อสู้ให้ดีซะก่อน   เสวียอี้หยางยืนอยู่ตรงข้ามกับหานเซิ่น แววตาของเขาเยือกเย็นมาก ผิวของเขาขาวราวกับน้ำแข็ง ตอนนี้มีไอเย็นกำลังไหลออกมาจากตัวเขา เขาดูเหมือนกับปีศาจน้ำแข็ง แค่บรรยายกาศรอบๆตัวก็ทำให้คนที่จ้องมองเขาต้องรู้สึกกลัวแล้ว   คนจำนวนมากที่กำลังยืนรอดูการต่อสู้ขยับถอยหลังออกมา พวกเขาคิดว่าควรอยู่ห่างๆเสวียอี้หยางไว้จะปลอดภัยกว่า จากนั้นก็มีใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “นี่จะต้องเป็นวิชากายหยกแน่ วิชาที่ลือกันว่าถูกดัดแปลงมาจากคัมภีร์เหมันต์ของตระกูลเสวีย มันคือวิชาลับสุดยอดที่แทบไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน มันทรงพลังยิ่งกว่าวิชาชี่กงของทุกตระกูล”     Facebook Page : SGG ตอนนี้กลุ่มลับถึงตอน 1555 แล้วครับ

Super God Gene – ตอนที่ 541 พี่เวยเวย
Super God Gene – ตอนที่ 541 พี่เวยเวย

  หานเซิ่นทนไม่ไหวจนต้องเริ่มฝึกศาสตร์ตงเสวียนซะตอนนี้ เลือดในร่างกายของเขากำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง หลังจากที่เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างได้ 36 รอบ หานเซิ่นก็รู้สึกว่าน้ำหนักตัวของเขาก็แทบจะหายไปเลย ตอนนี้ตัวของเขาเบาราวกับขนนก หานเซิ่นรู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาดูมีชีวิตชีวามาก การเผาผลาญพลังงานในร่างกายของเขาดีขึ้น ตอนนี้ร่างกายของเขามีกลิ่นหอมสดชื่อ เหมือนกับกลิ่นของหญ้าอ่อนที่ลอยไปตามลม   “เฮ้ นายใช้น้ำหอมด้วยหรอ?” จีเหยียนหรันที่นั่งข้างๆหันมามองหานเซิ่น เธอลองสูดดมกลิ่นใกล้ๆตัวหานเซิ่นดู ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่ามันเป็นกลิ่นจากตัวเขาแน่   “นี่มันเป็นที่สาธารณะ! รอให้พวกเรากลับไปถึงห้องก่อน จากนั้นเธอจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า” เมื่อเห็นจีเหยียนหรันเข้าดมใกล้ๆ ทำให้หานเซิ่นต้องรีบพูด   “ไปตายซะ” จีเหยียนหรันหน้าเเดง เธอหยิกเอวของหานเซิ่น แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถปิดกั้นความสงสัยได้ เธอยังคงดมกลิ่นต่อไป “น้ำหอมนี่กลิ่นหอมดีมาก นายใช้ยี่ห้ออะไร? ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน?”   “ฉันไม่ได้ใช้น้ำหอม” หานเซิ่นพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว เนื่องจากเขาฝึกศาสตร์ตงเสวียนอยู่ ทำให้เซลล์ในร่างกายมีชีวิตชีวามากจนส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมา   “เป็นไปไม่ได้! จมูกของฉันไม่เคยพลาด นายต้องใช้น้ำหอมแน่!” จีเหยียนหรันไม่เชื่อ   “มันไม่ใช่น้ำหอม แต่มันเป็นกลิ่นธรรมชาติของฉัน” หานเซิ่นกระพริบตาขณะพูด   “นายเป็นผู้ชาย ทำไมถึงได้ใช้น้ำหอมหรูหราแบบนี้? บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่านายใช้ยี่ห้อไหน?” จีเหยียนหรันยังไงก็ไม่เชื่อหานเซิ่น   “มันไม่ใช่น้ำหอมจริงๆ นี่เป็นกลิ่นจากตัวฉันเอง ถ้าเธอไม่เชื่อคืนนี้ก็ลองมาที่ห้องฉันดู..” ก่อนที่หานเซิ่นจะพูดจบประโยค จีเหยียนหรันก็หยิกเขาอีกครั้ง   หลังจากการบรรยายจบลง ทุกคนในหอประชุมต่างก็ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน เลยไม่มีใครสังเกตเห็นหานเซิ่นกับจีเหยียนหรัน   “หลินเฟิงมานั่งกับพวกเราสิ” เสวียอี้หยางยิ้ม พร้อมกับเรียกหลินเฟิงมานั่งร่วมโต๊ะ   เมื่อการบรรยายจบลง ทุกคนก็จะมีนั่งแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อ แต่เนื่องจากที่นี่มีคนจำนวนมากเกินไป ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คนทุกคนจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ โดยปรกติคนที่อยู่ในระดับเดียวกันก็มักจะจับกลุ่มพูดคุยกัน   แม้ตระกูลเสวียจะเป็นตระกูลที่มีความเชื่อมั่นใจตัวเอง และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคนนอก แต่หลินเฟิงถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นเดียวกัน วิชาชี่กงที่หลินเฟิงขึ้นไปพูดนั้นได้รับคำชมมากที่สุด แม้แต่เสวียอี้หยางที่มักจะดูถูกคนอื่น ยังเห็นความสำคัญในตัวเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ชวนหลินเฟิงมานั่งด้วย   “ใช่หลินเฟิง นายมานั่งกับพวกเราดีกว่า” จีชิงชิวควงแขนกับเสวียอี้หยาง ขณะที่พูด   โดยปรกติแล้วคนอย่างจีชิงชิวนั้นยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้ามานั่งร่วมวงกับคนที่ได้ขึ้นไปพูดบนเวที แต่ในงานนี้ไม่ได้มีกฎที่เคร่งครัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเธอก็เป็นแฟนของเสวียอี้หยาง ทำให้เธอสามารถเข้าร่วมได้   จีชิงชิวรู้สึกมีความสุขมากที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับคนหลักของ 4 ตระกูลที่จะมีแต่คนหนุ่มสาวที่มีอนาคตสดใส   “ฉันต้องขอโทษด้วย เพื่อนเก่าฉันกำลังรออยู่ ฉันคงจะต้องเข้าไปทักทายเขาหน่อย เอาไว้โอกาสหน้า” หลินเฟิงปฏิเสธเสวียอี้หยางและจีชิงชิว   สีหน้าของเสวียอี้หยางเปลี่ยนไปทันที ตระกูลเสวียเป็นตระกูลที่ภูมิใจในตัวเองสูง เขาอุส่าชวนด้วยตัวเองแต่กับถูกหลินเฟิงปฏิเสธ มันทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก   หลินเฟิงไม่ได้สนใจท่าทีของเสวียอี้หยาง เขาหันไปและเดินทางอื่นทันที   ตอนนี้หลายๆคนกำลังจับตามองหลินเฟิงกันอยู่ พวกเขาต่างก็อยากจะเข้าไปร่วมวงกับหลินเฟิงกันทั้งนั้น ฝีมือของหลินเฟิงถือว่าโดดเด่น แถมของยังเคยเป็นผู้ถูกเลือกอันดับ 1 เขาคือหนึ่งในคนที่น่าจับตามองที่สุดในบรรดา 4 ตระกูล แม้แต่เสวียอี้หยางก็ยังไม่สามารถเทียบกับเขาได้   หลายคนประหลาดใจที่เห็นว่าหลินเฟิงไม่ได้เข้าร่วมวงกับเสวียอี้หยาง และไม่นานพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้เข้าร่วมกับวงไหนเลย   ภายใต้สายตาที่อยากรู้อยากเห็นของทุกๆคน หลินเฟิงกำลังเดินไปนั่งข้างๆชายหนุ่มที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา พวกเขา 2 คนพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ พวกเขาแทบไม่ต้องเสียเวลาทักทายกันเลย เหมือนกับว่าพวกเขาจะค่อนข้างสนิทกัน ทำให้ใครหลายๆคนต้องช็อค ไม่มีใครรู้ว่าคนที่นั่งคุยกับหลินเฟิงอยู่เป็นใคร   เสวียอี้หยางและจีชิงชิวเองก็เห็นเช่นเดียวกัน พวกเขามองไป และพบว่าคนที่นั่งคุยอยู่กับหลินเฟิงก็คือ หานเซิ่น   ในตอนนั้นทั่วทั้งหอประชุมก็เริ่มส่งเสียงซุบซิบกันเกี่ยวกับผู้ชายอีกคนที่กำลังนั่งคุยกับหลินเฟิง แต่มีหลายๆคนจำจีเหยียนหรันได้ แม้เธอจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ของตระกูล แต่เนื่องจากเธออยู่ในตระกูลใหญ่ ทำให้เธอได้เข้าร่วมงานประเภทนี้ค่อนข้างบ่อย ทุกคนเลยจำเธอได้   แต่เท่าที่ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะไม่ได้ไปเพื่อคุยกับจีเหยียนหรัน แต่เป็นคนที่อยู่ข้างๆจีเหยียนหรัน ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร   หลังจากซุบซิบกันอยู่สักพัก พวกเขาก็รู้ว่าคนนั้นก็คือแฟนของจีเหยียนหรัน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังของเขา   “ฉันไม่คิดว่าจะมาเจอนายที่นี่” หลินเฟิงยิ้ม เขาสังเกตเห็นหานเซิ่นมานานแล้ว แต่เขาต้องรอจนกระทั่งการบรรยายจบลง เขาจึงเดินมาทักทายหานเซิ่น   “ฉันก็เหมือนกัน” หานเซิ่นรินไวน์ให้กับหลินเฟิง การรินไวน์ของหานเซิ่นเป็นการรินแบบธรรมดาๆ ซึ่งโดยปรกติจะต้องมีเทคนิคในการริน   หลินเฟิงไม่ได้สนใจเรื่องเล็กแค่นี้ เขารับแก้วไวน์มา จากนั้นเขาก็จิบมันทันที พวกเขาทั้ง 2 คนเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง   แม้แต่จีเหยียนหรันก็ยังประหลาดใจที่เห็นหานเซิ่นดูสนิทกับหลินเฟิงมาก เธอไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันยังไง เธอคิดว่าเขาจะรู้จักแค่หวังเหมียนเหมียนซะอีก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มาร่วมงาน   หลินเฟิงและหานเซิ่นคุยกันอยู่สักพัก แต่ไม่นานเท่าไหร่ เสวียอี้หยางและจีชิงชิวก็เดินเข้ามา จีชิงชิวยิ้มและถาม “เหยียนหรัน เธอไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าพวกเราจะมาร่วมวงด้วย?”   “ชิงชิว เธอมานั่งตรงนี้เลยก็ได้” แม้จีเหยียนหรันจะไม่ค่อยชอบใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกพี่ลูกน้องเธอ แต่เธอก็ไม่อยากจะปฏิเสธ   พวกเขาทั้ง 2 คนนั่งลง ม่านตาสีดำของเสวียอี้หยางเปล่งประกาย เขามองที่หานเซิ่น จากนั้นเขาก็พูด “หลินเฟิง นี่เป็นเพื่อนเก่าที่นายพูดถึงหรอ?”   หลินเฟิงพยักหน้า แต่เขาไม่ได้ตอบอะไร “เฟิงเฟิงน้อย คนพวกนี้เป็นเพื่อนของนายหรอ?” มีคนอีกคนปรากฏตัวมาโดยไม่ได้รับเชิญ เธอเดินมานั่งข้างๆหลินเฟิง จากนั้นเธอก็เอาแขนมากอดคอของหลินเฟิง   หานเซิ่นมองคนที่เรียกหลินเฟิงว่า “เฟิงเฟิงน้อย ” และพบว่าคนคนนั้นก็คือ หลินเวยเวย คนที่บรรยายเกี่ยวกับวิชาโลกที่ 3   หลินเวยเวยเป็นคนที่สง่างามอย่างไม่น่าเชื่อ เธอดูมีออร่ามาก แม้เธอจะจงใจกดมันไว้ก็ตาม แต่หานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่จากตัวของเธอ   หลินเฟิงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พี่ครับ นี่เพื่อนของผมเอง หานเซิ่น”   เธอไม่รอให้หลินเฟิงแนะนำหานเซิ่น เธอยื่นมือไปหาหานเซิ่นพร้อมกับพูด “ฉันคือพี่สาวคนโตของหลินเฟิง หลินเวยเวย นายจะเรียนฉันว่าพี่เวยเวยก็ได้”   หานเซิ่นเห็นสีหน้าของหลินเฟิงดูจะเซงๆ หลังจากพี่ของเขาปรากฏตัว แต่หานเซิ่นก็ยังยื่นมือออกไปจับมือทักทายกับหลินเวยเวย พร้อมกับพูด “สวัสดีครับ พี่เวยเวย”   ตอนนี้หน้าผากของหลินเฟิงเต็มไปด้วยรอยย่น แต่หลินเวยเวยกับดูจะมีความสุขมากที่ได้เห็นเขาในสภาพนั้น เธอพูด “เฟิงเฟิงน้อย เพื่อนของนายดูน่าสนใจกว่านายตั้งเยอะ”   “พี่เวยเวยครับ นี่แฟนของผมเอง จีเหยียนหรัน เหยียนหรันรีบมาทักทายพี่เวยเวย” หานเซิ่นยังไม่เคยเห็นหลินเฟิงในสภาพนี่มาก่อน ทำให้เขารู้สึกนึกสนุกขึ้นมา  

Super God Gene – ตอนที่ 540 เรียนรู้ศาสตร์ตงเสวียน
Super God Gene – ตอนที่ 540 เรียนรู้ศาสตร์ตงเสวียน

  หานเซิ่นเฝ้าสังเกตเสวียอี้หยางอย่างระมัดระวัง แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเสวียอี้หยางได้เรียนวิชากายหยกมารึเปล่า ผิวของเขาก็ดูเรียบเนียนดี แต่ถ้าจะดูแค่ความเรียบเนียนของผิว คนอื่นๆที่มาร่วมงานก็ล้วนแล้วแต่มีผิวพรรณที่ดีกันทั้งนั้น   มันเหมือนกับว่าใครก็ตามที่ฝึกวิชาชี่กงก็จะมีผิวที่ดี หานเซิ่นรู้สึกโล่อก ยังไงเขาก็คงไม่เป็นที่ผิดสังเกตอย่างแน่นอน   หานเซิ่นต้องการจะถามเกี่ยวกับตระกูลเสวียมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ถาม การพูดบนเวทีก็เริ่มซะก่อน ทุกคนเงียบกันหมด หานเซิ่นต้องกลืนคำถามลงคอไปก่อน และเปลี่ยนไปตั้งใจฟังบนเวทีแทน   คนที่พูดคนแรกคือผู้หญิงที่ชื่อว่า หลินเวยเวย หานเซิ่นไม่รู้ว่าเธออายุเท่าไหร่ ดูๆแล้วเธอก็น่าจะอายุไม่น้อย แต่ใบหน้าที่งดงามของเธอ ทำให้หานเซิ่นยากที่จะประมานอายุ   ผิวของเธอเรียบเนียนเหมือนกับหยก แม้แต้เส้นผมของเธอก็ดูเป็นประกายเงางาม   หัวข้อเรื่องที่เธอกำลังพูดคือวิชาโลกที่ 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาชี่กงโบราณ มันดูเป็นการพูดที่ยอดเยี่ยม เธอขึ้นไปพูดบนเวทีด้วยความรู้ความเข้าใจ และเธอก็ใส่ความเห็นของตัวเองลงไปด้วย   หานเซิ่นยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาโลกที่ 3 มาก่อน แต่หลังจากที่เขาได้ฟังเธอบรรยายแล้ว เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก   เหตุผลที่หานเซิ่นยังอ่านคัมภีร์ตงเสวียนไม่เข้าใจก็เพราะเขายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาโบราณ ทำให้เขาไม่สามารถตีความหมายในคัมภีร์ได้ และยังมีหลายส่วนที่เขียนไว้ด้วยคำศัพท์เฉพาะทาง ทำให้ยากที่จะอ่าน   โชคดีที่การบรรยายของหลินเวยเวยเป็นอะไรที่ฟังแล้วเข้าใจง่ายมาก หลังจากที่ฟังแล้ว หานเซิ่นก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจคัมภีร์ตงเสวียนมากขึ้น เขาได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของเธอ ตอนนี้หานเซิ่นถึงกับต้องเงี่ยหูฟัง เขากระตือรือร้นที่จะจับทุกคำพูดของเธอ   การพูดบนเวทีไม่เหมือนกับสิ่งที่หานเซิ่นจิตนาการไว้ในตอนแรก จีเหยียนหรันบอกเขาว่าวิชาชี่กงมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และสืบต่อกันมาถึง 7 ราชวงศ์ จนมาถึงราชวงศ์ซินก็ไม่มีใครรู้ว่าชี่กงหายสืบสูญไปตอนไหน   หลังจากที่มีการค้นพบก็อตแซงชัวรี่ วิชาชี่กงก็กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง   เนื่องจากมันคือวิชาโบราณที่เหมือนกับศาสตร์ตงเสวียน เนื้อหามันจึงเข้าใจได้ยาก หานเซิ่นคิดว่าวิชาชี่กงที่คนอื่นๆจะขึ้นมาพูดต่อไปก็น่าจะยากพอๆกัน   หลังจากได้ฟังการบรรยาย เขาก็พบว่าวิชาโลกที่ 3 ที่หลินเวยเวยพูดมานั้นถูกแปลจากภาษาโบราณมาเป็นภาษาทั่วไปของสหพันธ์ดวงดาวเรียบร้อยแล้ว แถมมันยังถูกดัดแปลงให้เข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ด้วย แม้แต่คนที่ไม่รู้ภาษาโบราณก็สามารถเข้าใจได้หลังจากที่ฟังเธอพูด   แม้หานเซิ่นจะไม่เคยเห็นวิชาโลกที่ 3 แต่หลังจากที่เขาได้ฟังหลินเวยเวยพูดเกี่ยวกับวิชาชี่กง มันก็เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมหาศาล มันดีกว่าการไปนั่งเรียกภาษาโบราณ   หานเซิ่นตั้งใจฟังการพูดอย่างมาก ตามที่หลินเวยเวยพูด วิชาชี่กงถือว่าเป็นวิชาไฮเปอร์จีโนอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมันไม่เหมือนกับวิชาไฮเปอร์จีโนทั่วๆไป มันถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของยีนในร่างกาย มันคือวิชาไฮเปอร์จีโนที่สามารถดูดซับพลังของจักรวาลได้   หัวใจหลักของวิชาชี่กงก็คือการทำให้ร่างกายของมนุษย์สามารถดูดซับพลังจากจักรวาลได้ ซึ่งมันจะทำให้ยีนแข็งแกร่งขึ้นได้โดยตรง   ตามทฤษฎียุคใหม่ มนุษย์จะต้องมีระดับความแข็งแกร่งเกิน 300 และได้รับสถานะสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ ถึงจะสามารถใช้วิชาชี่กงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อถึงตอนนั้นชี่กงจะสามารถทะลวงโครงสร้างของยีนแต่ละยีนในร่างกายมนุษย์   ชี่กงมีประโยชน์ในทางพันธุศาสตร์ ซึ่งมันจะเป็นตัวช่วยมนุษย์ในการปลดล็อคยีน การจะไปถึงสถานะสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ มนุษย์จะต้องปลอดล็อคยีนของตัวเองให้ได้ก่อน ซึ่งถ้ามนุษย์คนไหนสามารถปลดล็อคยีนได้แล้ว ยีนของคนคนนั้นก็จะวิวัฒนาการไปอย่างก้าวกระโดด   แต่วิชาชี่กงบางวิชา ผู้ฝึกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิก่อนที่จะฝึก พวกเขาจะสามารถปลดล็อคยีนได้เช่นกัน แต่ก็มีคนน้อยมากที่สามารถทำแบบนั้นได้ คนพวกนั้นจะต้องมีพรสวรรค์จริงๆ   แม้ผู้ฝึกจะไม่สามารถปลดล็อคยีนได้ก่อนที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิก็ตาม แต่การฝึกวิชาชี่กงก็จะช่วยให้ยีนของคนคนนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ และหลังจากที่สามารถปลดล็อคยีนได้แล้ว ยีนของคนนั้นก็จะพัฒนาไปมากกว่าคนอื่นๆ   หลังจากที่หลินเวยเวยพูดสรุปเกี่ยวกับวิชาโลกที่ 3 หานเซิ่นก็กระตือรือร้นอยากที่จะฟังต่ออีก   จีเหยียนหรันสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นตั้งใจฟังมาก เธอถาม “นายเคยเรียนโลกที่ 3 ด้วยหรอ?”   “ไม่” หานเซิ่นตอบ   จีเหยียนหรันเองก็คิดว่าเขาไม่น่าจะได้เรียนมันมาก่อน เพราะวิชาโลกที่ 3 เป็นวิชาชี่กงลับเฉพาะ 4 ตระกูล เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ แต่ทำไมเขาถึงได้ดูสนใจนัก?   หลังจากที่หลินเวยเวยพูดจบ มันก็ถึงคิวของเสวียอี้หยางที่จะต้องขึ้นไปพูดบ้าง เขาขึ้นไปบนเวทีและก็เริ่มพูดเกี่ยวกับวิชาหัวใจหยก เนื้อหาที่เขาพูดมันเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และก็ระบบทางพันธุศาสตร์ หานเซิ่นสามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่างหลังจากที่เขาฟัง   หัวใจหยกเป็นสิ่งที่หานเซิ่นค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากที่ฟังเสวียอี้หยางพูด แม้หานเซิ่นจะไม่ได้เข้าใจมันทั้งหมด แต่เขาระดับความรู้ความเข้าใจของเขาก็พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ   หานเซิ่นไม่คาดคิดว่างานแลกเปลี่ยนจะมีประโยชน์ต่อเขาขนาดนี้ คำพูดของพวกเขาแต่ละคน ทำให้เนื้อหาในคัมภีร์ตงเสวียนไหลเข้ามาในหัวของหานเซิ่น มีหลายส่วนที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจมันแล้ว   หัวใจของเขาเต้นรัว หานเซิ่นอยากจะฝึกศาสตร์ตงเสวียนซะตอนนี้เลย แต่เขาก็ต้องอดทน และตั้งใจฟังทุกคำพูดของคนที่ขึ้นไปพูดบนเวที เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจศาสตร์ตงเสวียนมากขึ้น   คนที่ขึ้นไปพูดบนเวทีในแต่ละวันจะมีทั้งหมด 13 คนจาก 4 ตระกูล ซึ่งงานจะจัดเป็นเวลา 3 วัน นั่นหมายความว่าจะมีวิชาชี่กงทั้งหมด 39 วิชาให้เรียนรู้   โชคร้าย คนที่ขึ้นไปพูดส่วนมากยังฝึกได้ไม่ถึงขั้น ทำให้พวกเขาพูดเกี่ยวกับความเห็นของตัวเองมากกว่าเนื้อหาของดั่งเดิม ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่หานเซิ่นจะเรียนรู้ได้ทั้งหมด แต่กระนั้นความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับวิชาชี่กงก็ทำให้หานเซิ่นประทับใจมากแล้ว   แม้แต่จีเหยียนหรันก็ยังรู้สึกแปลกใจที่เห็นหานเซิ่นสนใจฟังมากขนาดนี้ เธอรู้สึกมีความสุขมาก เพราะยิ่งหานเซิ่นเข้าใจหรือสนใจวิชาชี่กงมากเท่าไหร่ ในอนาคตมันก็จะง่ายเวลาที่เขาต้องฝึกวิชาชี่กง   3 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หานเซิ่นรู้สึกว่ามันสั้นเกินไป แต่เขาก็ได้ความรู้มามากพอสมควร   หลังจากดูคัมภีร์ตงเสวียนอีกที เขาก็สังเกตว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการฟัง เป็นหลักพื้นฐานของศาสตร์ตงเสวียน แม้มันจะเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของศาสตร์ตงเสวียนก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หานเซิ่นเข้าใจหลักของตงเสวียนได้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะต้องเริ่มฝึกยังไง แต่มันก็ยังมีอีกหลายอย่างที่หานเซิ่นไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าจะไปถามใคร   ‘ศาสตร์ตงเสวียน ในที่สุดเราก็จะได้เริ่มฝึกมันจริงๆจังๆสักที แม้ตอนนี้เราน่าจะฝึกได้แค่พื้นฐาน แต่ตามที่พวกเขาพูด เราก็น่าจะฝึกจนถึงขั้นปลดล็อคยีนได้แล้ว สิ่งเดียวที่ยังไม่รู้ก็คือ มันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะถึงขั้นปลดล็อคยีนได้’ หานเซิ่นตื่นเต้นมาก หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุด   เป็นธรรมดาที่หานเซิ่นจะคิดว่าการฝึกศาสตร์ตงเสวียนจะต้องยาก เพราะหลังจากที่เขาฟังหลินเวยเวยพูดเกี่ยวกับวิชาชี่กงที่เธอฝึก ซึ่งมันสามารถปลดล็อคยีนได้ 3-4 ขั้น แต่ศาสตร์ตงเสวียนสามารถปลดได้ถึง 10 ขั้น ความแตกต่างระหว่าง 2 วิชานี้มีค่อนข้างมาก ซึ่งเวลาที่จะต้องใช้ในการฝึกมันก็จะต้องสูงขึ้นด้วย  

Super God Gene – ตอนที่ 539 คัมภีร์เหมันต์
Super God Gene – ตอนที่ 539 คัมภีร์เหมันต์

  งานแลกเปลี่ยนถูกจัดขึ้นที่หอประชุมขนาดใหญ่ ในตอนที่หานเซิ่นและจีเหยียนหรันมาถึง พวกคนหนุ่มสาวหลายคนก็มาถึงกันก่อนแล้ว   หานเซิ่นและจีเหยียนหรันไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไหร่นัก จีเหยียนหรันไม่ใช่ทาญาติตระกูจีคนเดียวที่มาร่วมงาน ยิ่งกว่านั้นเธอก็ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงหรือพรสวรรค์ในตระกูล   คนจากตระกูลจีบางคนสังเกตเห็นเธอ แต่พวกเขาก็เพียงแค่พูดทักทาย ขณะที่พวกเขาทักทายจีเหยีนหรัน พวกเขาก็มองหานเซิ่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น   จีเหยียนหรันแนะนำหานเซิ่นให้พวกเขารู้จัก ถึงเธอจะยังไม่เคยประกาศเรื่องของหานเซิ่นให้ทุกคนในตระกูลรู้ แต่ครอบครัวของเธอก็รู้เรื่องของหานเซิ่นหมดแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่จีเหยียนหรันพาหานเซิ่นมางานนี้ด้วย   ตอนแรกหานเซิ่นคิดว่านี่คงจะเป็นแค่งานแลกเปลี่ยนที่จัดแบบเรียบง่าย ระหว่างตระกูลจี หลิน หวังและเสวีย ผู้เข้าร่วมก็ไม่น่าจะเกิน 100-200 คน แต่ทว่าผู้คนที่อยู่ในงาน มันเหนือความคาดหมายของเขาหานเซิ่น เพราะตอนนี้มีผู้เข้าร่วมงานเป็นพันๆคน   “จี หลิน หวังเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่และมีสมาชิกมากที่สุด นายสามารถเจอพวกเขาได้ทุกซอกทุกมุมของสหพันธ์ดวงดาว ถึงจะเอาแค่คนที่อายุน้อยกว่า 40 มาร่วมงาน แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าหอประชุมแห่งนี้จะพอจุทุกคนรึเปล่า” จีเหยียนหรันเห็นว่าหานเซิ่นกำลังช็อคกับจำนวนคน เธอเลยระบาย   “แล้วเสวียไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ด้วยหรอ?” หัวใจของหานเซิ่นเต้นไม่เป็นจังหวะในตอนที่เขาถามคำถาม   “ตระกูลเสวียอยู่กันอย่างสันโดษ พวกเขามีคนไม่มาก และพวกเขาก็ไม่รับลูกศิษย์เข้าตระกูลด้วย วิชาชี่กงที่ตระกูลเสวียสืบทอดนั้นร้ายกาจที่สุดในบรรดา 4 ตระกูล”   หานเซิ่นต้องการจะถามเกี่ยวกับตระกูลเสวียเพิ่มเติม แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามต่อก็มีใครบางคนมาพูดกับจีเหยียนหรันซะก่อน   หานเซิ่นมองไปรอบๆ และเห็นว่าที่โต๊ะข้างๆเวทีมีจำนวนมากเริ่มไปนั่งจับจองกันแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหลินเฟิงรวมอยู่ด้วย   “เหยียนหรัน คนนี้จะต้องเป็นแฟนของเธอใช่ไหม?” ผู้หญิงอายุพอๆกับจีเหยียนหรันเดินเข้ามา เธอมองมาที่หานเซิ่นขณะพูด   ดูเหมือนว่ายีนของตระกูลจีจะยอดเยี่ยมจริงๆ แทบทุกคนในตระกูลจะมีรูปร่างหน้าตาดี ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น จริงๆแล้วเธอค่อนข้างสวย แต่เธอก็ไม่ได้ดูมีออร่าเท่ากับจีเหยียนหรัน   ผู้หญิงคนนี่ควงชายหนุ่มอีกคนมาด้วย ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอ   “ใช่ ชิงชิว” จีเหยียนหรันพูดความจริงไป การที่เธอพาหานเซิ่นมาที่นี่ก็เพื่อเปิดตัวให้คนอื่นได้รู้จักอยู่แล้ว   ดูเหมือนว่าจีชิงชิวจะแค่ถามตามมารยาท เธอไม่ได้สนใจหานเซิ่นเลย ก่อนที่จีเหยียนหรันจะได้แนะนำหานเซิ่น เธอก็ชิงแนะนำชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเธอเสียก่อน “เหยียนหรัน นี่เป็นแฟนหนุ่มของฉันเอง เสวียอี้หยาง วันนี้เขามาอยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนตระกูลเสวีย”   ขณะที่จีชิงชิวพูด ทั้งคิ้วและใบหน้าของเธอก็เชิดขึ้น ดูเหมือนเธอจะเข้ามาทักจีเหยียนหรันก็เพื่อโอ้อวดแฟนหนุ่มของเธอ   จีเหยียนหรันทักทายเสวียอี้หยางอย่างสุภาพ ขณะที่ตอนนี้หัวใจของหานเซิ่นเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเห็นเสวียอี้หยาง หานเซิ่นก็สังเกตเขาอย่างละเอียด และพยายามเปลี่ยนเทียบเขากับเสวียหลงเหยียน   ไม่นานหานเซิ่นก็ต้องผิดหวัง แม้พวกเขาจะมาจากตระกูลเดียวกัน แต่พวกเขาก็ดูไม่คล้ายกันเลย ยิ่งเวลาผ่านมานาน หานเซิ่นก็เริ่มจะลืมใบหน้าของเสวียหลงเหยียนไปแล้ว   จีเหยียนหรันพูดกับจีชิงชิวอยู่สักพัก ซึ่งจีชิงชิวเอาแต่พูดถึงแฟนของตัวเองให้จีเหยียนหรันฟัง โดยไม่ได้สนใจหานเซิ่นเลย จีเหยียนหรันรู้สึกไม่ชอบใจพฤติกรรมของจีชิงชิว เธอเลยหาข้ออ้างแยกตัวออกมา   “ลูกพี่ลูกน้องฉัน เหมือนพยายามจะเอาชนะฉันให้ได้ทุกเรื่องเลย ตอนนี้เธอก็พาแฟนหนุ่มจากตระกูลเสวียมา ดูเธอจะภูมิใจมาก” จีเหยียนหรันพูดกับหานเซิ่น   “เรื่องแบบนั้นมีอะไรน่าภูมิใจด้วยหรอ?” หานเซิ่นถาม   จีเหยียนหรันเบ้ปาก “จริงๆฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าภูมิใจหรอกนะ แต่ถ้าหนุ่มคนนั้นได้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อพูดเกี่ยวกับวิชาชี่กงของตระกูล เขาก็จะถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของ 4 ตระกูลแน่”   หลังจากนั้นจีเหยียนหรันก็พูดเกี่ยวกับพวกคนที่จะขึ้นไปพูดบนเวทีให้กับหานเซิ่นฟัง “ทุกครั้งที่งานแลกเปลี่ยนนี้จัดขึ้น แต่ละตระกูลจะเลือกคนมา 2-3 คนเพื่อขึ้นไปพูดบนเวที ใครก็ตามที่ถูกเลือกให้ขึ้นไปพูด พวกเขาจะต้องเป็นหนึ่งในความหวังของแต่ละตระกูล นายเข้าใจใช่ไหม?”   “งั้นเธอก็ควรขึ้นไปบ้างนะ” หานเซิ่นหัวเราะ   จีเหยียนหรันมองหานเซิ่นด้วยแววตาไม่พอใจ เพราะหานเซิ่นทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ “ตอนพ่อของฉันยังหนุ่มๆ เขาก็มักจะถูกเลือกให้ขึ้นไปพูดอยู่บ่อยๆ แต่ฉันไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ของตระกูล ระดับของฉันยังไม่ถึงขั้นที่จะรับเลือกให้ขึ้นไปพูดหรอก”   “ใครพูดแบบนั้นกัน? ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะบอกทุกคนเลยว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้ขึ้นไป เมื่อเธอขึ้นไปอยู่บนเวที เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เธอแค่นั่งเฉยๆก็พอ คนอื่นๆจะได้ชมความงามที่แท้จริง แล้วพวกเขาก็จะเข้าใจทุกอย่าง นี่มันน่าจะดีกว่าการขึ้นไปพูดเรื่องน่าเบื่อๆตั้งเยอะจริงไหม” ดูเหมือนว่าเทคนิคการพูดเอาใจของหานเซิ่นจะเริ่มพัฒนาขึ้น   จีเหยียนหรันหยิกเอวของหานเซิ่นทันที แต่ดูเหมือนเธอจะเขินจนตัวลอย   จีชิงชิวกับเสวียอี้หยางเดินไปเดินมาแถวนี้อยู่สักพักแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้ามาหาจีเหยีนหรัน จีชิงชิวหัวเราะและพูด “เหยียนหรัน พวกเราจะไปนั่งตรงนั้นกัน เธออยากจะมานั่งกับพวกเราไหม?”   “พวกเธอไปกัน 2 คนเถอะ ฉันกับหานเซิ่นขออยู่ตรงนี้ดีกว่า” จีเหยียนหรันยิ้ม   “จริงๆที่นั่งตรงนี้มันก็ดีนะ แต่อย่างๆน้อยพวกเราจะต้องหาที่นั่งที่มันลุกได้ง่ายๆ ที่นี่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะจะลุกจะนั่งก็ไม่สะดวก ถ้าไม่ใช่เพราะเสวียอี้หยางต้องขึ้นไปพูด ฉันก็อยากจะนั่งตรงนี้กับเธอ” จีชิงชิวพูด แต่ดูเหมือนคำพูดของเธอจะฟังดูไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่   หลัวจากนั้นจีชิงชิวก็หันมามองหานเซิ่นและถาม “โอ้ใช่ ฉันลืมถามไปเลย แฟนของเธอมาจากตระกูลไหนงั้นหรอ?”   “หานเซิ่นไม่ได้มาจากตระกูลที่สืบทอดชี่กง” จีเหยียนหรันตอบ   “โอ้” จีชิงชิวหันหน้าไปมองที่อื่น เธอเลิกสนใจหานเซิ่นในทันที จากนั้นเธอก็พูดกับจีเยียนหรันอีกสักพัก ก่อนจะควงแขนกับเสวียอี้หยางเดินไปหาที่นั่งใกล้ๆเวที   “คนเรานี่ดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ จีชิงชิวก็เป็นผู้หญิงที่สวยดีหรอก แต่นิสัยของเธอนี่ไม่ไหวจริงๆ” หานเซิ่นพูด   จีเหยียนหรันหัวเราะ “นายจะไปว่าเธอแบบนั้นก็ไม่ได้ เรื่องมันตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังเด็กๆ เธอต้องการจะแข่งกับฉันในทุกๆเรื่อง การจะหาแฟนที่ดีเลิศขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ดูไม่ออกว่าเธอต้องการจะอวดแฟนตัวเอง”   “พูดแบบนั้นแปลว่าฉันไม่ได้ดีเลิศงั้นหรอ?” หานเซิ่นพูด   “ในความคิดฉัน นายไม่ใช่แค่ดีเลิศ แต่นายคือคนที่ดีที่สุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้ว แต่กระนั้นการถูกเลือกให้ขึ้นไปพูดบนเวทีก็เป็นเรื่องที่มีเกียรติสำหรับพวกเขามาก” จีเหยียนหรันหัวเราะและพูดต่อ “ฉันจะบอกให้นะ จริงๆแล้วพวกตระกูลเสวียจะคิดว่าตัวเองดีเลิศกว่าตระกูลอื่นๆ นายไม่เห็นสายตาของเสวียอี้หยางตอนมองคนอื่นๆหรอ?”   “เนื่องจากพวกเราทั้ง 4 ตระกูลมีต้นกำเนิดมาจากสายเลือดเดียวกัน ก่อนจะแยกตัวออกมา ตระกูลเสวียทำเหมือนกับว่าพวกเขาคือตระกูลชี่กงสายดั่งเดิม พวกเขาเป็นตระกูลที่สืบทอดวิชาลับที่สุด พวกเขาเลยคิดว่าสายเลือของตัวเองวิเศษที่สุด” จีเหยียนหรันอธิบาย   “พวกเขามีวิชาลับอะไร?” หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว   “พวกได้รับสืบทอดคัมภีร์น้ำแข็ง” จีเหยียนหรันตอบ   หานเซิ่นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าจีเหยียนหรันจะพูดว่ากายหยกซะอีก   จีเหยียนหรันพูดต่อ “แต่คัมภีร์น้ำแข็งไม่ใช่ฝึกกันได้ง่ายๆ ตามประวัติศาสตร์มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกมันสำเร็จได้ ตอนนี้ตระกูลเสวียกำลังพยายามเปลี่ยนมันให้เป็นวิชาไฮเปอร์จีโน เพื่อที่ทุกคนในตระกูลจะได้สามารถฝึกได้ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาทำสำเร็จเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาดัดแปลงมันจนกลายเป็นวิชาไฮเปอร์จีโนที่เรียกว่ากายหยก แต่นั่นก็เป็นแค่คำบอกเล่าเท่านั้น ยังไม่มีใครเคยเห็นคนของตระกูลเสวียใช้มันมาก่อน”   หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวอีกครั้ง เขาคิด ‘งั้นเสวียหลงเหยียนก็เป็นทาญาติของตระกูลที่สืบทอดวิชาชี่กงจริงๆสินะ’  

Super God Gene – ตอนที่ 538 ชี่กง
Super God Gene – ตอนที่ 538 ชี่กง

  จีเหยียนหรันเริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานแลกเปลี่ยนที่จะจัดขึ้นให้หานเซิ่นฟังอย่างช้าๆ หลังจากฟังไปได้ไม่นานหานเซิ่นก็เข้าใจ ซึ่งมันทำให้หัวใจของเขาต้องเต้นรัว   ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เป็นเลิศที่เขาได้จากเน็ตมันค่อนข้างจำกัด ประชากรทั้งสหพันธ์ดวงดาวมีมากกว่าล้านล้านคน แต่จำนวนของคนที่เป็นผู้เป็นเลิศนั้นมีไม่ถึง 1 ล้าน ซึ่งสัดส่วนมันน้อยกว่า 1 ในล้าน   คนทั่วไปรู้ดีว่าก็อตแซงชัวรี่เขต 3 เป็นสถานที่ที่อันตรายมาก และผู้เป็นเลิศก็มีพลังที่เหนือมนุษย์มาก พวกเขาจะมีพลังที่มนุษย์ปรกติไม่สามารถมีได้ ก็อตแซงชัวรี่เขต 3 เป็นยังไง เขาธรรมดาๆไม่มีทางรู้ได้   คนส่วนมากรู้แค่ว่ามอนสเตอร์ในก็อตแซงชัวรี่เขต 3 แข็งแกร่งมากๆ และนั่นก็คือทั้งหมดที่พวกเขารู้   ส่วนข้อมูลของสหพันธ์ที่พูดถึงก็อตแซงชัวรี่เขต 3 ก็ไม่ได้เป็นข้อมูลที่ละเอียดอะไร พวกเขาให้ข้อมูลว่ามอนสเตอร์สามัญของก็อตแซงชัวรี่เขต 3 มีระดับความแข็งแกร่งอย่างน้อยๆ 300   แค่ได้รู้แค่นี้ก็ทำให้ทุกคนกลัวแล้ว มนุษย์ที่พึ่งวิวัฒนาการอย่างมากก็มีระดับความแข็งแกร่ง 30 และถ้าพวกเขาได้รับจีโนพ้อยจากก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะขึ้นไปสูงสุดได้ประมาณ 130-150   ระดับความแข็งแกร่ง 150 หาได้ยากมากๆในหมู่ผู้วิวัฒนาการ และมันก็คือขีดจำกัดของมนุษย์ยุคนี้ มีแค่คนที่มีระดับความแข็งแกร่งแถวๆ 150 เท่านั้น ถึงจะกล้าเข้าไปแช่ในบ่อแห่งการวิวัฒนาการและวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศ แต่กระนั้นหลังจากที่วิวัฒนาการระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะพอๆกับมอนสเตอร์ที่อ่อนที่สุดในก็อตแซงชัวรี่เขต 3 เท่านั้น   มันยากมากที่มนุษย์จะไปถึงขั้นนั้นได้ ดังนั้นคงไม่มีใครหวังว่าจะอยู่รอดในก็อตเเซงชัวรี่เขต 3 ได้ ยิ่งถ้าเป็นเจอกับมอนสเตอร์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง ยิ่งยากขึ้นไปอีก   แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อวิวัฒนาการก็ยังอ่อนแอกว่ามอนสเตอร์ที่อ่อนที่สุดในก็อตแซงชัวรี่เขต 3 เพราะเหตุนี้ทำให้คนส่วนมากไม่กล้าวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศ   จีเหยียนหรันบอกว่าการที่จะไปให้ได้ถึงขนาดนั้น มีทางเดียวมนุษย์จะต้องพึ่งวิชาไฮเปอร์จีโน มนุษย์ที่สามารถขึ้นไปถึงระดับความแข็งแกร่ง 300 จะถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ มีระดับเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตบนสวรรค์หรือเทียบได้กับคำว่า ‘เซียน’ ในสมัยโบราณ คนที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิจะได้รับพลังที่เหนือธรรมชาติมา พวกเขาจะสามารถสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนท้องฟ้าได้   พวกเขาสามารถดูดซับพลังจากจักรวาล พวกเขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารอีกต่อไป   มนุษย์คนใดไปถึงระดับที่สามารถควบคุมพลังของจักรวาลได้ อย่างเช่นแอนนี่ที่สามารถสั่งหรือบังคับสายฟ้าได้ ส่วนคนอื่นๆก็อาจจะมีความสามารถในการควบคุมน้ำ ไฟหรือแม้แต่เวลาและมิติ   การจะปลดปล่อยพลังแบบนั้นออกมาได้จะต้องพึ่งพาวิชาไฮเปอร์จีโน แต่มันไม่ใช่วิชาไฮเปอร์จีโนแบบทั่วๆไป   จีเหยียนหรันพูดคำที่หานเซิ่นคุ้นเคยขึ้นมา ‘ชี่กง’ มีเพียงแค่วิชาไฮเปอร์จีโนที่ดัดแปลงหรือพัฒนามาจากวิชาชี่กงเท่านั้น ที่จะสามารถใช้พลังจากจักรวาลได้   จีเหยียนหรันยังบอกอีกว่าวิชาชี่กงบางวิชา ผู้ฝึกไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้เป็นเลิศก็ได้ แม้แต่คนที่อายุน้อยๆก็สามารถใช้หรือดึงพลังจากจักรวาลได้   แต่ก่อนที่จะไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ พลังที่พวกเขาดูดซับจากจักรวาลได้นั้นจะน้อยมาก ดังนั้นวิชาที่พวกเขาฝึกจะยังใช้ได้ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าฝึกไปหลายๆปี ประสิทธิภาพในการดูดซับพลังก็จะสูงขึ้น และถ้าคนคนนั้นได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ คนคนนั้นก็จะแข็งแกร่งกว่าคนปรกติมาก   แต่มีน้อยคนมากที่จะทำได้ แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์สูงมากก็ยังใช้พลังงานจากธรรมชาติหรือจักรวาลไม่ได้ พวกเขาจะต้องรอจนกว่าจะวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศก่อน   ตระกูลจีเป็นตระกูลที่สืบทอดวิชาชี่กง แต่อย่างไรก็ตามตระกูลที่สืบทอดวิชาชี่กงมาตั้งแต่โบราณยังมีอีก 3 ตระกูล ซึ่งแต่ละตระกูลจะสืบทอดวิชาชี่กงมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน แต่ภายหลังก็ได้พัฒนาไปกันคนละทาง ทำให้วิชาที่ได้มีความแตกต่างกัน   “จี หลิน หวัง เสวีย” จีเหยียนหรันพูดชื่อตระกูลทั้ง 4 ให้หานเซิ่นฟัง ซึ่งมันทำให้หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว   การฆ่าเสวียหลงเหยียน ทำให้เขาได้วิชากายหยกมา เมื่อเขาได้รับมันมา เขาก็จับตามองตระกูลเสวียมาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่พบข้อมูลของตระกูลนี้เลย   แต่ตอนนี้อยู่ๆคำว่าเสวียก็ออกมาจากปากของจีเหยียนหรัน ทำให้สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไปทันที   “ถ้าเป็นไปได้ นายควรหาทางทำให้ระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปถึง 150 ก่อนแล้วค่อยวิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศ จำไว้ว่ายิ่งเยอะก็ยิ่งดี” จีเหยียนหรันบอกกับหานเซิ่น   “ทำไม? หลังจากที่กลายเป็นผู้เป็นเลิศแล้วจะต้องทำให้ระดับความแข็งแกร่งเกิน 300?” หานเซิ่นถาม   “300 คือระดับที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ แต่ตัวเลขนี้ก็จะแตกต่างกันออกไปตามพรสวรรค์ของแต่ละคน ถ้านายมีพรสวรรค์สูง นายก็อาจจะไม่ต้องถึง 300 ก็ได้ แต่ยังไงนายก็ควรจะสร้างฐานให้มันเยอะๆไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะหลังจากที่วิวัฒนาการเป็นผู้เป็นเลิศแล้ว นายจะไม่สามารถกลับมาเก็บจีโนพ้อยของก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้อีก ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นแล้วระดับความแข็งแกร่งของนายไม่พอจะเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ นายก็จะเอาชีวิตรอดได้ยากมาก ทำให้ระดับความแข็งแกร่งของตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากกลายเป็นผู้เป็นเลิศแล้วทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ” จีเหยียนหรันแนะนำหานเซิ่นอย่างจริงจัง   ที่จีเหยียนหรันต้องไปเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนก็เพราะว่ามันคืองานที่จัดขึ้นเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับวิชาชี่กงของทั้ง 4 ตระกูล   จีเหยียนหรันยังบอกอีกว่าที่งานแลกเปลี่ยน เขาอาจจะได้เจอกับคนที่คุ้นเคยก็ได้   “ใคร?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น   “หวังเหมียนเหมียนจากตระกูลหวัง ฉันได้ยินว่านายสนิทกับเธอมาก” จีเหยียนหรันพูดพร้อมกับยิ้ม เธอมองหานเซิ่นด้วยสายตาแปลกๆ   “เหมียนเหมียนปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นพี่ ส่วนฉันก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นน้องคนหนึ่งมันก็แค่นั้น เรื่องนี้เธอไม่รู้หรอ?” หานเซิ่นประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้ว่าหวังเหมียนเหมียนจะต้องไม่ใช่คนปรกติธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นทาญาติของตระกูลที่สืบทอดวิชาชี่กง   หานเซิ่นต้องการถามจีเหยียนหรันเกี่ยวกับตระกูลเสวียและวิชากายหยก แต่เขาก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ   “ฉันไม่คิดว่าฉันควรไปร่วมด้วยนะ งานแบบนี้เธอจะให้ฉันไปด้วยจริงๆหรอ?” หานเซิ่นพยายามลองเชิงจีเหยียนหรันว่าอยากให้เขาไปมากแค่ไหน   ถ้าเสวียนหลงเหยียนเป็นคนของตระกูลเสวียจริงๆ มันจะต้องเป็นเรื่องแน่ ถ้าคนของตระกูลเสวียรู้เรื่องที่เขาฝึกกายหยก   จีเหยียนหรันมองตาของหานเซิ่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขู่บังคับ “นายต้องไป!”   หลังจากนั้นเธอก็หน้าแดง เธอลดเสียงลงและพูด “แม้นายจะสามารถซื้อวิชาไฮเปอร์จีโนที่ดัดแปลงมาจากวิชาชี่กงจากสถาบันเซนท์ได้ แต่นั่นก็เป็นแค่วิชาชี่กงระดับต่ำ ทั้งนายและฉันควรจะไปที่งานแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้ให้มากที่สุด ในอนาคตเมื่อพวกเราแต่งงานกัน นายจะสามารถเรียนวิชาชี่กงที่สืบทอดในตระกูลฉันได้” เมื่อพูดคำว่าแต่งงานหน้าของจีเหยียนหรันก็แดง หลังพูดจบเธอก็เงียบไปเลย   “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงต้องไป” หานเซิ่นรู้ว่ายังไงสักวันเขาก็ต้องเจอกับคนตระกูลเสวีย เขาจะเลี่ยงไปตลอดไม่ได้   คนที่ไปงานแลกเปลี่ยนมีหลายคน มันยากที่พวกเขาจะสังเกตและรู้ว่าหานเซิ่นฝึกกายหยก และอย่างน้อยๆถ้าไปหานเซิ่นก็จะได้ไปดูให้รู้ว่าเสวียหลงเหยียนเป็นคนของตระกูลเสวียจริงรึเปล่า   ส่วนเรื่องวิชาชี่กงของตระกูลจี หานเซิ่นไม่ได้สนใจ เขาต้องการแค่ฝึกวิชาในคัมภีร์ตงเสวียนให้หมดก็พอ ไม่ว่าชี่กงของตระกูลจีจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นคนจากตระกูลไหนเดินทางข้ามมิติได้มาก่อน ดังนั้นศาสตร์ตงเสวียนจะต้องเป็นวิชาชี่กงที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน   จีเหยียนหรันพาหานเซิ่นไปที่งานแลกเปลี่ยน แอนนี่เองก็ตามไปด้วย แต่หลังจากที่พวกเขาไปถึงสถานที่จัดงาน แอนนี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรออยู่ข้างนอก   เหตุผลที่จีเหยีนหรันพาหานเซิ่นมาด้วยก็เพราะเธออยากจะพาเขามาเปิดตัวให้คนอื่นๆได้เห็น ตอนนี้ทุกคนในตระกูลต่างก็รู้หมดแล้วว่าเขาเป็นแฟนของเธอ และพวกเขาก็หมั่นกันแล้วด้วย   “หลินเฟิง” หานเซิ่นยังเห็นหวังเหมียนเหมียนในงานนี้ แต่เขาเจออีกคนที่รู้จัก    

Super God Gene – ตอนที่ 537 ชูร่า
Super God Gene – ตอนที่ 537 ชูร่า

  “บ้าอะไรวะเนี่ย?” หานเซิ่นช็อค เขาพยายามดิ้นร่นออกจากหนวดของแมงกะพรุน จากนั้นเขาก็เรียกวิญญาณอสูรเฟอเรทโกสพาวออกมา และก็ใช้มันฟันไปที่แมงกะพรุน   แต่ทว่ากรงเล็บเฟอเรทโกสพาวก็เข้าไปติดอยู่ด้านในตัวแมงกะพรุนเช่นเดียวกัน   หานเซิ่นเรียกวิญญาณอสูรเฟอเรทโกสพาวกลับ แมงกะพรุนตัวนี้เหมือนกับโคลน ไม่ว่าจะฟันหรือชกไปที่มันก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง   หลังจากที่หานเซิ่นเกะหนวดของแมงกะพรุนได้สำเร็จ เขาก็พยายามว่ายหนีกลับไปที่ปราสาทคริสตัลให้เร็วที่สุด แต่แมงกะพรุนก็ยังไล่ตามเขามาติดๆ ไม่นานร่างกายของหานเซิ่นก็ถูกแมงกะพรุนพันไว้หมดแล้ว มันกำลังจะเขมือบเขาเข้าไป   นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นรู้สึกสิ้นหวังและกลัวตายจริงๆ หัวใจของเขาเต้นรัว เขาพยายามคิดหาทางหนีออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นเงาใครบางคนว่ายน้ำตรงมาที่เขา   หานเซิ่นหันไปมอง และก็เห็นซีโร่กำลังว่ายน้ำมาทางนี้ หานเซิ่นประหลาดใจมาก เขาต้องการจะตะโกนบอกให้ซีโร่หนีไป แม้แต่เขาก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นซีโร่ไม่มีทางเอาชนะมันได้   ซีโร่ว่ายน้ำตรงมาหาหานเซิ่นอย่างรวดเร็ว เธอยื่นมือออกมาพยายามที่จะดันแมงกะพรุนออกไปจากตัวของหานเซิ่น   “ไม่!” หานเซิ่นกรีดร้องออกมา แต่ก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ซีโร่ถูกแมงกะพรุนจับตัวไว้แล้ว   กระแสไฟฟ้าจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างกายของหานเซิ่น ตอนนี้เขารู้สึกว่าอีกไม่นานคงจะกลายเป็นถ่านแน่   หานเซิ่นพยายามทนความเจ็บปวด เขากำลังคิดหาวิธีที่หนีออกไปและช่วยซีโร่ แต่อยู่ๆเขาก็สังเกตเห็นว่าม่านตาของซีโร่มีแสงสีม่วงแปลกๆ   ม่านตาสีดำของเขาเธอส่องแสงสีม่วงออกมา จากนั้นเส้นผมสีดำของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขาสีม่วงเล็กๆปรากฏขึ้นมาบนหัวของซีโร่ ทันใดนั้นเธอก็กลายเป็นชูร่าราชวงศ์เหมือนกับตอนที่หานเซิ่นเจอเธอครั้งแรก   ซีโร่ที่กลายเป็นชูร่าใช้มือของเธอฉีกแมงกะพรุนเป็นชิ้นๆ มอนสเตอร์ที่มีลักษณะเหมือนโคลนยังต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังอันมหาศาลของซีโร่ในร่างชูร่า   หานเซิ่นช็อค เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อซีโร่อยู่ในร่างนี้ ดูเหมือนเธอจะมีพลังมหาศาลจนยากที่เขาจะประเมินได้ แม้แต่แมงกะพรุนที่หานเซิ่นหมดปัญญาจะต่อต้านยังถูกมือเล็กๆของซีโร่ฉีกแบบง่ายๆ   ตาของซีโร่ยังคงส่องแสงสีม่วงอยู่ มือของเธอกำลังสั่น ในชั่วพริบตาเธอเอาพวกหนวดที่พันตัวหานเซิ่นอยู่ออก จากนั้นเธอก็รีบลากหานเซิ่นกลับไปที่ปราสาทคริสตัลทันที   พวกเขาทั้ง 2 คนกลับมาที่ชั้นบรรยากาศของปราสาทคริสตัลอีกครั้ง หลังจากที่ขึ้นมาได้ ซีโร่ก็นอนลงบนพื้นทันที เส้นผมสีม่วงเริ่มจางลง และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ ส่วนเขาของเธอได้หายไปเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในร่างของมนุษย์อีกครั้ง   หานเซิ่นเข้าไปดูอาการของซีโร่ทันที เขาพบว่าเธอแค่หมดสติไป หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าซีโร่ไม่ได้เป็นอะไร หานเซิ่นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก   ซีโร่หมดสติไป 2 วันเต็มๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ร่างกายของเธอก็อ่อนแอกว่าปรกติ เธอไม่อยากจะกินอะไรอีก 3-4 วัน   ‘เธอเป็นมนุษย์หรือว่าชูร่ากันแน่?’ หานเซิ่นคิด ซีโร่ดูแปลกมาก เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน จนถึงตอนนี้เขายังไม่แน่ใจเลยว่าเธอเป็นอะไรกันแน่   แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือร่างกายของซีโร่ เขาไม่แน่ใจว่าการที่เธอเปลี่ยนเป็นชูร่าจะทำให้ร่างกายของเธอได้รับความเสียหายรึเปล่า เพราะตอนนี้ร่างกายของเธอดูอ่อนแอมาก เธอดูเหมือนกับคนที่พึ่งหายจากอาการป่วย   แต่โชคดีที่อาการของเธอไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วง หานเซิ่นเอายาบำรุงให้เธอดื่ม มันเป็นยาบำรุงที่ออกแบบมาเพื่อซ่อมแซมร่างกาย มันเป็นยาบำรุงของกองทัพ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก   หลังจากเหตุการณ์แมงกะพรุน หานเซิ่นก็ไม่กล้าไปล่าในทะเลลึกคนเดียวอีก เมื่อเขาชำแหละซากของแมงกะพรุน และนำมันไปทำอาหาร เขาก็พอที่จะเข้าใจเรื่องราว   แมงกะพรุนที่หานเซิ่นคิดว่าเป็นมอนสเตอร์ระดับกลายพันธ์ จริงๆแล้วมันคือมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิ หลังจากที่กินมันหานเซิ่นก็ได้จีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิอีก 8 จีโนพ้อย   หลังจากกลับไปที่สหพันธ์ดวงดาว หานเซิ่นก็ค้นหาข้อมูลอย่างหนัก เขาต้องการจะไขปริศนาเรื่องของซีโร่ให้ได้ แต่เขาก็ไม่พบข้อมูลอะไรเลย   มนุษย์ก็คือมนุษย์ ส่วนชูร่าก็คือชูร่า แม้ลักษณะภายนอกจะดูคล้ายๆกัน แต่ทั้ง 2 ก็เป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเกิดขึ้นมาเป็นทั้งชูร่าและมนุษย์   หานเซิ่นหาข้อมูลลึกไปทางชีววิทยาของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ นักชีววิทยาพิสูจน์แล้วว่าทั้งชูร่าและมนุษย์มียีนที่แตกต่างกัน มันแตกต่างกันเกินกว่าที่จะเข้ากันได้   แม้จะพยายามทำให้ 2 เผ่าพันธุ์ผสมพันธุ์กันได้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้กำเนิดครึ่งมนุษย์ครึ่งชูร่าออกมา   ‘งั้นมันหมายความว่ายังไงกัน ตกลงซีโร่เป็นอะไรกันแน่?’ หานเซิ่นหาข้อมูลมาจำนวนมาก แต่เขาก็ยังไม่ได้ข้อสรุป และหานเซิ่นยังสงสัยเรื่องรอยสักแมว 9 ชีวิตบนหลังของซีโร่ด้วย   “เซิ่น นายมากับฉันหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นหมกมุ่นอยู่กับการหาข้อมูล จนกระทั่งจีเหยียนหรันมาเคาะประตู และก็เข้ามาห้องของเขา   “แน่นอน แต่ว่าเราจะไปที่ไหนล่ะ?” หานเซิ่นมองไปที่จีเหยียนหรันด้วยความประหลาดใจ ปรกติจีเหยียนหรันจะติดต่อหานเซิ่นผ่านทางคอม มันยากมากที่เธอจะเข้ามาในห้องของเขา   ถ้าจีเหยียนหรันมาหาเขาที่ห้องโดยตรง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้ถามเหตุผลที่เธอมา แต่เขาถามไปทันทีว่าจะให้ไปที่ไหน   จีเหยียนหรันพยายามจะพูดบางอย่าง แต่เธอก็หยุดไปก่อน “มีเรื่องที่พวกเราแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยหรอ? มีอะไรก็ลองพูดมาก่อน” หานเซิ่นกระพริบตาและถาม   จีเหยียนหรันถอนหายใจออกมา “พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปงานพบปะสังสรรค์ของตระกูล ฉันอยากให้นายไปกับฉันด้วย”   “งานพบปะสังสรรค์แบบไหนหรอ?” หานเซิ่นมองจีเหยียนหรันด้วยความสับสน หานเซิ่นเริ่มกังวลนิดๆ เหมือนว่าเธออยากจะให้เขาไปพบกับครอบครัวของเธอ แต่เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าเธอจะต้องการให้เขาไปงานแบบนี้   “มันก็อธิบายยากนะ… มันก็กึ่งๆเป็นงานพบปะสังสรรค์ ในงานนี้จะจัดให้พวกคนวัยหนุ่มสาวเหมือนกับพวกเรามาพบกัน” จีเหยียนหรันพูดอย่างช้าๆ   “มันก็เหมือนกับงานออกเดทธรรมดาใช้ไหม?” หานเซิ่นถาม   จีเหยียนหรันดูจะเคลียดกว่าปรกติ “ใช้หัวคิดหน่อย! มันใช่ไม่งานอะไรแบบนั้น! นี่เป็นงานแลกเปลี่ยน นายก็น่าจะรู้ว่าคนที่ไปอยู่ในงานจะต้องเป็น ‘บุคคลพิเศษ’ และแน่นอนว่าถ้านายไปทำความรู้จักกับพวกเขา มันก็จะเป็นผลดีในอนาคต ฉันหวังว่านายจะไปกับฉันด้วย”   “เธอจะไม่บอกฉันหน่อยหรอว่ามันเป็นแบบไหน?” หานเซิ่นถาม   จีเหยียนหรันลังเล แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจบอก “นายคงจะรู้นะว่ามนุษย์อย่างพวกเราจะมีสถานะที่เรียกว่าผู้เป็นเลิศอยู่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นจริงๆของการวิวัฒนาการ”   หานเซิ่นพยักหน้า “ฉันเคยเรียนมาบ้างตอนสมัยอยู่โรงเรียน ผู้เป็นเลิศสามารถทำเรื่องที่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์ทั่วๆไปได้ สถานะผู้เป็นเลิศเป็นจุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการทางพันธุกรรม”   “’งานแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นก็คืองานที่พวกเขาจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการวิวัฒนาการทางพันธุกรรมของพวกเขา” จีเหยียนหรันพูด   หานเซิ่นมองที่จีเหยียนหรัน เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอหมายความว่ายังไง ถ้าผู้เป็นเลิศคือจุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการของมนุษย์ในขั้นถัดไป งั้นคนที่ไปเข้าร่วมงานก็ควรจะต้องเป็นผู้เป็นเลิศเท่านั้น จีเหยียนหรันเป็นแค่ผู้วิวัฒนาการ แล้วเธอจะไปทำอะไรที่นั่น?   เหมือนจีเหยียนหรันจะรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเริ่มอธิบายแบบร่ายยาว “ตามหลักแล้วมนุษย์จะต้องไปถึงระดับผู้เป็นเลิศก่อน ถึงจะพัฒนายีนในร่างกายได้ แต่ก็มีข้อยกเว้น คนมีพรสวรรค์สูงบางคนสามารถพัฒนายีนของพวกเขาได้ก่อนที่เป็นผู้เป็นเลิศ งานแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นก็จะโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องนี้”  

Super God Gene – ตอนที่ 536 แมงกะพรุนที่ใต้ทะเลลึก
Super God Gene – ตอนที่ 536 แมงกะพรุนที่ใต้ทะเลลึก

  “ฉันแพ้แล้ว” เเบล็คก็อตพูดด้วยสีหน้าที่มืดมน ถ้าเขามีทางเลือก คนอย่างแบล็คก็อตไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้แบบนี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกกลัวมาก ถ้ายังสู้ต่อไป เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน   หานเซิ่นรู้สึกผิดหวังลึกๆ เทคนิคการสกัดกั้นของหานเซิ่นใช้ได้ผลกับวิชามีดทอร์นาโดมาก แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถหาจังหวะฆ่าแบล็คก็อตได้ ทำให้แบล็คก็อตมีโอกาสขอยอมแพ้   หานเซิ่นและคนอื่นๆยืนมองแบล็คก็อตและลูกสมุนเดินออกจากเมืองไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง หลี่ซิงหลุนโอนวิญญาณอสูรหญิงสาวหิมะกับวิญญาณอสูรโคไฟนรกให้กับหานเซิ่น   “ฝีมือของนายไม่ธรรมดาเลย ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านายจะสามารถทำให้เเบล็คก็อตคนนั้นหมดทางสู้ได้” หลี่ซิงหลุนกล่าวชมเชย   “ฝีมือของฉันก็ธรรมดาๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะเเบล็คก็อตอ่อนเองก็ได้” หานเซิ่นหัวเราะ   เสียงของหานเซิ่นดังพอที่จะทำให้เเบล็คก็อตได้ยิน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เขาไม่พูดอะไร เขาเดินออกจากเมืองไป   หลังจากการต่อสู้นี้สิ้นสุด ชื่อของหานเซิ่นก็เป็นที่รู้สึกกันทั่วทุ่งน้ำแข็ง เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างหานเซิ่นกับเเบล็คก็อตแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว   หานเซิ่นไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งฟังเรื่องที่คนเขาลื่อกัน หลังจากที่เขาได้วิญญาณอสูรหญิงสาวหิมะ เขาก็กลับไปที่ปราสาทคริสตัลทันที หลังจากนั้นเขาก็ใช้ปราสาทคริสตัลเดินทางกลับไปที่เมืองเทพธิดา เขาจำเป็นต้องกลับไปดูสถานการณ์ที่เมืองบ้าง ขณะเดียวกันเขาก็สามารถนำเนื้อที่ล่าได้จากทะเลกลับไปขายด้วย   ระหว่างทางหานเซิ่นลองใช้วิญญาณอสูรหญิงสาวหิมะดู หลังจากที่เปลี่ยนร่างแล้ว สิ่งที่หานเซิ่นรู้สึกได้ก็คือร่างกายของเขาเย็นลง ใบหน้าของเขาซีด เส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว รูปร่างของเขาดูเหมือนกับผู้หญิงมากขึ้น เมื่อเทียบกับร่างกายที่มีมัดกล้ามก่อนหน้านี้   หานเซิ่นลองทดสอบความเร็ว และพบว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงมันจะเป็นวิญญาณอสูรที่เพิ่มเฉพาะความเร็วอย่างเดียว แต่ระดับความเร็วที่มันเพิ่มก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก   ระดับความเย็นของร่างกาย ทำให้เขาสามารถใช้กายหยกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าเป็นคนธรรมดาหลังเปลี่ยนเป็นหญิงสาวหิมะแล้ว ถึงพวกเขาจะได้ประโยชน์จากความเร็วที่เพิ่มขึ้น แต่พวกเขาก็จะรู้สึกกลัวว่าอาจจะต้องแข็งตาย   หลังจากทอสอบแล้ว หานเซิ่นรู้สึกพอใจกับวิญญาณอสูรหญิงสาวหิมะมาก เขารีบให้หล่อนกินคริสตัลสีดำทันที เพื่อที่จะอัพเกรดเป็นเบอร์เซิร์ก   หลังจากกลับมาถึงเมืองแล้ว หานเซิ่นก็ส่งเนื้อให้กับหยางม่านลี่ เขาวางแผนที่จะกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้ที่สหพันธ์ดวงดาว แต่ก่อนที่เขาจะไปหยางม่านลี่ก็บอกเขาว่าช่วงนี้ซีโร่ไม่ยอมกินอะไรเลย เธอไม่ได้กินอะไรมา 3-4 วันแล้ว   “ทำไมเธอถึงไม่ยอมกิน? ที่นี่ไม่มีอาหารที่เธอชอบหรอ?” เมื่อเขามาพบซีโร่ หานเซิ่นก็ถามทันที ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนหอต่างของหอคอย เธอกำลังนั่งดูหิมะตก สีหน้าของเธอดูหมดอะไรตายอยาก   ซีโร่ส่ายหัว “ฉันไม่หิว”   “เธอไม่ใช่เทพ เธอจะไม่หิวได้ยังไง? บอกฉันมาเลยว่าเธออยากจะกินอะไร เดี๋ยวฉันจะไปหาให้เอง” หานเซิ่นเอามือลูบหัวของซีโร่อย่าง อ่อนโยน   “พาฉันไปด้วยได้ไหม?” ซีโร่หันมามองหานเซิ่น ด้วยดวงตาอันกลมตาของเธอ   “อืมม… แน่นอน..” หานเซิ่นลังเลอยู่ชั่วขณะ ตัวตนของซีโร่ยังเป็นเรื่องลึกลับ แต่เขาลองคิดดีๆแล้ว เธอไม่มีครอบครัว ซึ่งเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่เธอพอจะรู้สึก ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเธอ และไม่อยากจะปฏิเสธเธอ   ในที่สุดใบหน้าของซีโร่ก็มีรอยยิ้ม แค่มองก็แทบจะทำให้หัวใจของหานเซิ่นละลาย   “มา บอกมาเลยว่าจะกินอะไร ถึงฝีมือทำอาหารของฉันจะห่วย แต่ฉันก็จะทำให้เธอกินเอง” หานเซิ่นพูดพร้อมกับจูงมือซีโร่กับเข้าไปในห้อง   หานเซิ่นพูดความจริงออกไป ฝีมือทำอาหารของเขาค่อนข้างแย่ สิ่งที่เขาทำเป็นก็คือเนื้อย่างกับสตูเนื้อ แต่ถ้าวัตถุดิบที่เขามีไม่สามารถใช้ 2 วิธีนี้ทำได้ เขาก็จะกินมันแบบดิบๆเลย   หานเซิ่นย่างเนื้อกุ้งสดๆให้ซีโร่ ซีโร่นั่งเอามือเท้าคางมองดูหานเซิ่นทำอาหารอย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่หานเซิ่นย่างเนื้อกุ้งเสร็จ เขาก็ราดมันด้วยน้ำซอสสูตรพิเศษ จากนั้นเขาก็ป้อนซีโร่ ซีโร่อ้าปากและกินมันอย่างรวดเร็ว หลังจากกินเนื้อกุ้งเข้าไปเต็มคำ แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความปริติยินดี   เมื่อหานเซิ่นมองเธอ เขารู้สึกเสียใจเพราะที่ผ่านมา เขาไม่ได้ดูแลเธอเลย ตอนนี้ซีโร่ยังใส่เสื้อผ้าที่เขาเคยซื้อให้เธอเมื่อนานมาแล้ว สภาพมันดูเหมือนกับชุดที่เธอใส่ในตอนแรก สีของมันซีดไปหมดแล้ว   หลังจากที่พวกเขากินเสร็จ หานเซิ่นก็ตัดสินใจไปซื้อชุดใหม่ให้กับซีโร่ เขาพาซีโร่ไปร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเทพธิดา หลังจากที่เธอเปลี่ยนชุดแล้ว เธอก็ดูน่ารักเหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป   “นี่สิเด็กสาววัยรุ่นก็ควรจะต้องแต่งตัวแบบนี้” หานเซิ่นพูด   ในตอนนี้หานเซิ่นตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทิ้งให้ซีโร่อยู่คนเดียวอีกต่อไป เพราะนอกจากเขาแล้ว เธอก็ไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้อีก ที่สำคัญตอนนี้เขารู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเธอมาก ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องหลีกเลี่ยงเธอ   เขาพาซีโร่ไปที่ปราสาทคริสตัล พวกเขาออกล่ามอนสเตอร์กลายพันธ์ด้วยกัน พวกเขาฝึกและทำความเข้าใจวิชาดาบคู่ด้วยกัน ขณะที่หานเซิ่นกำลังเดินทางใต้ทะเลอย่างอิสระ เขาก็พบว่าเมืองสปิริตใต้ทะเลอยู่ด้านหน้า หานเซิ่นไม่กล้าที่เข้าไปใกล้เมืองสปิริต มอนสเตอร์แถวนี้อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ถ้าเขาอยากจะล่ามอนสเตอร์ระดับสูง เขาควรจะไปหาจุดอื่น   ซีโร่กำลังนั่งเงียบๆอยู่ที่มุม เธอนั่งเอามือเท้าคางมองหานเซิ่นฝึกวิชาดาบคู่เหมือนปรกติที่เธอมักจะทำ เธอเอาแต่นั่งมองหานเซิ่นอย่างเดียว โดยไม่สนใจหิมะเจ้าเสน่ห์ที่หานเซิ่นเรียกให้มาเป็นเพื่อนคุย   หลังจากที่เดินทางใต้ทะเลมาได้ 3-4 วัน หานเซิ่นก็เห็นแมงกะพรุนที่กำลังส่องแสงเหมือนกับโคมไฟขนาดใหญ่ เมื่ออยู่ในน้ำมันดูมีชีวิตชีวาและงดงามมาก   ‘ดูแล้วมันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ระดับกลายพันธ์ แต่ส่วนมากมันจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ยากมากที่จะเจอแบบอยู่ตัวเดียว ลองดูหน่อยแล้วกันว่าเราจะล่ามันได้ไหม’ หานเซิ่นคิด เขาเรียกวิญญาณอสูรชุดเกราะสีทองและกรีฟการ์กอยออกมา จากนั้นเขาก็ว่ายน้ำตรงไปที่แมงกะพรุนทันที   แม้จะไม่มีมอนสเตอร์ตัวอื่นอยู่รอบๆ แต่หานเซิ่นก็ยังเรียกชุดเกราะและกรีฟการ์กอยออกมาป้องกันไว้ก่อน ต่อให้แมงกะพรุนเป็นมอนสเตอร์เลือดศักดิ์สิทธิ หานเซิ่นก็คิดว่าเขามีพลังพอที่จะป้องกันตัวได้ มันไม่ยากสำหรับเขาที่จะหนีกลับไปที่ปราสาทคริสตัล   เนื่องจากหานเซิ่นว่ายน้ำค่อนข้างเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ จนน่าจะทำให้พวกมอนสเตอร์สังเกตเห็นได้ แต่แมงกะพรุนที่ดูเหมือนกับโคมไฟขนาดใหญ่ก็ยังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ราวกับว่ามันไม่ได้สังเกตเห็นหานเซิ่นเลย   “ดูแล้วแมงกะพรุนตัวนี้ไม่ฉลาดเท่าไหร่ มันไม่มีทางเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงแน่” หานเซิ่นเข้าไปใกล้แมงกะพรุนโดยไม่ได้เรียกวิญญาณอสูรเฟอเรทโกสพาวออกมา เขาเข้าไปใกล้ๆ และก็ชกไปที่แมงกะพรุน   กรงเล็บเฟอเรทโกสพาวมีพิษ ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้กลัวพิษ แต่ถ้าเกิดเนื้อของมอนสเตอร์ติดพิษจะทำให้รสชาติของมันแย่ลง หานเซิ่นจึงตัดสินใจใช้พลังหยินในการฆ่าแมงกะพรุนแทน   แมงกะพรุนมีลักษณะโปร่งใส ตัวของมันดูนุ่มนิ่มมาก หมัดของหานเซิ่นกำลังชกทะลุเข้าไปในตัวของมัน   แต่ทันใดนั้นหน้าของหานเซิ่นก็บิดเบี้ยว เขารู้สึกว่าหมัดของเขาชกลงไปในโคลน ตอนนี้เขาสูญเสียเรี่ยวแรงไปทั้งหมด และพลังหยินก็ใช้กับมันไม่ได้ผลด้วย   หานเซิ่นต้องการดึงหมัดกลับมา แต่เขาก็ตะหนักว่าหมัดของเขาถูกร่างกายของแมงกะพรุนตรึงเอาไว้แล้ว เขาไม่สามารถดึงมือกลับมาได้ ไม่ว่าเขาจะดึงทิศทางไหนหรือใช้แรงมากแค่ไหนก็ตาม   แมงกะพรุนใช้หนวดของมันพันตัวหานเซิ่นเอาไว้และก็บีบรัดเขา หานเซิ่นรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาจากร่างกายของแมงกะพรุน ทำให้ร่างกายของเขาชักกระตุก และชาจนเคลื่อนไหวไม่ได้ ตอนนี้หานเซิ่นไม่สามารถควบคุมร่างกายได้แล้ว  

Super God Gene – ตอนที่ 535 ความสิ้นหวังของแบล็คก็อต
Super God Gene – ตอนที่ 535 ความสิ้นหวังของแบล็คก็อต

  “หานเซิ่น…” หลี่ซิงหลุนรู้สึกกังวล เท่าที่เขารู้ เขาคิดว่าในพื้นที่นี้ไม่มีใครสู้แบล็คก็อตได้   “ไม่เป็นไร ถ้ามีใครต้องการจะให้วิญญาณอสูรฉันแบบฟรีๆ ฉันก็จะรับมันด้วยความยินดี” หานเซิ่นหยุดหลี่ซิงหลุนไว้   หานเซิ่นรู้ว่าหลี่ซิงหลุนพยายามจะช่วยเขา แต่นี่เป็นโอกาสของเขา หานเซิ่นฝึกซ้อมกับถังเตียงลิ่วมาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขามีความมั่นใจ 100% ว่าสามารถเอาชนะมีดทอร์นาโดได้ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะไปเล่นงานแบล็คก็อตที่ไหนดี ซึ่งตอนนี้แบล็คก็อตมาหาถึงที่ หานเซิ่นก็ยินดีที่จะสู้ด้วย   แถมเขายังสามารถเอาวิญญาณอสูรโคไฟนรกกลับคืนมา หานเซิ่นจะไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปแน่   “ดี! ตัดสินใจได้รวดเร็วดี ฉันชักจะชอบนายขึ้นมาบ้างแล้ว” เเบล็คก็อตหัวเราะ   “ไปที่ลานกว้างกันดีกว่า ในห้องนี้มันแคบเกินไป” หานเซิ่นพูด   “ดี” เเบล็คก็อตตอบ คนของแบล็คก็อตล้อมหานเซิ่นเอาไว้ในขณะที่เดินไปลานกว้างกลางเมือง ราวกับว่าพวกเขากำลังคุ้มกันนักโทษยังไงยังงั้น   หลี่ซิงหลุนเองก็เอาคนของเขาไปคุ้มกันหานเซิ่นด้วย เมื่อพวกเขามาถึงลานกว้าง หานเซิ่นและเเบล็คก็อตก็โอนวิญญาณอสูรให้กับหลี่ซิงหลุน   “ไม่ต้องยั้งมือ” แบล็คก็อตพูด ขณะที่เดินไปกลางลานกว้าง ตั้งแต่ได้เป็นผู้ครองเมืองแบล็คก็อต เขาก็ไม่เคยตกเป็นรองใครมาก่อนในการต่อสู้ ถ้าเขามีโอกาส เขาจะฆ่าหานเซิ่นทันที   แบล็คก็อตมั่นใจในวิชามีดทอร์นาโดมาก เขาเคยสู้กับหานเซิ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขารู้ความสามารถของหานเซิ่นดี สำหรับเขาแล้วหานเซิ่นมีดีแค่ฟุตเวิร์ค ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้พูดเรื่องการต่อสู้ขึ้นมา   ข่าวเรื่องการประลองระหว่างหานเซิ่นกับแบล็คก็อตแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนในเมืองสตาร์วีลจำนวนมากมาดูการต่อสู้ที่ลานกว้างกลางเมือง   หลี่ซิงหลุนเริ่มรู้สึกสิ้นหวังแล้ว ถ้าหานเซิ่นไม่ตอบรับการประลอง ยังไงเขาก็คุ้มครองหานเซิ่นได้แน่ ขอแค่หานเซิ่นอยู่ในเมืองสตาร์วีล แต่ถ้าแบล็คก็อตฆ่าหานเซิ่นในการประลอง หลี่ซิงหลุนก็จะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แถมเขายังจะต้องส่งวิญญาณอสูรให้แบล็คก็อตด้วย   เมื่อหานเซิ่นเข้ามาในลานประลอง แบล็คก็อตก็ไม่อยากจะพูดอะไรอีก เขาต้องการจะฉีกหานเซิ่นเป็นชิ้นๆให้เร็วที่สุด เขาเรียกวิญญาณอสูรมีดสีดำออกมา และเริ่มบุกเข้าจู่โจมหานเซิ่นทันที   ในขณะเดียวกันหานเซิ่นก็เรียกวิญญาณอสูรเฟอเรทโกสพาวออกมา และเขาก็โจมตีสวนกลับทันที   การโจมตีของหานเซิ่นดูไม่ได้ร้ายกาจอะไร แต่มันกับทำให้เเบล็คก็อตต้องขมวดคิ้ว แววตาที่ดูเหมือนกับเหยี่ยวของเขาเปลี่ยนไปทันที ถ้าเขายังฟันต่อไปทั้งๆแบบนี้ ศอกของเขาจะถูกกรงเล็บตัดขาด   เมื่อรู้สึกเช่นนั้น แบล็คก็อตก็ดึงมือกลับมาทันที หลังจากที่เขาหลบการโจมตีจากกรงเล็บของหานเซิ่นแล้ว เขาก็เตรียมจะโจมตีครั้งที่ 2 ทันที แต่ทว่าการโจมตีครั้งต่อไปของเขาก็ถูกสกัดได้อีก   เขามั่นใจในมีดทอร์นาโดมาก แม้จะต้องสู้กับคนที่มีฝีมือระดับเดียวกัน แต่ยังไม่เคยมีใครป้องกันวิชามีดทอร์นาโดได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่หานเซิ่นสามารถป้องกันมันได้ถึง 2 ครั้ง   หลายๆคนก็คิดแบบเดียวกับแบล็คก็อต มีดทอร์นาโดของเขามีชื่อเสียงมากในเขตทุ่งน้ำแข็ง ในพื้นที่นี้คนจะเรียกมันว่า ‘มีดปีศาจล่องหน’   คนส่วนมากยังไม่รู้ว่าหานเซิ่นเป็นใคร พวกเขาต่างก็คิดว่าหานเซิ่นไม่น่าสู้กับแบล็คก็อตได้   แต่ไม่นาน ตาของทุกคนก็ต้องเบิกกว้าง ยากที่พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่เห็น   แบล็คก็อตถอยหลังกลับมาเพื่อหลบกรงเล็บ เขาตั้งท่าเตรียมจะโจมตีอีกครั้ง แต่เขาก็ทำให้แค่ยกอาวุธขึ้นมา จากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป   ในตอนนี้ตำแหน่งของเขาเสียเปรียบอยู่ ถ้าเขายังโจมตีหานเซิ่นต่อ เอวของเขาก็จะถูกกรงเล็บเฟอเรทโกสพาวโจมตี   “บังเอิญงั้นหรอ?” ตอนนี้แบล็คก็อตเริ่มกังวลแล้ว เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่สามารสกัดการโจมตีของมีดทอร์นาโดได้   เเบล็คก็อตขยับถอยหลังมา และเตรียมจะโจมตีอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูอึดอัดมาก   แบล็คก็อตโจมตีแบบธรรมดาใส่หานเซิ่นไป 10 กว่าครั้งแล้ว แต่เขาก็ต้องฟันลมทุกครั้ง ทำให้เขาเริ่มหัวร้อนขึ้นมา การโจมตีแบบธรรมดายังไม่ดีพอที่จะโจมตีหานเซิ่นโดน   แบล็คก็อตไม่มีโอกาสที่จะใช้มีดทอร์นาโดเลย ซึ่งมันทำให้เขาโกรธและอึดอัด เขายังไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าบางทีวันนี้เขาอาจจะแค่โชคร้าย   ทุกครั้งที่แบล็คก็อตบิดข้อมือเตรียมโจมตี ในตอนนั้นเขาก็จะถูกบังคับให้ดึงมีดกลับมา ไม่ว่าเขาจะทำยังไง เขาก็ไม่สามารถใช้วิชามีดทอร์นาโดได้เลย   ตั้งแต่หัวจนถึงเท้า หานเซิ่นมองแบล็คก็อตออกทั้งหมด ตอนนี้ยากที่แบล็คก็อตจะโจมตีได้ มันเหมือนครูเจอกับนักเรียน ครูสามารถทำนายการเคลื่อนไหวทั้งหมดของลูกศิษย์ได้   ‘มีดปีศาจล่องหนหรือมีดทอร์นาโด’ ตอนนี้ดูเป็นของเล่นไปเลย แค่แบล็คก็อตจะแกว่งมีดสักนิดก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นไม่มีทางเลยที่เขาจะโจมตีได้   ตอนนี้แบล็คก็อตถอยอย่างเดียว ราวกับว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกเลยนอกจากถอย   แบล็คก็อตไม่เคยรู้สึกขายหน้าแบบนี้มาก่อน อยู่ๆวิชามีดทอร์นาโดที่ทำให้เขามีทุกวันนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้   “เขาแข็งแกร่งมาก! คนคนนี้เป็นใครกันแน่? มันดูเหมือนกับพ่อกำลังส่งสอนลูกชายไม่มีผิด!” “เหมือนว่าแบล็คก็อตจะหมดทางสู้เลยนะ นี่ใช่แบล็คก็อตที่เป็นผู้ครองเมืองแบล็คก็อตจริงๆงั้นหรอ?” “เขาอาจจะเป็นคนหน้าเหมือนก็ได้ ดูสิ วิชามีดของเขามันไร้ประโยชน์มาก” “จริงๆแล้วแบล็คก็อตก็อาจจะไม่ได้เก่งอย่างที่พวกเราได้ยินมาก็ได้ ที่เขามีชื่อเสียงก็เพราะเขามีลูกสมุนเก่งๆเยอะ ถ้าไม่มีลูกน้องคอยช่วย เขาก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วๆไป!” “แล้วอีกคนเป็นใครกัน?”   การเคลื่อนไหวของแบล็คก็อตถูกสกัดได้ทั้งหมด ราวกับว่าเขาติดอยู่ในดงหนามขยับไปไหนไม่ได้ สีหน้าของแบล็คก็อตดูทุกข์ทรมานมาก เหมือนกับเขาอยากจะร้องไห้ออกมา   หลังจากที่ได้ยินเสียงพวกคนพูดคุยกัน เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เขาทั้งโกรธ อึดอัดและก็สิ้นหวัง   เขากรีดร้องออกมา และเริ่มกวัดแกว่งอาวุธอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนแล้วว่าจะถูกคู่ต่อสู้โจมตี แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักว่าถ้าเขาไม่ดึงอาวุธกลับมาตอนนี้ แขนของเขาอาจจะถูกตัดได้ ดังนั้นเขาจะต้องกลืนความโกรธของตัวเอง และก็ดึงมีดกลับมา   จากความสิ้นหวัง ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นความกลัวแล้ว เขากลัวว่าอาจจะถูกฆ่า   แม้แต่ผู้ติดตามของแบล็คก็อตก็ยังช็อค พวกเขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน พวกเขาถึงขนาดหลับตา เพราะไม่อยากจะเห็นสภาพที่น่าทุเรศของหัวหน้า   พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของแบล็คก็อตดี พวกเขารู้ดีว่าวิชามีดทอร์นาโดร้ายกาจแค่ไหน แล้วทำไมอยู่ๆมันถึงได้ดูทุเรศขนาดนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้คนนี้   “ไอ้หมอนั่นเป็นใครกันแน่?” พวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าแม้แต่แบล็คก็อตยังหมดสภาพขนาดนี้ พวกเขาก็คงจะห่างชั้นกับหานเซิ่นมาก ถ้าพวกเขาต้องขึ้นไปต่อสู้เอง พวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าตายตั้งแต่ 2-4 กระบวนท่าแรก